รีวิวหนัง The Pale Blue Eye: หนังสืบสวนฟิล์มนัวร์ เล่าเรื่องแบบ Slow Burn เน้นความสมจริง ถ่ายทอดความดำมืดของผู้คน

รีวิวหนัง The Pale Blue Eye: หนังสืบสวนฟิล์มนัวร์ เล่าเรื่องแบบ Slow Burn เน้นความสมจริง ถ่ายทอดความดำมืดของผู้คน

ผลงานหนังแนวสืบสวนสอบสวน พีเรียดเรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ หลุยส์ บายาร์ด โดยเวอร์ชันหนังได้ สก้อต คูเปอร์ (Black Mass) มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบท พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง คริสเตียน เบลล์ (Thor: Love and Thunder) มารับบทนำ ร่วมด้วย แฮร์รี เมลลิง (The Queen Gambit)

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ออกัสตัส แลนดอร์ (คริสเตียน เบลล์) ยอดนักสืบที่ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาทำการสืบคดีฆาตกรรมปริศนาของนักเรียนตำรวจรายหนึ่งที่ถูกฆ่าโดยการแขวนคอ และผ่าหัวใจออกไป ออกัสตัส ต้องทำการสืบสวนด้วยการร่วมมือกับ เอ็ดการ์ อลัน โพ (แฮร์รี่ เมลลิง) นักเรียนตำรวจผู้หลงไหลในด้านกวี เมื่อทั้งสองเริ่มสืบหาความจริงไปเรื่อย ๆ ก็ได้พบว่ามีความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะเป็นคนวงในของโรงเรียนตำรวจ

ตัวหนังมาพร้อมการดำเนินเรื่องในรูปแบบหนังฟิล์มนัวร์ Slow Burn ที่จะมีการนำเสนอที่เนิบช้า ไม่มีฉากแอ็คชัน หรือฉากระทึกขวัญมากนัก แต่จะเน้นไปที่การสืบสวน การค่อย ๆ ตามหาความจริงของตัวละคร อย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้อารมณ์แบบหนัง เดวิด ฟินเชอร์ยุคเก่าอย่าง Se7en, Zodiac ที่มีบรรยากาศที่อึมครึม มึดหม่น ตลอดทั้งเรื่อง

จุดขายของหนังคือบทที่สามารถถ่ายทอดการสืบสวนของตัวละครออกมาได้อย่างน่าติดตาม โดยหนังได้ใช้ความเป็นคู่หูระหว่างตัว ออกัสตัส และ โพ มาเป็นจุดขาย ไม่ต่างจาก โฮล์ม และวัตสัน ซึ่งเนื้อเรื่องจะค่อย ๆ ไต่ระดับความเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่าตามหาหลักฐาน การเผชิญหน้ากับสถานการณ์เสี่ยงตาย ที่ให้คนดูได้ตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่อง

เคมีการแสดงของ คริสเตียน เบลล์ และแฮร์รี เมลลิง นับว่าเป็นจดขายสำคัญของเรื่อง ทั้งสองสามารถถ่ายทอดเคมีการเป็นนักสืบได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะคริสเตียน เบลล์ ก็ยังคงมอบการแสดงที่โดดเด่น และน่าจดจำให้หนังเรื่องนี้ ในขณะที่ด้าน แฮร์รี เมลลิง ก็ถ่ายทอดบทดราม่าออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะไม่ได้เป็นตัวหลัก และยังเทียบรัศมี เบลล์ไม่ติด แต่ก็นับว่าเป็นอีกบทบาทการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงหนุ่มผู้นี้

น่าเสียดายที่แม้ว่า The Pale Blue Eye จะมีวัตถุดิบในการเป็นหนังสืบสวนฟิล์มนัวร์ที่ดี แต่ทว่าหนังกลับเลือกเดินเรื่องแบบสูตรสำเร็จไปพอสมควรทำให้หลาย ๆ ฉากของหนัง ไม่อิมแพคต่อความรู้สึกของคนดูได้เท่าที่ควร แม้หนังจะพยายามสับขาหลอกแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ด้านพาร์ทดราม่าที่ว่าด้วยปูมหลังของตัวละครหนังก็ทำออกมาได้ไม่สุด ทั้ง ๆ ที่หนังมีประเด็นที่สามารถทำได้ดีกว่านี้

อย่างไรก็ตาม The Pale Blue Eye ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังสืบสวนสอบสวน ที่ทำออกมาได้สนุก สมจริง หนังมีความกลมกล่อมลงตัวของการแสดงที่ยอดเยี่ยม และบทหนังที่น่าติดตาม แม้ว่าจะมีสูตรสำเร็จที่เดาง่ายไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นอีกเรื่องที่คอหนังสืบสวนห้ามพลาด

สามารถรับชม The Pale Blue Eye ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Call Me Chihiro หนังดราม่าจากญี่ปุ่น

รีวิวหนัง Call Me Chihiro หนังดราม่าจากญี่ปุ่น

เรียกได้ว่าปีนี้ยังคงเป็นช่วงคาขึ้นของ คอนเทนต์จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีหนัง และซีรีส์ให้ชมในสตรีมต่างๆ อย่างครบทุกแนว ทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น Gannibal ใน Disney+ Hotstar และ Slam Dunk The First Dunk ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ล่าสุดใน Netflix ก็ได้มี Call Me Chihiro หนังดราม่า ฟีลกู้ดจาก Netflix ที่ได้นักแสดงสาวสวยอย่าง คาสุมิ อาริมูระ (Rouroni Kenshin: Final Chapter Part 2) มาแสดงนำ

Call Me Chihiro จะว่าด้วยเรื่องราวของ จิฮิโระ (คาสุมิ อาริมูระ) หญิงสาวที่ทำงานในร้านเบนโตะ สิ่งที่ทำให้เธอไม่เหมือนคนอื่นคือ เธอนั้นเคยทำงานให้บริการทางเพศมาก่อน ซึ่งทำให้เธอมีลูกค้าผู้ชายมาอุดหนุนเป็นจำนวนมาก โดยจิฮิโระ เป็นคนที่เป็นจุดเด่นในด้านการมองโลกที่สดใส มีน้ำใจแก่ทุกคน ด้วยพลังบวกในชีวิตนี้เอง ที่ทำให้ จิฮิโระ ได้ดึงดูดผู้คนที่มีปัญหากับชีวิต ให้เข้ามาเติมเต็มกันและกัน จนเป็นความสัมพันธ์ที่แสนอบอุ่น ละมุนหัวใจมากมาย

ตัวหนัง Call Me Chihiro มาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องของหนังดราม่าญี่ปุ่นที่หลายคนคุ้นเคย โดยหนังจะเน้นการเล่าแบบ Slow Burn ค่อยๆ พาคนดูไปสัมผัสชีวิตตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีการเน้นบทสนทนา และการแสดงอารมณ์ มากกว่าการถ่ายทอดเป็นฉาก ซึ่งเล่าออกมาอย่างครบรส ทั้งดราม่าสะเทือนใจ และฟีลกู้ด

จุดขายของหนังคือตัวละคร จิฮิโระ ที่เป็นแกนกลางของเรื่อง ที่จะพาผู้ชมไปเห็นทั้งด้านสวยงาม และด้านดาร์ก ที่ชีวิตคนๆ หนึ่งจะได้พบเจอ ความน่าสนใจคือการสร้าง Mind Set ของตัวละคร ที่มีความคิดบวกในแบบที่ไม่เหมือนใคร ชวนให้คนดูรู้สึกเต็มเติมไปกับวิธีคิด และการกระทำต่างๆ ในขณะเดียวกันหนังก็ยังมีความตรงไปตรงมา ในการที่จะนำเสนอภาพชีวิตอีกด้าน ที่พูดถึงสังคมกลางคืน และชีวิตของหญิงขายบริการด้วยเช่นกัน ทำให้หนังเรื่องนี้มีความไม่ขาวสุด และไม่เทาจนเกินไป

ในพาร์ทการแสดง คาสุมิ อาริมูระ สามารถถ่ายทอดบทบาทจิฮิโระ ออกมาได้อย่างน่าจดจำตั้งแต่นาทีแรก จนนาทีสุดท้ายของหนัง ซึ่งในเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นบทบาทที่น้อย แต่มาก ที่แม้จะไม่ได้มีฉากอารมณ์เยอะมาก แต่การแสดงที่เข้าถึงอารมณ์ ทำให้คนดูสามารถรู้สึกร่วมไปกับ จิฮิโระ ได้เป็นอย่างดี

โดยรวม Call Me Chihiro เป็นงานดราม่าน้ำดีจากญี่ปุ่นอีกเรื่อง ที่มาพร้อมการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม หนังสามารถนำเสนอเรื่องราวชีวิตหลากหลายมุม ที่มีทั้งด้านขาว และดำ พร้อมทั้งสอดแทรกดพลังบวกเข้าไปได้อย่างสวยงาม

สามารถรับชมหนัง Call Me Chihiro ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Tetris: หนังที่สามารถหยิบเรื่องราวการแย่งชิงลิขสิทธิ์เกมในตำนาน

รีวิวหนัง Tetris: หนังที่สามารถหยิบเรื่องราวการแย่งชิงลิขสิทธิ์เกมในตำนาน

หากใครที่โตมาในยุค 90 เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่เคยเล่นเกมที่ชื่อว่า Tetris เกมตัวต่อ 8 บิท ที่เล่นง่าย สนุก แต่ด้วยเบื้องหลังของเกมนี้ที่น่าสนใจมากกว่าที่คิด จนเกิดเป็นโปรเจกต์หนังผลงานการกำกับโดย จอห์น เอส บาร์ด (ซีรีส์ Vinyl) และเขียนบทโดย โนอาห์ พิงค์ (ซีรีส์ Genius) ภายใต้การสร้างโดย Apple TV+

เรื่องราวของ Tetris จะว่าด้วยเหตุการ์ในปี 1988 เมื่อ แฮงค์ โรเจอร์ (ทารอน อีเกอร์ตัน) นักพัฒนาเกม และคนทำการตลาดในธุรกิจเกม ได้เกิดสนใจเกม Tetris ที่เป็นผลงานการพัฒนาโดย อเล็กซี่ (นิกิตา อีเฟอร์มอฟ) โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซีย แต่ทว่าการคว้าลิขสิทธิ์เกมนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมีอีกบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ที่ต้องการลิขสิทธิ์เกมนี้เช่นกัน สงครามธุรกิจ อันลุ้นระทึกในประเทศรัสเซียก็ได้เริ่มขึ้น

ความน่าสนใจของ Tetris คือการที่หนังไม่ได้เป็นแนวทำธุรกิจ ให้แรงบันดาลใจเหมือนหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ แต่นี่คือหนังดราม่า ระทึกขวัญ ที่หยิบเหตุการณ์การแย่งชิงลิขสิทธิ์เกม ออกมาได้อย่างตื่นเต้น ชวนระทึก ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของหนัง พร้อมด้วยการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย และอาจเปลี่ยนมุมมองที่คุณรู้สึกต่อเกม Tetris ไปโดยสิ้นเชิง

ตัวหนังเลือกใช้ลูกเล่นการนำเสนอ ด้วยการใช้ภาพ 8 บิท ในการช่วยเล่าเรื่องให้คนดูเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งการเล่าแบบหนังระทึกขวัญ ที่เหมือนให้ตัวละครเดินทางทำภารกิจต่างๆ มีสงครามจิตวิทยา สงครามธุรกิจ ที่น่าติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาร์ทที่เป็นการเล่าเรื่องในรัสเซีย ที่นับว่าเป็นไฮไลท์ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ และยังสามารถะสะท้อนภาพการมเมืองในยุคสงครามเย็นได้อย่างดีเยี่ยม

นอกจากในด้านของความสนุก ความบันเทิงแล้ว ใน Tetris ยังเป็นหนังที่เต็มไปด้วยการบันทึกประวัติศาสตร์วงการเกม ที่เหมือนได้พาคนดูที่เคยเป็นเด็กๆ ยุค 90 ได้กลับมารื้อฟื้นความทรงจำอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของเกมบอย และนินเทนโด รวมถึงยุคสมัยอันรุ่งเรืองของเกม 8 บิท

ด้านการแสดง ทีมนักแสดงนำในเรื่องต่างปล่อยของออกมาแบบสมน้ำสมเนื้อ ทารอน อีเกอร์ตัน เรียกได้ว่าเป็นผู้แบกหนังเรื่องนี้ ให้คนดูอยากร่วมลุ้น ร่วมเอาใจช่วยกับตัวละครนี้ไปตั้งแต่ต้นจนจบ

โดยรวม Tetris เป็นอีกหนึ่งหนังสร้างจากเรื่องจริง ที่ทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น ไม่แพ้หนัง Fiction เลย หนังเล่าเรื่องให้เข้าใจง่าย ย่อยง่าย และอัดแน่นด้วยความบันเทิง และสาระที่เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับเกมอันโด่งดังนี้

สามารถรับชมหนัง Tetris ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

เตรียมผจญภัยในโลกต่างมิติ ไปกับ 3 ซุปเปอร์ฮีโร่ในตัวอย่างล่าสุด The Flash

เตรียมผจญภัยในโลกต่างมิติ ไปกับ 3 ซุปเปอร์ฮีโร่ในตัวอย่างล่าสุด The Flash

เรียกได้ว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์จากค่าย DC ที่แฟนๆ ทั่วโลกต่างจับตามองสำหรับหนัง The Flash หนังเดี่ยวเรื่องแรกของมนุษย์สายฟ้า ที่รวดเร็วที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมจัดเต็มเซอร์ไพรส์ ล่าสุดทาง Warner Bros. ได้ปล่อยตัวอย่างที่ 2 ของหนังมาให้ได้ดูแล้ว ก่อนเตรียมฉายในเดือนมิถุนายนนี้

เรื่องราวของ The Flash จะว่าด้วยเหตุการณ์ที่ แบร์รี่ (เอสร่า มิลเลอร์) หรือเดอะแฟลช ได้ใช้พลังของตัวเอง ในการเดินทางย้อนเวลาเพื่อแก้ไขอดีตของเขา แต่ทว่าการกระทำของเขาดันส่งผลต่ออนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง จนเกิดความโกลาหลของมิติเวลา ทำให้ แบร์รี่ ดันหลุดไปในช่วงเวลาที่ นายพลซอร์ด (ไมเคิล แชนนอน) เดินทางมาทำลายโลก ทางเดียวที่แบร์รี่จะสามารถแก้ไขเหตุการณ์นี้ได้ คือการขอร้องให้ แบทแมน (เบน เอฟเฟล็กซ์ และ ไมเคิล คีตัน) ร่วมต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ และแก้ไขไทม์ไลน์ทุกอย่าง ให้เป็นเหมือนเดิม

ในตัวอย่างที่ 2 นี้ หนังได้เผยฉากให้เห็นถึงฉากแอ็คชันใหม่ๆ เพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะฉากการต่อสู้ของแบทแมน ซูปเปอร์เกิร์ล และเดอะแฟลช ทั้งสองคน ที่ทำออกมาได้อย่างตื่นตาตื่นใจ เต็มไปด้วยฉากที่ทำมาเพื่อเสิร์ฟแฟนหนัง DC ตั้งแต่ยุค 90 จนถึงปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม เพิ่มความน่าดูมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

หนังเป็นผลงานการกำกับโดย แอนดี้ มุสเชติ (It: Chapter 2) เขียนบทโดย โจดี้ ฮาโรลด์ (Edge of Tomorrow) และ คริสตินา ฮอดสัน (Bumblebee) นำแสดงโดย เอสร่า มิลเลอร​ (Fantastic Beasts) และ เบน เอฟเฟล็ก (Air) ที่ทั้งคู่จะกลับมารับบทเดิมอีกครั้งหลังจากใน Justice League สมทบด้วย ไมเคิล คีตัน (ซีรีส์ Dope Sick) ที่กลับมารับบทแบทแมน อีกครั้งในรอบ 30 ปี, ไมเคิล แชนนอน (Man of Steel) และ นักแสดงหน้าใหม่ ซาซ่า คาลลี ที่ประเดิมงานแสดงเป็นครั้งแรกในบท ซูปเปอร์เกิร์ล

สำหรับ The Flash นับว่าเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่ถูกคาดหวัง และจับตามองมากๆ สำหรับแฟน DC เพราะเป็นหนังที่รวมตัวละครที่แฟนๆ คิดถึง รวมทั้งยังเป็นเหตุการณ์ใหญ่ของจักรวาลหนัง DC ที่เคยมีมา นับตั้งแต่ใน Justice League Snyder’s Cut และยังอาจเป็นการปูทางสู่หนังฮีโร่ DC ยุคใหม่ที่ได้ เจมส์ กันน์ (The Suicide Squad) มารับหน้าที่ดูแลโปรเจกต์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โดย The Flash มีกำหนดฉาย 15 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Warner Bros.

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Devotion: หนังแอ็คชั่น ดราม่า เครื่องบินรบ ที่เล่าเรื่องได้อย่างสนุก ครบรส

รีวิวหนัง Devotion: หนังแอ็คชั่น ดราม่า เครื่องบินรบ ที่เล่าเรื่องได้อย่างสนุก ครบรส

นอกจากจะมีหนังแอ็คชั่นเครื่องบินรบอย่าง Top Gun Maverick แล้ว อีกหนึ่งผลงานแนวเดียวกันที่น่าจับตามองไม่แพ้กันคือ Devotion หนังแอ็คชั่น ดราม่า ผลงานการกำกับของ เจดี ดิลลาร์ด (Sweetheart) ที่สร้างจากหนังสือของ อดัม มาร์คอส ที่เขียนจากเรื่องจริงของมิตรภาพทหารอากาศ ในช่วงปี 1950

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวมิตรภาพของ เจสซี่ บราวน์ (โจนาธาน เมเจอร์) และ ทอม​ ฮัดเนอร์ (เกรน โพเวล)สองนักบินอากาศ ที่ได้ร่วมกันเรียนรู้มิตรภาพ และกลายเป็นสหายร่วมรบในสงครามเกาหลี ซึ่งทั้งสองจะต้องร่วมกับทำงานเป็นทีมเวิร์ค เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ แม้ว่าจะต้องเสี่ยงอันตราย และมีชีวิตเป็นเดิมพันก็ตาม

Devotion เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่น ว่าด้วยทหาร ที่มาพร้อมสูตรสำเร็จแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอความเป็นชาตินิยม ผ่านคาแร็คเตอร์ของตัวละคร การพูดถึงมิตรภาพในรั้วทหาร ความกล้าหาญ และการเสียสละ ซึ่งความเป็นสูตรสำเร็จในเรื่องนี้ก็นับว่าทำได้ดีไม่แพ้กับ Top Gun Maverick เลย

ตัวหนังอาจไม่ได้เน้นขายฉากแอ็ตชั่นเป็นจุดขายเหมือนหน้าหนัง แต่ตัวหนังจะโฟกัสไปที่ มิตรภาพของสองตัวเอกของเรื่อง ที่ต่างค่อย ๆ เรียนรู้ ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นเส้นเรื่องที่สร้างความตราตรึงใจให้คนดูในเกือบตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนี้หนังยังสอดแทรกความเป็น ประวัติศาสตร์ การเมือง เช่น การเหยียดผิว การเหยียดเชื้อชาติ เอาไว้ในหนังได้อย่างลงตัว

ด้านฉากแอ็คชั่นในหนังก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี หนังมีฉากสงครามที่ดุดัน เข้มข้น สมจริง แม้ว่าหากเทียบกับ Top Gun Maverick เรื่องนี้จะทำได้ไม่โดดเด่น หวือหวาเท่า แต่ฉากรบบนน่านฟ้าก็สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ไม่แพ้กัน แต่ที่น่าเสียดายที่สุดคือการที่คนไทยไม่ได้ดูงานโปรดักชั่นเหล่านี้ในโรงภาพยนตร์ แต่ต้องดูผ่านสตรีมแทน

ในส่วนของการแสดง ทั้ง เกรน โพเวล และโจนาธาน เมเจอร์ ต่างมีเคมีการแสดงที่เข้ากันได้อย่างลงตัว แม้ในเรื่องนี้ทั้งสองจะไม่ได้แสดงบทอารมณ์มากนัก แต่การรับส่งบทของทั้งคู่ ก็สร้างความประทับใจให้คนดูได้ไม่น้อย

โดยรวม Devotion เป็นอีกหนังแอ็ตชั่น ดราม่า ที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยมตามมาตรฐานหนังสงครามฟอร์มยักษ์ หนังมีพาร์ทดราม่าที่น่าจดจำ ฉากสงครามที่ชวนตื่นตาตื่นใจ ใครที่ยังติดใจหนังแบบ Top Gun Maverick นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Devotion ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomstoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง Don’t Breathe 2: หนังภาคต่อที่มาพร้อมโทนเรื่องที่ต่างจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง จากหนังระทึกขวัญ สู่หนังแอคชั่น ล้างแค้นอย่างเต็มตัว จนเสน่ห์เดิม ๆ ที่ควรจะเป็นของหนังถูกกลบหายไปหมดสิ้น

รีวิวหนัง Don’t Breathe 2

ภาคต่อของหนังระทึกขวัญ ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ตื่นเต้นจนไม่กล้าหายใจในโรงภาพยนตร์มาแล้วเมื่อปี 2016 โดยครั้งนี้ได้มีการเปลี่ยนมือผู้กำกับ จาก เฟเด อัลวาเรซ (Evil Dead) มาเป็น โรโด ซาเย็ค มือเขียนบทคู่ใจที่กระโดดมารับหน้าที่กำกับหนังเป็นครั้งแรก ส่วน อัลวาเรซ กลับมารับหน้าที่ร่วมเขียนบท และอำนวยการสร้างให้

โดย Don’t Breathe 2 จะว่าด้วยเรื่องราวหลังจากภาคแรกเป็นเวลา 8 ปี หลังจากที่ นอร์แมน นอร์ด สตรอม หรือชายตาบอด (สตีเฟน แลง) ได้รอดชีวิตมาได้ เขาก็ได้ทำการรับเด็กผู้หญิงนาม ฟินิกซ์ (เมเดอลีน เกรซ) มาเลี้ยงดูเป็นลูก โดย นอร์แมน ได้สอนทักษะการเอาชีวิตรอดต่าง ๆ นา ๆ ให้เด็กสาว และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันโดษ และสงบสุข จนกระทั่งคืนหนึ่ง ได้มีกลุ่มอันธพาลได้บุกเข้ามายังบ้านของนอร์แมน โดยครั้งนี้พวกมันมีเป้าหมายคือ ฟีนิกซ์ ด้านนอร์แมนเลยต้องกลับมาออกล่าอีกครั้ง เพื่อปกป้องคนที่เขารัก

แม้ว่าจะใช้คำว่าภาคต่อ แต่สำหรับ Don’t Breathe 2 กลับเป็นหนังที่มาพร้อมโทนเรื่องที่ต่างจากภาคแรกอยู่พอสมควร จากที่ในภาคที่แล้วหลายคนต่างจดจำตัวละคร นอร์แมน ในฐานะชายตาบอดสุดคลั่ง ที่น่าสะพรึงกลัว แต่ในภาคนี้หนังได้เปลี่ยนให้ นอร์แมนกลายเป็นพระเอกของเรื่องแทน ทำให้ในภาคนี้แทนที่เราจะได้เห็นบรรยากาศชวนระทึก ตื่นเต้นจนไม่กล้าหายใจแบบในภาคแรก แต่ในภาคนี้หนังกลับมาพร้อมบรรยากาศของหนังแอคชั่น ล้างแค้นแบบ John Wick แทน

ตัวหนังมาพร้อมความบันเทิงตามสไตล์หนังล้างแค้นสูตรสำเร็จ คือการค่อย ๆ สร้างเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของตัวละคร จนนำมาสู่การไล่ล่า การเอาชีวิตรอดตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าหนังจะไม่ได้ขายความน่ากลัว ความโรคจิตของ นอร์แมน เท่ากับภาคแรก แต่กระนั้นความโหด ความรุนแรง ของหนังก็ได้หาได้น้อยลง หนังยังจัดเต็มด้วยวิธีการต่อสู้ การฆ่า ที่น่ากลัว ดุดันไม่แพ้ภาคแรก

หนึ่งในความโดดเด่นของหนังภาคนี้คือการที่หนังเพิ่มมิติ เพิ่มหัวจิตหัวใจให้ตัวละครนอร์แมน มากยิ่งขึ้น ในภาคนี้เราจะได้เห็นด้านที่อ่อนโยน และอ่อนแอของตัวละครนี้ การกระทำของเขาในภาคนี้ดูมีเหตุมีผลที่มีน้ำหนักชัดเจน ทั้งนี้ต้องขอยกเครดิต ให้การแสดงของ สตีเฟน แลง ที่ยังคงเป็นตัวหลักของเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม เขายังถ่ายทอดบทบาทได้ถึงอารมณ์ทั้งพาร์ทแอคชั่น และพาร์ทดราม่า พร้อมทั้งเคมีการแสดงของเขาและ เมเดอลีน เกรซ ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว ทั้งสองสามารถทำให้คนดูเชื่อในความเป็นพ่อลูก และอยากเอาใจช่วยทั้งสองไปจนจบเรื่อง

อย่างไรก็ตาม Don’t Breathe ก็ถือว่าเป็นอีกหนังภาคต่อที่ทำออกมาได้น่าผิดหวังเมื่อเทียบกับภาคแรก ตัวหนังไม่สามารถหยิบนำจุดชายของหนังภาคแรกออกมาใช้งานได้อย่างเต็มที่อย่างที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความตื่นเต้น ความระทึก ในคอนเซปต์ตวามลุ้นจนไม่กล้าหายใจ แต่ในภาคนี้หนังกลับไม่สามารถสร้างอารมณ์ตื่นเต้น ใด ๆ แบบดังกล่าวได้ นอกจากนี้ด้านเหล่าวายร้ายของเรื่องที่น่าจะเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของหนัง ในภาคนี้ก็กลับทำบทออกมาได้แห้งแล้ง ขาดมิติ ขาดความน่าจดจำ ไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวม Don’t Breathe 2 เป็นหนังภาคต่อที่มาพร้อมโทนเรื่องที่ต่างจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง ในภาคนี้หนังมาพร้อมความบันเทิงแบบหนังแอคชั่น ล้างแค้น เรท R สูตรสำเร็จ ที่สามารถมอบความสนุก ตื่นเต้น ตลอดทั้งเรื่อง แต่น่าเสียดายที่หนังกลับทิ้งเสน่ห์จากภาคแรกไปอย่างน่าเสียดาย หนังไม่สามารถสร้างความตื่นเต้น ความระทึก แบบที่หลายคนคาดหวังได้ พร้อมทั้งบทหนังที่ดร็อปลงกว่าภาคแรก จนมันกลายเป็นหนังภาคต่อที่น่าผิดหวังเมื่อเทียบกับมาตรฐานอันดีเยี่ยมจากภาคแรก แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นงานที่เลวร้ายจนน่าสาปส่งแต่อย่างใด

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Come Play: หนังสยองขวัญทุนต่ำ

รีวิวหนัง Come Play: หนังสยองขวัญทุนต่ำ

Come Play คือหนังสยองขวัญ ทุนต่ำ ผลงานการกำกับ และเขียนบทโดย จาคอบ เชส ที่ได้ดัดแปลงมาจากหนังสั้นของเขาเอง โดยเรื่องราวของหนังจะพูดถึง โอลิเวอร์ (แอซชี่ โรเบิร์ตสัน) เด็กชายที่มีปัญหาในการเข้าสังคม จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับเพื่อนในจินตนาการที่มีชื่อว่า แลร์รี่ ที่มาจากในหนังสือนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่เขาได้รู้จักแลร์รี่ เขาก็พบว่ามีพลังงานบางอย่างเขามาติดตามเขา และมันก็ได้นำพาความสยองมาสู่เขา และครอบครัว

ความน่าสนใจของ Come Play คือการที่หนังมาพร้อมรูปแบบของหนังสยองขวัญสูตรสำเร็จ ที่เล่นกับความกลัวของเด็ก โดยหนังเลือกสร้างบรรยากาศที่น่ากลัว ผ่านจินตนาการ และความหวาดกลัวของเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมืดภายในบ้าน ที่หนังเรื่องนี้สามารถนำเสนอออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

หนังสามารถสร้างความน่ากลัว ด้วยทุนสร้างอันมีจำกัด ด้วยการเล่นกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวคนเราในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น เงาปริศนาจากการเล่นฟีลเตอร์ เสียงหรือเงาปริศนาที่ซ่อนตามจุดต่างๆ ที่สามารถสร้างประสบการณ์ความกลัวร่วมกับคนดูได้แทบทุกฉาก โดยที่หนังแทบไม่ต้องมีฉากตุ้งแช่ที่เล่นใหญ่ หรือเอฟเฟกต์ชวนสยดสยองเหมือนหนังผีส่วนใหญ่เลย

ไม่ใช่แค่การนำเสนอความน่ากลัวที่ Come Play ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเท่านั้น แต่ในด้านการผสมผสานพาร์ทดราม่า ในหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน หนังสอดแทรกประเด็นการบูลลี่ของเด็กๆ เรื่องของครอบครัวที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของแม่ลูก ที่ถูกใส่เข้ามาช่วยเพิ่มมิติให้เรื่องราวของหนังได้ลงตัวมากๆ

ในด้านของข้อเสียของ Come Play ก็ยังเป็นการที่หนังค่อนข้างมาตามสูตรสำเร็จเยอะเกินไป ประกอบกับความที่พลอตของหนังเหมาะกับความเป็นหนังสั้นมากกว่า ทำให้ตลอดเวลา 90 นาที ของหนังอาจมีช่วงที่เนื้อหาวนอยู่กับที่ รวมทั้งที่มาของผีในเรื่อง ก็เล่าได้ไม่สุดเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม Come Play ก็นับว่าเป็นหนังสยองขวัญสูตรสำเร็จยุคหลังๆ ที่ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของหนังแนวนี้ หนังมีจังหวะการเล่าเรื่องที่ชวนลุ้น ชวนติดตาม และให้บรรยากาศความสยองแบบบ้านๆ ไม่เล่นใหญ่ แต่ความน่ากลัวอัดแน่นไม่แพ้หนังสยองขวัญทุกใหญ่ๆ เลย

สามารถรับชม Come Play ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Shin Ultraman: หนังที่ยังคงเสน่ห์ของความเป็นอุลตราแมนดั้งเดิมไว้

รีวิวหนัง Shin Ultraman: หนังที่ยังคงเสน่ห์ของความเป็นอุลตราแมนดั้งเดิมไว้

หลังจากที่เมื่อปี 2016 ญี่ปุ่นได้ทำการชุบชีวิต ก้อตซิลลา อีกครั้ง ใน shin Godzilla ที่เป็นการรื้อเรื่องราวอสูรกายร่างยักษ์ใหม่ทั้งหมด โดยล่าสุดได้มีอีกหนึ่งโปรเจกต์ยักษ์ อย่าง Shin Ultraman หนังที่หยิบแฟรนไชส์ดังแห่งยุค 80-90 ที่เด็ก ๆ ทุกคนต้องรู้จัก มาเล่าอีกครั้งในรูปแบบที่ต่างจากเดิม โดยหนังยังคงได้ ฮิเดกิ อันโนะ ผู้กำกับ และคนเขียนบทจาก Shin Godzilla กลับมารับหน้าที่เขียนบทให้เรื่องนี้

Shin Ultraman จะว่าด้วยเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่น ที่ได้เกิดเหตุการณ์สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ ที่เรียกว่า “ไคจู” ออกอาละวาด ทำลายเมือง จนทำให้รัฐบาลได้ก่อตั้งหน่วยปฏิบัติการรับมือกับไคจูขึ้นมา เพื่อช่วยวิเคราะห์ความสามารถ และจุดอ่อนของ ไคจูแต่ละตัว เพื่อหาทางกำจัดพวกมัน จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีการปรากฎตัวของมนุษย์ต่างดาวปริศนานาม “อุลตราแมน” ที่ได้มาช่วยมนุษย์ในการต่อสู้กับไคจู ท่ามกลางปริศนาที่ทุกคนต่างสงสัยว่า อุลตตราแมนคือใคร และแท้จริงแล้วเขาคือฮีโร่ หรือวายร้ายตนใหม่ที่ต้องการทำลายโลก

แม้ว่าจะเป็นหนังในปี 2022 แต่ความน่าสนใจของ Shin Ultraman คือการหยิบความเป็นสไตล์ดั้งเดิมของแฟรนไชส์นี้ กลับมานำเสนออีกครั้ง โดยที่ไม่ทำให้มันเชยเกินไป หนังมีการหยิบนำจุดขายเก่า ๆ ของอุลตราแมนมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบที่คุ้นหู การเล่นกับฉากแปลงร่าง ไปจนถึงฉากเปิดที่เป็นจุดขาย ที่เมื่อใครที่เป็นคนดูวัย 20-30 น่าจะอินกับฉากเหล่านี้ไม่น้อย

ด้านฉากแอ็คชั่นเองก็ยังคงสไตล์การต่อสู้แบบเดิมของอุลตราแมน ที่มีการปล่อยพลังต่าง ๆ ใจกลางเมืองญี่ปุ่น โดยในเรื่องนี้ได้มีการใช้เทคนิค CGI ที่ร่วมสมัยเพื่อให้ฉากต่อสู้ออกมายิ่งใหญ่ อลังการมากขึ้น แต่กระนั้นด้วยความที่หนังมีสเกลที่ใหญ่เกินไป ทำให้ฉาก CGI บางฉากออกมาดูไม่เนียน จนดูตลกไปเลยในบางฉาก

แต่แม้ว่าหนังจะเน้นไปที่การต่อสู้ของ ไคจู และอุลตราแมน แต่อีกหนึ่งพาร์ทที่ Shin Ultraman ทำออกมาได้ดีพอ ๆ กับ Shin Godzilla คือประเด็นการเมืองที่ในเรื่องนี้หนังค่อนข้างใส่ออกมาได้แบบพอดี มีการพูดถึงบริบทการแย่งชิงอำนาจระหว่างประเทศ มาเป็นส่วนเสริมที่ทำใหหนังมีครบทุกรสชาติมากขึ้น

โดยรวม Shin Ultraman เป็นหนังฟอร์มยักษ์แห่งปีจากญี่ปุ่น ที่ทำออกมาได้อย่างสมการรอคอย หนังได้พาคนดูที่โตมากับอุลตราแมน กลับไปพบเพื่อนเก่าในวัยเด็กอีกครั้ง โดยที่ยังคงมาพร้อมลายเซ็น เอกลักษณ์ที่คุ้นเคย และสเกลต่าง ๆ ที่ยิ่งใหญ่ เรียกได่ว่าเป็นหนังที่แฟนอุลตราแมนไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Up Rank: หนังไทยที่หยิบประเด็นการเล่นเกม ผสมผสานกับความเป็นหนังอาชญากรรมได้อย่างลงตัว

รีวิวหนัง The Up Rank

หลังจากที่ก่อนหน้าที่วงการหนังไทยได้หยิบประเด็นของวงการกีฬา E-Sport มาเล่าใน Mother Gamer ที่เป็นการพูดถึงเรื่องการเล่นเกม และประเด็นครอบครัวแล้ว ในปีนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งหนังไทยที่นำประเด็นเรื่องวงการเกม วงการ E-Sport มาเล่า ที่ผสมผสานความเป็นอาชญากรรม กับหนังเรื่อง The Up Rank หรือชื่อไทย “อาชญาเกม”

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ยู (กิต-กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์) เด็กหนุ่มผู้ชอบเล่นเกม PUBG Mobile เป็นชีวิตจิตใจ ที่ได้รับการติดต่อจาก โฮม (เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ) ชายผู้ที่กำลังมองหาช่องทางการทำเงินจากเกม PUBG ด้วยการทำการอัพแรงค์ ให้กับคนที่ต้องการไต่อันดับไปสู่ระดับที่สูงขึ้น โดย โฮม ได้ชวนให้ยูเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกเพื่อเล่นเกมให้กับลูกค้า แลกกับเงินจำนวนมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาได้ดำดิ่งลงสู่ด้านมืดของวงการเกม

แม้ว่า The Up Rank จะมีพลอตหนังที่พูดถึงการเล่นเกม PUBG ก็ตาม แต่เนื้อหาของหนังกลับไม่ได้โฟกัสที่ตัวเกมเป็นจุดศูนย์กลาง ทำให้ต่อให้คนที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนเลย ก็สามารถดูหนังเรื่องนี้รู้เรื่อง เพราะประเด็นหลัก ๆ ที่หนังพยายามจะพูดถึงสายตาของผู้คนที่มองมาที่การเล่นเกม ที่จะมีทั้งฝั่งที่สนับสนุน และฝั่งที่ต่อต้าน ในขณะเดียวกันภายในวงการเกมเองก็มีเรื่องราวความขัดแย้งต่าง ๆ ซ่อนอยู่ด้วย

ในช่วงแรกหนังเล่าออกมาได้อย่างกระชับ รวดเร็ว เพื่อทำการเข้าสู่เนื้อหาของหนัง การเร่งจังหวะนี้ค่อนข้างเล่าออกมาได้ผิวเผินเบาบาง จนทำให้ครึ่งชั่วโมงแรกของหนังดูธรรมดา ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร ก่อนที่หนังจะค่อย ๆ เผยทีเด็ดหลังจากองก์ 2 เป็นต้นไป ด้วยการใส่ความขัดแย้งต่าง ๆ ให้ตัวละครอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละปมก็ได้ผูกโยงกันสู่เส่นเรื่องหลักได้อย่างน่าติดตาม

จุดขายของ The Up Rank ไม่ได้อยู่ที่พาร์ทการเล่นเกม แต่กลับเป็นพาร์ทดราม่าที่เล่าออกมาได้ถึงอารมณ์ และมีความสนุก น่าติดตาม ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของคนในทีม ที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ และความขัดแย้ง การชิงผลประโยชน์ ที่ชวนให้ติดตามต่อว่าท้ายที่สุดจะลงเอยอย่างไร รวมถึงพาร์ทดราม่าครอบครัว ที่สะท้อนภาพความแตกต่างของช่วงวัยออกมาได้สมจริง และเล่าได้อย่างดีเยี่ยม

น่าเสียดายที่ใน      The Up Rank หนังไม่สามารถนำเสนอทุกประเด็นในเรื่องออกมาได้สุดเท่าที่ควร หลาย ๆ ประเด็นของหนังถูกเล่าอย่างผิวเผิน เช่นเดียวกับบางตัวละครที่ขาดมิติ และความน่าเอาใจช่วย ที่น่าเสียดายที่สุดคือตอนจบของหนัง ที่สรุปออกมาได้อย่างกำกวม ไม่ชัดเจน จนสร้างความรู้สึกค้างคาต่อคนดู

โดยรวม The Up Rank ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังไทยดี ๆ ที่แม้พลอต และเนื้อหาจะไม่ได้แมสเท่ากับหนังไทยสมัยนี้ แต่ทีมผู้สร้างก็สามารถถ่ายทอดประเด็นดราม่าต่าง ๆ รวมถึงการสะท้อนภาพสังคมที่มองต่อการเล่นเกม ออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา เป็นหนังที่สามารถขายดราม่าได้สนุก ชวนติดตามเกินคาด ใครที่อยากดูหนังไทย รสชาติแปลกใหม่ เข้ากับยุคปัจจุบัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Up Rank ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Nobody: หนังแอคชั่น สุดเดือดที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความมันส์แบบ John Wick

รีวิวหนัง Nobody: หนังแอคชั่น สุดเดือดที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความมันส์แบบ John Wick

ผลงานหนังแอคชั่น ล้างแค้นสุดเดือดอีกเรื่องของปี 2021 โดยทีมผู้สร้างจาก John Wick นำทีมโดย เดเรค โคลสแตด มือเขียนบทจาก John Wick 1-3 มารับหน้าที่เขียนบท พร้อมได้ อิลย่า แนชฮุลเลอร์ มือกำกับจาก Hardcore Henry มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง บ้อบ โอเดนเคิร์ก จากซีรีส์ Better Call Saul มาสลัดลุ้คทนายอารมณ์ดี สู่บทมือสังหารรุ่นใหญ่

Nobody จะว่าด้วยเรื่องราวของ ฮุตช์ แทนเซล (บ้อบ โอเดนเคิร์ก) ชายวันกลางคนที่ใช้ชีวิตสุดแสนจะธรรมดา เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ชีวิตวนลูปอยู่กับการทำกิจกรรมเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโจรบุกเข้ามาในบ้านของเขา และขโมยเงินไปได้เล็กน้อย แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าวมันได้ปลุกสัญชาตญาณดิบที่ซ่อนอยู่ของ ฮุตช์ ให้กลับมาอีกครัง เขาเลยได้ทำการออกล่าใครก็ตามที่ทำร้ายเขา และครอบครัว

ความน่าสนใจของ Nobody คือการเป็นหนังล้างแค้นยุคใหม่ ที่ให้อรรถรสเดียวกับ  John Wick คือการเลือกที่จะเล่าตามสูตรของหนังแนวนี้ พร้อมการสร้างสรรค์ตัวเอกของเรื่องให้มีเอกลักษณ์ มีภาพจำที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งในหนังเรื่องนี้ผู้สร้างก็เลือกที่จะเล่าเรื่องแบบใน John Wick ภาคแรกอีกครั้ง โดยหนังจะไม่ได้เน้นขายแอคชั่นเป็นไฮไลท์ของเรื่อง แต่หนังเลือกที่จะค่อย ๆ พาคนดูไปสำรวจชีวิต ความคิดของตัวละครทีละน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เผยความเก่งกาจของตัวละคร จนนำมาสู่ความบันเทิงหลักของหนัง

ฉากแอคชั่นในเรื่องเรียกได้ว่าทำออกมาได้สนุก ตามสไตล์งานของทีมผู้สร้าง โดยในเรื่องนี้หนังได้ปรับโทนความเข้มข้น ดุเดือด ของลีลาการบู๊ ให้ออกมาสมกับตัว บ้อบ โอเดนเคิร์ก ด้วยวัยของนักแสดงลีลาการต่อสู้จะไม่ได้เก่งกาจ พลิ้วไหวมาก แต่จะเน้นไปทางเชื่องช้า แต่หนักแน่น และยังคงไว้ซึ่งความโหด ความรุนแรง ที่เป็นลายเซ็นสำคัญไม่แพ้ John Wick และแม้ว่าหนังจะไม่ได้มาพร้อมงานโปรดักชั่นที่ใหญ่โต แต่หนังก็สามารถอัดแน่นฉากต่อสู้ทั้งมือเปล่า และใช้อาวุธ ที่ชวนตื่นตาตื่นใจ ตลอดทั้งเรื่อง

ด้านการแสดง บ้อบ โอเดน เคิร์ก ยังคงมอบการแสดงที่น่าจดจำได้อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะยังเต็มไปด้วยความเป็น ซอล กู้ดแมน อยู่ในบทบาทนี้ โดยเฉพาะความเป็น Loser แต่ในพาร์ทที่เขาต้องบู๊ โอเดนเคิร์ก ก็ถ่ายทอดความดาร์กของตัวละครออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ แต่นอกจาก โอเดนเคิร์กแล้ว หนังก็ยังมี คริสโตเฟอร์ ลอยด์ (Back to the Future) ที่มาสร้างสีสันให้หนังเรื่องนี้ในฐานะ MVP ที่น่าจดจำอีกหนึ่งตัวละคร

Nobody นับว่าเป็นอีกหนังแอคชั่นแห่งปี 2021 ที่มีสไตล์ที่โดดเด่น และต่างจากเรื่องอื่น ๆ บ้อบ โอเดนเคิร์ก ได้สลัดภาพดาราดราม่า ตลก สู่นักบู๊คนใหม่ที่เท่ทและดิบ ไม่แพ้กัน นอกจากนี้หนังก็ยังปูทางให้ตัวเองไปสู่แฟรนไชส์ที่สามารถมีภาคต่อตามมาในอนาคตได้อย่างน่าสนใจ ใครที่มองหาหนังแอคชั่นสนุก ๆ สไตล์ John Wick นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Nobody ได้แล้ววันนี้ที่ HBO GO

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

https://youtu.be/wZti8QKBWPo

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง