รีวิว Army of the Dead แผนปล้นซอมบี้เดือด

Army of the Dead

Army of the Dead หนังซอมบี้ เน้นดูเอามันส์จาก แซค สไนเดอร์ อารมณ์แบบเกม Shooting มาเน้น ๆ แต่ด้านบทกลับเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จที่ไม่น่าจำ

ผลงานหนังซอมบี้ในรอบ 17 ปี ของผู้กำกับ แซค สไนเดอร์ นับตั้งแต่ Dawn of the Dead เมื่อปี 2004 นอกจากนี้ก็ยังเป็นหนังเรื่องที่ 2 ของเขาที่ได้ฉายในปีนี้ หลังจากเมื่อต้นปี ได้ทำปล่อยหนังที่หลาย ๆ คนรอคอยอย่าง Zack Snyder’s Justice League ให้ได้ชมกันไปแล้ว

เเละสำหรับ Army of the Dead ก็เป็นหนังซอมบี้ฟอร์มยักษ์ทุนสร้าง 70 ล้านเหรียญฯ และยังเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกของ สไนเดอร์ และสตรีมดังอย่าง Netflix อีกด้วย

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่ง ที่ได้รับการว่าจ้างจาก บลาย ทานากะ (ฮิโรยูกิ ซานาดะ) มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นที่ได้มอบหมายให้ไปทำภารกิจปล้นเงินจำนวนมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในตู้เซฟ ในคาสิโนแห่งหนึ่งในลาสเวกัส ที่ในตอนนี้เมืองแห่งแสงสีได้กลายเป็นเขตกักกันที่ภายในเต็มไปด้วยกองทัพซอมบี้ สก้อต วาร์ด (เดฟ บาทิสต้า) หัวหน้าทีมปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ก็ได้ทำการรวบรวมทีมปล้นที่แต่ละคนก็มีความเชี่ยวชาญที่ต่างกันไปเพื่อเข้าไปทำภารกิจในครั้งนี้ ซึ่งพวกเขาก็ต้องเข้าไปเผชิญกับเหล่าซอมบี้หลากหลายสายพันธุ์ที่พร้อมเล่นงานพวกเขาทุกเมื่อ

Army of the Dead

ถือว่าเป็นหนังซอมบี้ที่ทำออกมาได้สมการรอคอยก็ว่าได้ เพราะ Army of the Dead เป็นหนังที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบสูตรสำเร็จของหนังซอมบี้ที่ทุกคนคุ้นเคย พร้อมทั้งยังมีพลอตเรื่องที่คล้ายคลึงกับ Peninsula หนังภาคต่อของ Train to Busan ที่เข้าฉายเมื่อปีที่แล้วอีกด้วย

แต่เมื่อหนังอยู่ในมือของผู้กำกับเจ้าพ่อ CGI และเจ้าพ่อเรท R อย่าง สไนเดอร์ มันทำให้ Army of the Dead เป็นหนังซอมบี้สูตรสำเร็จที่ดูสนุก หนังให้อารมณ์แบบแอคชั่นปฏิบัติการที่เต็มไปด้วยฉากยิงกัน ฉากไล่ล่า ทำภารกิจที่น่าติดตาม

โดยเฉพาะฉากสู้ซอมบี้ที่ทำออกมาได้ชวนติดตาม ให้อารมณ์เหมือนกับกำลังเล่นเกมตะลุยซอมบี้มันส์ ๆ อย่าง Left4Dead หรือ Resident Evil ที่นอกจากจะยิงกันมันส์สะใจแล้ว ยังเต็มไปด้วยความโหดระดับเรท R อีกด้วย ใครที่ชื่นชอบเกมแนว Shooting น่าจะชื่นชอบฉากแอคชั่นของหนังเรื่องนี้ไม่น้อย

Army of the Dead

การดำเนินเรื่องของ Army of the Dead เรียกได้ว่ามาแบบตามสูตรหนังซอมบี้ที่เล่าเป็นเส้นตรง แต่ด้วยความที่หนังมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 28 นาที ทำให้ในช่วงแรกหนังมีช่วงเวลาในการปูเรื่อง และแนะนำตัวละครได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ในช่วงแรกหนังอาจเนิบช้าไปบ้าง แต่ด้วยความที่พาร์ทดราม่า และการปูเรื่องที่ปูมาดี ทำให้องก์ 2 -3 ของหนังคนดูสามารถคล้อยตามและเอาใจช่วยกับตัวละครได้ ซึ่งเป็นจุดที่หนังซอมบี้น้อยเรื่องในยุคนี้จะทำได้ เพราะส่วนใหญ่มัวไปโฟกัสที่ความสยอง ความระทึก ภายในเวลาอันน้อยนิด

 Army of the Dead

อีกหนึ่งจุดขายของหนังเรื่องนี้คือการสร้างสรรค์จักรวาลซอมบี้ของตัวเองออกมาได้น่าจดจำ ซอมบี้ในหนังเรื่องนี้มีความคล้ายกับหนังเรื่อง Zombieland ที่ได้มีการจำแนกชนิดของซอมบี้เอาไว้เป็นระดับความฉลาด ความโหดร้าย ซึ่งใน Army of the Dead ก็เพิ่มสกิลของซอมบี้ในเรื่องไปอีกขั้นทั้งการให้มีราชา และราชินีซอมบี้, ซอมบี้เสือ, ไปจนถึงซอมบี้จำศีล ที่แต่ละคาแรคเตอร์ของซอมบี้ก็ได้เป็นความบันเทิงที่ทำให้คนดูได้ตื่นเต้นกับความสามารถที่ต่างกัน เหมือนการเล่นเกมที่ต้องเจอกับลูกสมุนที่ไล่ระดับจากอ่อนไปจนแข็งแกร่งสุด ที่น่าชื่นชมคือ สไนเดอร์ สามารถสร้างสรรค์หน้าตาของซอมบี้ในเรื่องออกมาได้ชวนจดจำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวซอมบี้เสือ ที่มีความเท่ปนสยองอยู่ในตัวเดียว

สำหรับข้อเสียของ Army of the Dead ก็ยังหนีไม่พ้นความเป็นสูตรสำเร็จบางส่วนที่หนังแนวนี้จะต้องเผชิญ ทั้งการตายของตัวละคร ที่หากใครที่ดูหนังแนวนี้ จะพอสามารถเดาได้ว่าตัวละครไหนที่ถูกสร้างมาเพื่อตาย และตัวละครไหนถูกสร้างมาเพื่อรอด

นอกจากนี้การที่หนังเลือกทีมนักแสดงที่ไม่ได้เป็นระดับเอลิสต์ หรือแถวหน้ามาแสดง รวมถึง เดฟ บาทิสต้า ที่ก้าวมาสู่บทพระเอกเต็มตัวเป็นครั้งแรก ทำให้การแสดงในเรื่องดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร ตัวละครหลักในหนังเรื่องนี้ให้อารมณ์เหมือนหนังแอคชั่นเกรดบีที่ไม่ได้ชวนจดจำนัก รวมถึงการแสดงของ บาทิสต้าเองก็ยังไม่สามารถแบกหนังไว้ได้ ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นงานการการแสดงสอบตกไปอย่างน่าเสียดาย

Army of the Dead

โดยรวม Army of the Dead ถือว่าเป็นอีกหนังซอมบื้ที่เน้นเพื่อดูเอาบันเทิงแบบถอดสมองดู หนังแทบไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือต่างจากหนังซอมบี้สูตรสำเร็จในยุคหลัง ๆ ความโดดเด่นคือการพยายามสร้างจักรวาลซอมบี้ของ แซค สไนเดอร์ และการเล่นกับความโหดแบบเรท R ใครที่ชอบหนังที่ดูเอามันส์ ไม่ต้องคิดมาก นี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรพลาด

#Army of the Dead #แผนปล้นซอมบี้เดือด #หนังซอมบี้ #Netflix #หนัง ซีรีส์ #news-entertainments.com

Cr. ภาพ: Rotten Tomatoes, IMDB

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี

Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี: หนังผีที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่สมคำร่ำลือ ที่มาพร้อมครึ่งแรกที่ดีงาม แต่พังทลายในครึ่งหลัง

ผลงานการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่าง GDH และ Netflix ที่นอกจากนั้นหนังก็ยังใช้คำโปรโมทสุดน่าสนใจว่า “หนังผีสายวิทย์” เรื่องแรกของไทย โดยหนังเรื่องนี้ก็เป็นผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ กอล์ฟ-ปวีณ ที่เคยทำหนังผีจิตวิทยามาแล้วใน บอดี้ ศพ 19

โดยครั้งนี้เขาก็ยังมาพร้อมกับสไตล์งานที่ถนัดด้วยการทำหนังผี ที่ไม่เน้นความสยอง ความหลอนแบบไทย ๆ แต่มาแบบสยองขวัญอารมณ์หนังฮอลีวูด ด้วยองค์ประกอบโดยรวมเหล่านี้ทำให้ Ghost Lab เป็นอีกหนึ่งหนังไทยที่ทั้งคอหนังสยองขวัญ หรือแฟนหนังทั่วไปต่างให้ความหวัง ความสนใจไว้พอสมควร

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ หมอกล้า (ไอซ์-พาริส) และหมอวี (ต่อ-ธนภพ) สองหมอเพื่อนซี้ที่วันหนึ่งทั้งคู่ก็ได้พบกับผีตนหนึ่งในโรงพยาบาลช่วงกลางดึก การเห็นผีครั้งนั้นได้เปลี่ยนความคิดให้ หมอวี จากคนที่ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ เรื่องเหนือธรรมชาติ เริ่มสงสัยเกี่ยวกับโลกหลังความตาย ด้วยเหตุนี้ หมอกล้า เลยชวน หมอวี เพื่อร่วมทำการทดลองลับของเขา คือการทดลองพิสูจน์ว่าผี หรือวิญญาณ มีอยู่จริง แต่ทว่าความยากของการทดลองนี้คือการที่พวกเขาไม่สามารถทำให้ผี มาปรากฎตัวในการทดลองของพวกเขาเลยได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ทั้งคู่เริ่มเกิดไอเดียบางอย่างที่มันค่อย ๆ ล้ำเส้นของความเป็นหมอ และนักวิทยาศาสตร์ จนนำมาสู่ความสยองที่จะเปลี่ยนชีวิตทั้งคู่ไปตลอดกาล

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี

ถ้าจะบอกว่า Ghost Lab เป็นหนังผีแนวใหม่ ก็ต้องยอมรับว่าพลอตของเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างใหม่สำหรับหนังไทย ทั้งในด้านความเป็นไซไฟ และสยองขวัญ หนังสร้างคาแรคเตอร์ และเงื่อนไขของตัวละครออกมาได้แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ที่สองตัวเอกเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้แทนที่เราจะได้เห็นสองตัวละครนี้เห็นผี

เรากลับได้เห็นตัวละครเดินหน้าเข้าหาผีแบบไร้ซึ่งความหวาดกลัว พร้อมทั้งหนังก็ยังใส่มุมมองของวิทยาศาสตร์เข้าไปแบบจัดเต็ม มีการอ้างอิงสมมติฐาน หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องผี ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้เมามันส์ ชวนติดตาม โดยตลอดครึ่งแรกของหนังได้มีการค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุก ความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนคนดูสามารถรู้สึกถึงพลังความคิดสร้างสรรค์ และการเล่าเรื่องที่มีพลังของผู้กำกับ

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี

สำหรับความน่ากลัวของหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังผีที่มาทรงผีไทยเหมือนที่ผ่านมา หนังแทบไม่มีฉากผีสยดสยองให้ได้เห็นมากนัก เนื่องจากหนังจะเน้นไปที่ความเป็นวิทยาศาสตร์ การทดลองเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามหนังก็ยังเต็มไปด้วยฉากตุ้งแช่ สไตล์ GDH ที่มีจังหวะให้ได้สะดุ้งกันเป็นพัก ๆ ตัวผีในเรื่องค่อนข้างมีความเป็นผี CGI หรือผีแบบยอดมนุษย์ ซึ่งเป็นลายเซ็นของตัวผู้กำกับ

แม้ว่าครึ่งแรกของ Ghost Lab จะทำออกมาได้น่าติดตาม ชวนสนุก และใหม่เพียงใดก็ตาม แต่ทว่าปัญหาของเรื่องคือครึ่งหลังของเรื่องที่ทุกอย่างดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนว่าทางทีมเขียนบทต้องรีบตัดหนังให้จบภายใน 2 ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่ประเด็นของหนังยังเหลืออีกมากมายให้ได้เล่า ทำให้สิ่งที่ได้ในครึ่งหลังคือการกระทำต่าง ๆ ของตัวละครที่ค่อย ๆ ไร้เหตุและผลลงเรื่อย ๆ ความเป็นวิทยาศาสตร์ของหนังก็เริ่มลดลง ก่อนที่ท้ายที่สุดหนังจะทำลายตัวเองใน 30 นาทีสุดท้ายด้วยการกลับสู่หนังผี วิญญาณอาฆาต ตามสูตรเดิม ๆ แต่เพิ่มเติมคือความไม่สมเหตุสมผลมากมาย ที่มันชวนย้อนแย้งกับครึ่งเรื่องก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี

อย่างไรก็ตามแม้ว่าหนังจะมีครึ่งหลังที่ค่อนข้างเลวร้าย และไม่น่าจดจำ แต่สิ่งที่น่าชื่นชมอย่างปฎิเสธไม่ได้คือการแสดงของ ต่อ-ธนภพ ในบท หมอวี ที่สามารถแบกหนังทั้งเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม ในเรื่องนี้เราจะได้เห็น ต่อในบทหมอผู้ขี้อาย แสดงความรู้สึกไม่เก่ง

แต่ด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ตัวละคร หมอวีต้องเผชิญ มันได้ค่อย ๆ ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวน พร้อมทั้งการดิ้นรนเพื่อความอยากรู้อยากเห็นแบบถึงขั้นสุด ทำให้เราได้ค่อย ๆ เห็นความคลั่งของ หมอวีที่ไล่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง ต่อก็สามารถเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม จนสามารถตรึงคนดูไว้กับหนังจนจบเรื่องได้แม้ว่าช่วงท้ายจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี

โดยรวม Ghost Lab ถือว่าเป็นหนังไทยที่ให้อารมณ์ต่างจากหนังผีไทยเรื่องอื่น ๆ สมกับคำโฆษณา หนังเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ การนำเสนอจากมุมมองวิทยาศาสตร์ ที่ให้ความสนุกที่ต่างจากหนังแนวเดิม ๆ ที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่พลังความสร้างสรรค์เหล่านั้นกลับอ่อนลงในช่วงกลางเรื่องไปจนถึงท้ายเรื่อง

ทำให้แทนที่หนังจะสามารถนำเสนอการทดลองที่ตื่นเต้น ชวนลุ้นไปจนจบ แต่ภาพที่ออกมาคือความน่าผิดหวัง เหมือนการทดลองที่ล้มเหลวกลางทาง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการทดลองในด้านภาพยนตร์ ที่คุ้มค่า และได้สร้างอะไรใหม่ ๆ ให้กับวงการหนังไทยไม่มากก็น้อย

#Ghost Lab #Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี #ฉีกกฎทดลองผี #ไอซ์-พาริส #ต่อ-ธนภพ #GDH #Netflix Thailand #Netflix #หนัง ซีรีส์ #news-entertainments.com

Cr. ภาพ : Facebook Fanpage: GDH

รีวิวหนัง My Octopus Teacher: สารคดีดีกรีรางวัลออสการ์

My Octopus Teacher

My Octopus Teacher สารคดีดีกรีรางวัลออสการ์ ที่ถ่ายทอดความสัมพันธ์ของคน และปลาหมึกออกมาได้น่าประทับใจ

อีกหนึ่งหนังสารคดีน้ำดีจาก Netflix ที่ได้ดีกรีคว้ารางวัลหนังสารคดียอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์ปีล่าสุดมาครอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ภาคภูมิใจของสตรีมดังก็ว่าได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่หนังสารคดีที่ถ่ายทอดโลกใต้ทะเลเท่านั้น แต่มันยังพูดถึงสัจธรรมที่สวยงาม และโหดร้ายของชีวิตอีกด้วย

สารคดีสัตว์โลกMy Octopus Teacher

หนังว่าด้วยเรื่องราวของ เครก ฟอสเตอร์ นักทำหนังสารคดี ที่ช่วงหนึ่งเขาได้เกิดหมดไฟในการทำงาน และเกิดความเครียด ทำให้เขาตัดสินใจจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่แอฟริกาใต้ และใช้ชีวิตกับธรรมชาติด้วยการไปดำน้ำทุกวัน จนเขาได้พบกับปลาหมึกตัวหนึ่ง ที่อาศัยเพียงลำพังในทะเลสาปบริเวณนั้น เครก ได้เกิดความสนใจ และผูกพันกับปลาหมึกตัวนี้ จนทำให้เขาตัดสินใจที่จะถ่ายบันทึกชีวิตของมัน จนก่อเกิดเป็นมิตรภาพอันน่าประทับใจระหว่างคน และสัตว์ทะเลตัวจิ๋ว

สารคดีสัตว์โลกMy Octopus Teacher

My Octopus Teacher คือหนังที่ใช้เทคนิคการนำเสนอแบบเดียวกับสารคดีสัตว์โลกที่เราคุ้นเคย หนังมาพร้อมกับงานภาพใต้ทะเลที่สวยงาม ชวนติดตาม พาให้เราได้เปิดโลก มองเห็นสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่แปลกตา และน่ามหัศจรรย์ แต่ส่วนที่พิเศษของสารคดีเรื่องนี้คือการมีเส้นเรื่องที่ชัดเจน มีตัวละครหลัก ทำให้การดูสารคดีเรื่องนี้เหมือนกับผู้ชมกำลังดูหนังเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ได้มอบแต่สาระความรู้เท่านั้น แต่มันยังมอบทั้งความบันเทิง ความอิ่มเอมใจ และความซาบซึ้งใจ

หนังเล่าสลับเหตุการณ์ระหว่างการให้สัมภาษณ์ของ เครก ในปัจจุบัน และฟุตเทจของเจ้าปลาหมึก ที่เครก ได้ถ่ายเก็บเอาไว้ ซึ่ง เครก ก็ได้เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เขาพบปลาหมึกตั้งแต่วันแรก จนถึงวันสุดท้ายได้ชวนติดตาม มันเหมือนการพาเราไปสำรวจวัฏจักรของปลาหมึกโดยละเอียดที่สุด รวมถึงวัฏจักรของเหล่าสัตว์ทะเล แต่ส่วนที่น่าชื่นชมที่สุดของหนังเรื่องนี้คือการทำให้คนดูหลงรักปลาหมึกได้อย่างไม่น่าเชื่อ เครก ได้ทำให้ปลาหมึกที่เขาเจอเป็นตัวเอกของเรื่องนับตั้งแต่วินาทีแรกที่มันปรากฏตัวบนจอ ก่อนที่หลังจากนั้นผู้ชมจะประทับใจในมิตรภาพระหว่างคนและปลาหมึกซึ่งยากที่จะเกิดขึ้นได้

สารคดีสัตว์โลกMy Octopus Teacher

เครก ทำหน้าที่ของผู้เล่าเรื่อง และผู้สังเกตการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม เขาได้เอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ โดยไม่พยายามเข้าไปขัดขวางมัน แม้ว่าหลาย ๆ ครั้งเจ้าปลาหมึกจะต้องเอาชีวิตรอดจากฉลามที่มาไล่ล่ามัน หรือฝูงปลาอื่น ๆ ที่มองมันเป็นอาหาร เขากลับเลือกที่จะเป็นผู้รับชม และนำมาถ่ายทอด ทำให้ภาพที่เราได้เห็นมันมีความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแบบสมบูรณ์อย่างที่ควรเป็น

แม้ว่าตลอดทั้งเรื่อง My Octopus Teacher จะเต็มไปด้วยฉากชวนประทับใจของคนและปลาหมึก หรือเรื่องมหัศจรรย์ของปลาหมึกที่เราอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน แต่อีกพาร์ทที่หนังทำหน้าที่ได้ดีมาก ๆ คือช่วงสุดท้ายของหนังที่พูดถึงวาระสุดท้ายของปลาหมึกออกมาได้โศกเศร้า หนักหน่วง กว่าที่คาดคิด เครกได้ทำหน้าที่ผู้บันทึกภาพวาระสุดท้ายของปลาหมึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นตอนจบของสารคดีที่น่าจะทำให้หลาย ๆ คนเสียน้ำตาไปไม่มากก็น้อย แต่กระนั้นท่ามกลางความโหดร้ายของธรรมชาติ ในฉากจบของหนังที่ได้ทิ้งไว้ซึ่งความหวังใหม่ ที่สวยงามไม่แพ้กัน ซึ่งมันก็เหมือนกับวัฏจักรของชีวิตมนุษย์ ที่มีทั้งความโหดร้าย และสวยงามอยู่ในตัวเอง

สารคดีสัตว์โลกMy Octopus Teacher

โดยรวม My Octopus Teacher ถือว่าเป็นสารคดีน้ำดีอีกเรื่องของ Netflix ที่น่าจะถูกใจคนชอบดูสารคดีชีวิตสัตว์โลกอย่างแน่นอน หนังมาพร้อมงานภาพที่สวยงาม การถ่ายทอดชีวิตสัตว์น้ำแบบใกล้ชิด พร้อมกับการถ่ายทอดวัฏจักรของชีวิตออกมาได้ครบรส ไม่แปลกที่หนังเรื่องนี้จะเป็นทั้งขวัญใจคนดู และนักวิจารณ์จนคว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยียมมาได้สำเร็จ

#My Octopus Teacher #รางวัลออสการ์ #OSCAR #Netflix #สารคดี #สารคดีสัตว์โลกMy Octopus Teacher #ซีรีส์ หนัง #news-entertainments.com

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

The Conjuring: The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3

The Conjuring The Devil Made Me Do It

พบกับภารกิจไล่ผีครั้งใหม่ของ เอ็ด และลอวเรน ที่สยอง และน่าสะพรึงยิ่งกว่าเดิม ในตัวอย่างแรก คนเรียกผี 3 The Conjuring​: The Devil Made Me Do It

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาให้ได้ชมแล้ว สำหรับตัวอย่างแรกของ The Conjuring​: The Devil Made Me Do It หนังภาคที่สาม ของหนังปราบผีที่โด่งดังที่สุดในยุคนี้อย่าง The Conjuring ซึ่งจากเดิมที่หนังจะมีกำหนดฉายตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หนังต้องถูกเลื่อนฉายมาในปี 2021 นี้

ใครที่คิดถึงสองสามีภรรยานักปราบผี เอ็ด และลอว์เรน สามารถรับชมตัวอย่างแรกจากหนังได้แล้วตอนนี้ ก่อนเตรียมนับถอยหลังพบความสยองแบบเต็ม ๆ ช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

โดยใน The Conjuring​: The Devil Made Me Do It จะเป็นการหยิบเรื่องราวของเคสที่โด่งดัง และสะเทือนขวัญที่สุดของ เอ็ด (แพทริค วิลสัน) และ ลอว์เรน (เวร่า ฟาร์มิก้า) เหตุการณ์ในภาคนี้จะพูดถึงคดีฆาตกรรมของ อาร์นี่ จอห์นสัน (รัวรี่ โอ คอนเนอร์) ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1981

เมื่อ อาร์นี่ ได้ทำการฆ่าเจ้าของอพาร์ทเมนต์ ด้วยการกระหน่ำแทงอย่างโหดร้าย แต่ทว่าเมื่อถูกจับกุม และขึ้นพิจารณาคดีในศาล ตัวของอาร์นี่ ก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และอ้างว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นฝีมือของปีศาจที่สั่งการให้เขาลงมือฆาตกรรม เอ็ด และลอว์เรน เลยต้องทำการเข้าไปช่วยเหลือการสืบสวนคดีนี้ จนนำมาสู่หนึ่งในภารกิจปราบผีของทั้งสองที่อันตราย และน่าสะพรึงกลัวที่สุดของพวกเขา

The Conjuring​ The Devil Made Me Do It

ตัวหนังในภาคนี้กำกับโดย ไมเคิล ชาเวส (The Curse of La Llorona) เขียนบทโดย เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แมคโกลด์ริค (The Conjuring 2 , Aquaman)

พร้อมได้ เจมส์ วาน ผู้สร้างแฟรนไชส์ Saw , Insidious และ The Conjuring มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง ซึ่งนอกจากในภาคนี้หนังจะได้ แพทริค วิลสัน และเวร่า ฟาร์มิก้า กลับมารับบท เอ็ด และลอว์เรน อีกครั้ง

หนังยังสมทบด้วย รัวรี่ โอ คอนเนอร์ (Teen Spirit), จูเลี่ยน ฮิลเลียด (ซีรีส์ The Haunting of Hill House), แชนนอน คุ้ค (The Conjuring) และ สเตอร์ลิง เจอรินส์ (ซีรีส์ Divorce)

The Conjuring​ The Devil Made Me Do It

ความน่าสนใจของหนังในภาคนี้คือการฉีกกรอบเดิม ๆ ของหนัง The Conjuring ทั้งสองภาคก่อนหน้า โดยในภาคนี้หนังมีความเป็นหนังอาชญากรรม สืบสวนสอบสวน และมีการพยายามอิงเหตุการณ์จริงมากขึ้น ผิดจากภาคก่อน ๆ ที่เน้นไปทางหนังบ้านผีสิง และเน้นขายฉากตุ้งแช่ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนด้านความสยอง ความน่ากลัว ในตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมายังไม่มีการเผยฉากผีหลอก หรือฉากน่ากลัวให้ได้เห็นมากนัก แต่บรรยากาศความระทึกยังคงจัดเต็มตามเดิม ซึ่งก็ต้องมารอลุ้นในหนังเต็มว่าจะน่ากลัวเทียบเท่าสองภาคแรกได้หรือไม่

โดย The Conjuring​: The Devil Made Me Do It ถูกวางแผนให้เป็นหนังภาคสุดท้ายของชุด The Conjuring แต่กระนั้นก็ยังมีหนังจากจักรวาลภาคแยกจากแฟรนไชส์นี้ ได้แก่ The Nun 2 ภาคต่อของผีแม่ชีสุดเฮี้ยน

และ The Crooked Man หนังที่ว่าด้วยปีศาจถือร่มที่เคยสร้างความสยองมาแล้วใน The Conjuring 2 ซึ่งโปรเจกต์ทั้งสองเรื่องยังได้ เจมส์ วานมารับหน้าที่อำนวยการสร้างเช่นเคย แต่ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดฉายอย่างเป็นทางการ

สำหรับ The Conjuring​: The Devil Made Me Do It จะมีกำหนดฉายในไทย 3 มิถุนายน ในโรงภาพยนตร์

The Conjuring​ The Devil Made Me Do It

Cr.ภาพ : Warner Bros. Thailand

รีวิวซีรีส์ Invincible: อนิเมชั่นฮีโร่ที่ผสมผสานความเป็น Marvel และ DC

Invincible อนิเมชั่นฮีโร่

Invincible อนิเมชั่นฮีโร่ที่ผสมผสานความเป็น Marvel และ DC ได้อย่างลงตัว พร้อมจัดเต็มความโหดระดับเรท R

นับตั้งแต่ปี 2019 มาเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ก็ว่าได้ เพราะหลังจากความสำเร็จของ Marvel ใน Avengers : Endgame และการกลับมาผงาดอีกครั้งของ DC ทำให้หลังจากนั้นเหล่าสตูดิโอผู้สร้างหนัง ก็หันมาทำซีรีส์ หรือแฟรนไชส์ฮีโร่ของตัวเอง

ทั้ง Netflix ที่มี The Umbrella Academy และ Jupiter’s Legacy ส่วน Amazon Prime ก็มี The Boys พร้อมทั้งล่าสุดซีรีส์อนิเมชั่นแนวซุปเปอร์ฮีโร่สุดมันส์เรื่อง Invincible

โดย Invincible จะว่าด้วยเรื่องราวของ มาร์ค เกรย์สัน เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกชายของ โนแลน หรือ ออมนิแมน ฮีโร่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก วันหนึ่ง มาร์คที่ได้เติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นก็ได้เริ่มมีพลังพิเศษของตัวเอง ทำให้เขาตัดสินใจจะขอฝึกวิชากับ ออมนิแมน และกลายเป็นฮีโร่คนใหม่ที่มีขื่อว่า “อินวินซิเบิล” แต่หลังจากที่มาร์ค ได้กลายมาเป็นฮีโร่ เขาก็ต้องเผชิญกับศัตรูที่เก่งกาจมากมาย พร้อมทั้งต้องสูญเสียชีวิตเด็กวัยรุ่นไฮสกูลไป ส่วนด้าน ออมนิแมนพ่อของเขาก็ได้มีความลับอันดำมืดบางอย่างซ่อนไว้อยู่

Invincible อนิเมชั่นฮีโร่

ซีรีส์เรื่องนี้เป็นงานที่ดัดแปลงมาจากคอมมิค ของ Image Comics ที่สร้างสรรค์โดย โรเบิร์ต เคิร์กแมน ผู้สร้างซีรีส์ The Walking Dead โดยในฉบับซีรีส์นี้ เคิร์กแมนก็มารับหน้าที่ร่วมสร้างสรรค์เช่นกัน

พร้อมได้ทีมพากย์คุณภาพนำทีมโดย สตีเฟน ยวน (Minari), เจเค ซิมป์มอน (Whiplash), ซานดรา โอ (ซีรีส์ Killing Eve) และ ซาชารี่ ควินโต (Star Trek)

ความพิเศษของซีรีส์เรื่องนี้คือการผสมผสานความหลากหลายของหนังฮีโร่มารวมไว้ด้วยกัน ทั้งทีมฮีโร่ที่อิงคาแรคเตอร์มาจาก Justice League การเล่าเรื่องของตัวเอกที่เป็นวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเองที่ให้อารมณ์เหมือน Spider-Man พาร์ทสืบสวน การเมืองสุดเข้มข้นที่ชวนนึกถึง Watchmen ซึ่งใน Invincible ก็สามารถผสมผสานสิ่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างกลมกล่อมลงตัว

Invincible อนิเมชั่นฮีโร่

อีกหนึ่งจุดเด่นของซีรีส์คือการที่มันเล่าแบบอนิเมชั่น ที่สามารถเติมเต็มวิสัยทัศน์ของผู้สร้างได้อย่างเต็มที่ ทำให้ฉากแอคชั่นในซีรีส์ออกมาจัดเต็ม ทั้งความมันส์ ความอลังการ หรือการเล่นใหญ่แบบไม่ต้องกั้ก ที่เหนือกว่านั้นคือซีรีส์ได้จัดเต็มความโหด ดิบ แบบเรท r ออกมาได้เกินคาดหมายมาก ซีรีส์เต็มไปด้วยฉากเข่นฆ่าของฮีโร่ ที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาได้สยดสยอง แปลกตา ไม่ซ้ำใคร และมันทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ชมที่เป็นเด็กอย่างยิ่ง

ด้านบทของซีรีส์ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน บทได้สร้างมิติตัวละคร ที่แม้ว่าจะมีเยอะมาก ๆ แต่ทุกตัวละครในเรื่องก็มีคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำ รวมถึงการนำเสนอพาร์ทดราม่า และพาร์ทโรแมนติก ที่เข้ามาสอดแทรกเป็นระยะ ๆ ก็ช่วยทำให้ซีรีส์มีหลายรสชาติ หลายสีสัน โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ที่เป็นเนื้อหาสำคัญของเรื่อง ก็สามารถทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้อย่างน่าชื่นชม

โดยรวม Invincible ถือว่าเป็นอีกซีรีส์แนวฮีโร่น้ำดี ที่น่าจะถูกใจใครที่ชอบหนังแนวนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉากแอคชั่นสุดมันส์ ฉากฆ่ากันสุดโหด และเนื้อหาที่น่าติดตาม และด้วยความที่ซีรีส์ได้รับเสียงตอบรับที่ดี มันก็ทำให้ล่าสุดทาง Amazon ได้ประกาศอนุมัติสร้างซีซั่นที่ 2-3 แล้ว

ส่วนใครที่สนใจ สามารถรับชมซีซั่น 1 ครบทั้ง 8 Ep. พร้อมซับไทยได้แล้ววันนี้ที่ Amazon Prime

#Invincible #Marvel #DC #Amazon Prime #ซีรีส์ หนัง #news-entertainments.com

Cr.ภาพ: IMDB

พบกับสงครามระหว่าง วีน่อม และคาร์เนจ ในตัวอย่างแรก Venom: Let There Be Carnage

Venom_Let There Be Carnage

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาแล้วสำหรับตัวอย่างแรกของ Venom: Let There Be Carnage หนังภาคต่อของแอนติฮีโร่จาก Marvel ที่จู่ๆทาง Sony Pictures ก็ได้ทำการปล่อยตัวอย่างแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมทั้งปล่อยโปสเตอร์แรกอย่างเป็นทางการ มายั่วน้ำลายก่อนที่จะฉายในเดือนกันยายน 2021 นี้

Venom_Let There Be Carnage

สำหรับในตัวอย่างที่ปล่อยมา เราจะได้เห็นชีวิตของ เอ็ดดี้ บล็อก (ทอม ฮาร์ดี้) หลังจากที่ได้ถูกวีน่อมเข้าสิงร่าง เขาและวีน่อมได้ใช้ชีวิตด้วยกันราวกับเป็นแฝดในร่างเดียว ก่อนที่หนังจะเผยให้เห็นตัวละคร คลีตัส คาซาดี้  (วู้ดดี้ ฮาร์เลนสัน) หรือคาร์เนจ วายร้ายของภาคนี้ ที่มาพร้อมความโหด และทรงพลัง นอกจากนี้ในตัวอย่างก็ยังมีตัวละครลับ ที่รับบทโดย สตีเฟ่น แกรแฮม ที่มาขโมยซีน และคาดว่าน่าจะเป็นอีกตัวละครที่มีบทสำคัญในภาคนี้

ในภาคนี้หนังได้ แอนดี้ ซอร์กิน รับหน้าที่เป็นผู้กำกับ (Mowgli: Legend of the Jungle) และเขียนบทโดย เคลลี่ มาร์เซล (Saving Mr. Banks, Venom)

นำแสดงโดย ทอม ฮาร์ดี้ (Mad Max: Fury Road), วู้ดดี้ ฮาร์เลนสัน (Zombieland: Double Tap), มิตเชล วิลเลี่ยม (Blue Valentine), สตีเฟ่น เกรแฮม (The Irishman)

โดย วีน่อม เป็นผลงานที่สร้างจากคอมิคของ Marvel ซึ่งตัวละครนี้เป็นเสมือนคู่ปรับตลอดกาลของ Spider-Man ซึ่งในเวอร์ชั่นหนังภาคแรกนั้นเข้าฉายเมื่อปี 2018 เนื้อเรื่องจะว่าด้วยเรื่องราวของเอ็ดดี้ บล็อก ที่ได้เข้าไปทำข่าวการทดลองของ คัลครอน เดรก จนทำให้ บล็อก ได้พบกับวีน่อมปรสิตต่างดาวที่เข้ามาสิงร่างของเขา จนนำมาสู่ความสามารถพิเศษ ที่ทำให้บล็อกต้องถูกตามล่าจากเดรก ซึ่งการต่อสู้ของพวกเขาก็มีความสงบสุของโลกเป็นเดิมพัน

ส่วนใน Venom: Let There Be Carnage นั้น จะมีวายร้ายหลักเป็น คลีตัส คาซาดี้ ฆาตกรต่อเนื่อง ที่มีพลังของคาร์เนจ ปรสิตจากต่างดาวแบบเดียวกับวีน่อม สิงอยู่ในร่าง ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวละครนี้ก็ได้ปรากฎตัวมาแล้วในเอนด์เครดิตของ Venom

Venom_Let There Be Carnage

Venom ภาคแรกสามารถทำเงินทั่วโลกไปได้ถึง 856 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญฯ ทำให้ทาง Sony ไฟเขียวที่จะสร้างหนังที่มาจากตัวละครในจักรวาล Spider-Man เพิ่ม โดยเรื่องที่วางโปรแกรมฉายแล้วได้แก่ Morbius ที่เดิมจะฉายตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ถูกเลื่อนมาฉาย มกราคม ปี 2022 และ Spider-Man: Into the Spider-Verse ที่วางโปรแกรมฉายในปี 2022 เช่นกัน

Venom: Let There Be Carnage จะมีกำหนดฉายในอเมริกาเดือนกันยายน 2021 นี้ ส่วนในไทยยังไม่มีกำหนดวันฉายจากทาง Sony Pictures Thailand อย่างชัดเจน แต่คาดว่าแฟน ๆ น่าจะได้ชมในปีนี้กันอย่างแน่นอน

Venom_Let There Be Carnage
ตัวอย่าง Venom: Let There Be Carnage

#Venom: Let There Be Carnage #Venom #วีน่อม #Sony Pictures Thailand #ซีรีส์ หนัง #news-entertainments.com

Cr. ภาพ: Official Trailer Venom: Let There Be Carnage

เตรียมพบกับหนังผี ผสมวิทยาศาสตร์ จาก GDH ใน “Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี”

Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหนังไทยสุดน่าจับตามองของปีนี้ก็ว่าได้สำหรับ “Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี” ผลงานหนังสยองขวัญจากค่ายหนังอันดับ 1 ของไทยอย่าง GDH ที่ได้จับมือร่วมกับสตรีมดังอย่าง Netflix เป็นครั้งแรก นอกจากนี้หนังก็ยังมาพร้อมกับการนำเสนอหนังผีที่ไม่ซ้ำใครด้วยการเป็นหนังผีไซไฟ ที่จะเอาเรื่องวิทยาศาสตร์ และเรื่องไสยศาสตร์มารวมไว้ในเรื่องเดียว

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของสองนักวิทยาศาสตร์หนุ่มไฟแรง ที่วางแผนทำวิจัยร่วมกัน ซึ่งงานวิจัยของพวกเขาก็คือการพิสูจน์ว่าผีนั้นมีจริงหรือไม่ แต่ทว่าการวิจัยในครั้งนี้กลับยาก และท้าทายกว่าที่พวกเขาคิด เมื่อทั้งคู่ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าผีมีจริงได้ ทำให้ทั้งสองค่อย ๆ หาวิธีการทดลองที่อันตราย และเข้าใกล้โลกหลังความตายมากกว่าเดิม

Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี

หนังเป็นผลงานการกำกับของ กอล์ฟ-ปวีณ ภูริจิตปัญญา ที่เคยมีผลงานหนังสยองขวัญจิตวิทยาอย่าง “บอดี้ ศพ19” และ 4 แพร่ง (ยันต์สั่งตาย), 5 แพร่ง (หลาวชะโอน) พร้อมได้สองนักแสดงดังอย่าง ต่อ-ธนภพ และ ไอซ์-พาริส มาแสดงนำ พร้อมร่วมสมทบด้วย ณิชา-ณัฏฐณิชา

ความน่าสนใจของ Ghost Lab คือการที่หนังไม่ได้ขายบรรยากาศชวนสยอง ชวนน่าขนลุกเหมือนหนังผีไทยที่เราคุ้นเคย แต่หนังเลือกที่จะเล่าสไตล์หนังฮอลีวูด ที่จะมีการเน้นที่ตัวละครที่ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ เป็นเด็กสายวิทย์ฯ และมีการพยายามหาคำตอบต่าง ๆ ในรูปแบบวิทยาศาสตร์ ทำให้ตลอดในตัวอย่างของหนังแทบจะไม่ได้ให้เราเห็นผีในเรื่องเลยแม้แต่ตนเดียว

แต่ความสนุกของหนังคือการทดลองของตัวละครที่ค่อย ๆ ท้าทาย และล้ำเส้นของศีลธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้หนังก็ยังให้อารมณ์แบบหนังสยองขวัญ จิตวิทยาที่เน้นสำรวจจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกของตัวละครแบบ บอดี้ ศพ19 ที่เป็นการแจ้งเกิดของ กอล์ฟ ปวีณ อีกด้วย

ส่วนใครที่เป็นแฟนคลับของ ต่อ-ธรภพ ในปีนี้เขายังมีอีกหนึ่งผลงานกับ GDH กับหนังเรื่อง “One For The Road” หนังที่กำกับโดย บาส-ณัฐวุฒิ พูนพิริยะ (ฉลาดเกมส์โกง) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันนะหว่างไทย และฮ่องกง ที่ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง หว่องกาไวมาร่วมรับหน้าที่อำนวยการสร้าง ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ยังร่วมแสดงโดย ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ , วี-วีโอเลต , พลอย หอวัง , ออกแบบ ชุติมณฑน์ และ นุ่น ศิรพันธ์

ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาหนังเรื่องนี้ก็ได้ถูกนำไปฉายที่เทศกาลภาพยนตร์ Sundance 2021 และยังสามารถคว้ารางวัล World Dramatic Special Jury Award: Creative Vision  มาได้สำเร็จ ส่วนในไทย ยังไม่มีการวางกำหนดวันฉายอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าชาวไทยน่าจะได้ชมกันภายในปี 2021 นี้อย่างแน่นอน

สำหรับ Ghost Lab จะมีกำหนดฉาย 26 พฤษภาคมนี้ ที่ Netflix เท่านั้น

ตัวอย่าง Ghost Lab

#Ghost Lab #Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี #Netflix Thailand #Netflix #GDH #ซีรีส์ หนัง #news-entertainments.com

Ct. ภาพ Netflix Thailand

รีวิว Tom Clancy’s Without Remorse:

Tom Clancy’s Without Remorse

รีวิว Tom Clancy’s Without Remorse: หนังแอคชั่น อารมณ์สุดระทึก แต่พลอตเรื่องกลับสูตรสำเร็จ และมิติตัวละครที่ไม่น่าจดจำ

ผลงานที่ดัดแปลงมาจากนิยายดังของ ทอม แครนซี่ กับเรื่องราวที่พูดถึงจุดเริ่มต้นของหน่วย Rainbow Six ที่ได้ทีมสร้างระดับคุณภาพไม่ว่าจะเป็น สเตฟาโน่ โซลิมา (Sicario: Day of the Soldado) และได้ เทย์เลอร์ เชอร์ริแดน (Wind River) มาร่วมเขียนบท

โดยเดิมทีตอนแรกมีกำหนดวางฉายโรง แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หนังเรื่องนี้ต้องถูกถอดจากโรง และฉายบนสตรีม Amazon Prime แทน

Tom Clancy’s Without Remorse

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ จอห์น เคลลี่ (ไมเคิล บี จอร์แดน) เจ้าหน้าที่หน่วยซีลมือฉมัง ที่วันหนึ่งเขาต้องสูญเสียครอบครัว จากการถูกฆาตกรรม หลังจากนั้น เคลลีก็พบว่ากระบวนการความยุติธรรม ไม่สามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ ทำให้ เคลลี่ ต้องรับหน้าที่เป็นศาลเตี้ยคอยตามล่าคนที่ทำลายครอบครัวเขา ก่อนที่เขาจะพบว่าเบื้องหลังเรื่องทั้งหมด เกิดจากความต้องการทำสงครามระหว่างอเมริกา และรัสเซีย ที่มีพลเรือนอย่างเขาเป็นเหยื่อ และเครื่องมือ

ตัวหนังเรียกได้ว่าทำมาเพื่อเอาใจแฟนเกมแนว Shooting หรือคนที่ชอบหนังแอคชั่น ปฎิบัติก่รณ์โดยเฉพาะ ตลอดทั้งเรื่องหนังเต็มไปด้วยฉากการทำภารกิจที่ตื่นเต้นสมจริง แม้ว่าจะไม่ได้เน้นฉากไล่ล่า หรือฉากวินาศสันตะโรมาก แต่จะเน้นไปที่ฉากยิงกันแบบเท่ ๆ ดุเดือด เหมือนที่ผู้กำกับเคยทำไว้ใน Sicario: Day of the Soldado ใครชอบหนังสไตล์พูดน้อยต่อยหนักน่าจะถูกใจไม่มากก็น้อย

กระนั้นปัญหาสำคัญของหนังเรื่องนี้คือบทหนังที่ไม่สามารถให้ความสมเหตุสมผล และน้ำหนักการกระทำของตัวละครเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่เดิมทีในเวอร์ชั่นหนังสือหนังถ่ายทอดพาร์ทการล้างแค้นออกมาได้เข้มข้น แต่ในหนังกลับเลือกที่จะปรับบริบทตัวละครใหม่ จนทำให้มิติตัวละครหายไปอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้หนังก็ยังมาพร้อมบทแบบสูตรสำเร็จของหนังแอคชั่น ผสมการเมือง ที่มักจะมีการแถแบบเดิม ๆ ที่คนที่ดูหนังแนวนี้มาบ่อยน่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก

อีกส่วนที่น่าเสียดายคือหนังค่อนข้างเล่นกับฉากกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ พร้อมโทนภาพที่มีสีเข้ม ๆ หม่น ๆ ทำให้ฉากแอคชั่นหลาย ๆ ฉากของเรื่องมีโทนภาพที่มืด จนทำให้มองไม่เห็น จนคนดูไม่สามารถมีอารมณ์ร่วมกับหนังได้เท่าที่ควร

Tom Clancy’s Without Remorse

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม ไมเคิล บี จอร์แดน ที่ยังสามารถรับบทชายผู้มีความแค้นออกมาได้หนักแน่น ทรงพลัง เป็นตัวละครสไตล์พูดน้อยต่อยหนัก ไม่ต่างจากผลงานเรื่องก่อน ๆ เช่นบท คิลมองเกอร์ ใน Black Panther แต่ที่ค่อนข้างน่าเสียดายคือบทของ กาย เพียร์ช ที่หนังไม่สามารถใช้งานตัวละครของเขาได้อย่างคุ้มค่าเท่าที่ควร

โดยรวม Tom Clancy’s Without Remorse ถือว่าเป็นหนังแอคชั่น ระทึกขวัญ ที่ค่อนข้างน่าจะถูกใจคนชอบหนังปฎิบัติการณ์ หรือใครที่เป็นแฟนเกมที่ดัดแปลงจากนิยายของ ทอม แคลนซี่ แต่หากใครที่ดูเอาเนื้อหาอาจผิดหวังอีกเรื่องของปีนี้ ทั้ง ๆ ที่ตอนปล่อยตัวอย่างหนังทำออกมาได้เข้มข้น น่าดูมาก แต่ทว่าในหนังจริงหนังเต็มกลับทำหน้าที่ไม่สุด โดยเฉพาะด้านบท ที่ค่อนข้างสูตรสำเร็จ ไม่มีอะไรให้น่าจดจำหรือพูดถึงอย่างไรก็ตามหนังก็ยังมีเอนด์เครดิต 1 ตัวที่น่าจะเซอร์ไพรส์แฟนเกมชุด Rainbow Six พร้อมทั้งทิ้งความหวังว่าเราอาจได้เห็นภาคต่อไปของหนังเรื่องนี้ในอนาคต

Tom Clancy’s Without Remorse
ตัวอย่าง Without Remorse

#Without Remorse #Tom Clancy’s Without Remorse #Amazon Prime #ซีรีส์ หนัง #news-entertainments.com

เตรียมนับถอยหลังสู่คืนล้างบาปครั้งสุดท้าย ในตัวอย่างแรก The Forever Purge

The Forever Purge

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาแล้ว สำหรับตัวอย่างแรก และใบปิดแรกอย่างเป็นการทางของ The Forever Purge หนังภาคที่ห้าของแฟรนไชส์ The Purge ที่ว่าด้วยคืนล้างบาปในตำนาน ซึ่งภาคนี้ก็ถูกวางตัวให้เป็นภาคสุดท้ายของหนังชุดนี้

โดยในภาคนี้หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ฮวน และอเดล่า สองคู่รักชาวเม็กซิกัน ที่ทำงานเป็นคนรับใช้ให้ครอบครัวมหาเศรษฐีครอบครัวหนึ่งในเท็กซัส เหตุการณ์ในเรื่องก็ได้เริ่มขึ้นหลังจากคืนล้างบาปครั้งล่าสุดได้สิ้นสุดลง แทนที่ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติ เรื่องไม่ปกติก็ได้เริ่มขึ้นเมื่อครอบครัวเศรษฐีที่ ฮวน และอเดล่ารับใช้นั้นได้ถูกลักพาตัวไปจากกลุ่มคนสวมหน้ากากปริศนา พร้อมทั้งได้มีการไล่ล่า เข่นฆ่าเหล่าคนรวย และคนต่างสัญชาติที่ไม่ใช่อเมริกัน ฮวน และอเดล่า เลยต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่าครั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ชุลมุน และเต็มไปด้วยการนองเลือด

The Forever Purge เป็นผลงานการกำกับของ เอเวอร์ราโด กุต (Days of Grace) เขียนบทโดย เจมส์ เดอโมนาโค มือเขียนบทขาประจำของหนังชุดนี้ พร้อมได้มือสร้างหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญแห่งยุคอย่าง เจสัน บรัมส์ จาก Blumhouse Productions มาร่วมอำนวยการสร้าง

หนังนำแสดงโดย อนา เดอ ลา เรกูล่า  (ซีรีส์ Narcos) , เทอโนช ฮูเอต้า (Days of Grace) ,วิล แพตตัน (Minari) ,จอช ลูคัส (Ford v Ferrari) และ โจชัว โดฟ (ซีรีส์ Narcos: Mexico)

The Forever Purge

ความน่าสนใจของ The Forever Purge คือการเลือกที่จะฉีกกรอบจากทุกภาคที่ผ่าน ๆ มา อย่างแรกคือหนังไม่ได้เล่นกับเรื่องราวการไล่ล่าในคืนล้างบาปอย่างเดียวเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นผู้คนแหกกฎสำคัญของคืนล้างบาป สู่การไล่ล่า เข่นฆ่าในช่วงกลางวัน

นอกจากนี้หนังยังเลือกเปลี่ยนการเล่าเรื่องจากในเมือง เป็นเขตชายแดน อเมริกา และเม็กซิโก ที่ให้บรรยาแบบตะวันตก และมีกลิ่นอายของหนังคาวบอยค่อนข้างสูง ทำให้ภาคนี้นอกจากที่เราจะได้เห็นฉากไล่ล่า เอาชีวิตรอดสุดระทึกแล้ว เรายังจะได้เห็นฉากแอคชั่น ดวลปืนเท่ ๆ แบบหนังคาวบอยอีกด้วย

The Forever Purge

สำหรับ The Purge เป็นหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญ ภายใต้การสร้างของ Universal และ Blumhouse Productions โดยจะว่าด้วยอเมริกา ที่ทางรัฐบาลได้เกิดไอเดียที่จะลดการเกิดอาชญากรรม โดยให้มี 1 คืนในทุกปีจะเป็นคืนล้างบาป ที่จะปล่อยให้ผู้คนสามารถก่ออาชญากรรมใด ๆ ก็ได้ และจะไม่ถูกตำรวจจับ

รวมถึงสถานพยาบาลก็จะปิดการรับรักษาภายในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งหนังก็มีมาแล้วทั้งหมด 4 ภาค ซึ่งแต่ละภาคก็จะมีลูกเล่นการเล่าเรื่องแตกต่างกันไป นอกจากนี้ The Purge ก็ยังมีเวอร์ชั่นซีรีส์อีก 2 ซีซั่น ที่จะให้ความสนุก ความระทึกคนละแบบกับเวอร์ชั่นหนัง สำหรับใครที่สนใจสามารถเข้าไปรับชมได้ที่ Amazon Prime โดยซีรีส์มีซับไทยให้เรียบร้อย

ส่วน The Forever Purge จะมีกำหนดฉายในไทย 1 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

The Forever Purge

#The Forever Purge #The Purge #UIP Thailand #ซีรีส์ หนัง #news-entertainments.com

Cr. ภาพ: Rotten Tomatoes

Let’s Eat….รักล้นพุง

Let's Eat รักล้นพุง เวอร์ชั่นไทย

เนื้อเรื่องย่อของซีรีส์ Let’s Eat รักล้นพุง (2021) เวอร์ชั่นไทย

ซีรีส์แนวอาหารมักจะได้รับความสนใจจากคนดูอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะเรื่องกินเป็นเรื่องใกล้ตัว และอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเรา จึงเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย ดูง่าย และอินง่ายสำหรับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกับเมืองไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกินอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีซีรีส์เกี่ยวกับอาหารออกมาให้ดูอยู่เรื่อยๆ และเรื่องหนึ่งที่จะนำมาพูดถึงในวันนี้คือซีรีส์ รักล้นพุง หรือ Let’s Eat ที่ได้นำฉบับออริจินัลของเกาหลีมารีเมคให้เป็นสไตล์ไทยๆ มากขึ้น

Let's Eat รักล้นพุง เวอร์ชั่นไทย
Let’s Eat รักล้นพุง เวอร์ชั่นไทย

เนื้อเรื่องย่อของซีรีส์

เป็นเรื่องราวของ ทอย ชายหนุ่มผู้มีอาชีพขายประกัน และก็มีชื่อเสียงเรื่องรีวิวอาหารผ่านไอจีด้วย ทอย มีเหตุให้ต้องกลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิดที่หัวหิน และบังเอิญไปเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ห้องตรงข้ามกับ เหมียว เพื่อนเก่าสมัยเรียน ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้เธอโกรธมากจนมองหน้ากันไม่ติด แต่เจอกันคราวนี้ ทอย กลับจำเธอไม่ได้ เพราะ เหมียว ได้เปลี่ยนจากยัยอ้วนในวันนั้น เป็นสาวหุ่นดีขึ้นผิดหูผิดตา

Let's Eat รักล้นพุง เวอร์ชั่นไทย
Let’s Eat รักล้นพุง เวอร์ชั่นไทย

ทอย บังเอิญได้รู้ความจริงว่า เหมียว ชอบหัวหน้างานที่ชื่อ ปานเทพ เขาจึงพยายามแก้ตัวโดยช่วยให้เธอสมหวังในความรัก ส่วนตัวเขาเองก็ยังได้ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานของเหมียวเพื่อขายประกันด้วย เรียกว่าวินวินกันทั้งสองฝ่าย เหมียว และทอย จึงมีเรื่องให้ต้องพบปะพูดคุยกันอยู่บ่อยๆ ผ่านการกินอาหารเลิศรสสารพัดชนิด นี่จึงเป็นที่มาของ Let’s eat รักล้นพุงฉบับเวอร์ชั่นไทย

ความน่าสนใจของซีรีส์

เนื่องจากเป็นซีรีส์อาหาร ความน่าสนใจอันดับหนึ่งจึงอยู่ที่เมนูอาหารต่างๆ ที่ถูกนำเสนอผ่านเรื่องนี้ ซึ่งต้องบอกเลยว่า อาหารไทยนั้นไม่แพ้ชาติใดในโลก ทุกตอนของซีรีส์จะมีการพรีเซนต์อาหารแบบน่ากินสุดๆ ชนิดที่เรียกว่าใครไม่หิวตามนั้นคงจะยาก คนที่เป็นสายกินอยู่แล้ว ดูจบจะต้องรีบไปตามล่าหาเมนูในซีรีส์มากินอย่างแน่นอน

Let's Eat รักล้นพุง เวอร์ชั่นไทย
Let’s Eat รักล้นพุง เวอร์ชั่นไทย

ในส่วนของการแสดงต้องขอชมในความทุ่มเทของทั้งนักแสดงและทีมงาน โดยเฉพาะฉากที่ลงทุนแปลงร่างสาวเอวบางร่างน้อยอย่าง สายป่าน อภิญญา ให้กลายเป็นสาวร่างอ้วนได้อย่างสมจริง ซึ่งฉากนี้ในเวอร์ชั่นเกาหลีใช้นักแสดงรูปร่างอ้วนจริงมาแสดง แต่ของเวอร์ชั่นไทยนางเอกแสดงเอง จึงต้องขอปรบมือดังๆ ให้กับสปิริตของ สายป่าน มากๆ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ก็นับว่าสร้างสีสันให้กับเรื่องได้ดีและลงตัว สมกับเป็นซีรีส์แนวโรแมนติกคอมเมดี้

โดยรวมต้องบอกเลยว่า Let’s Eat เวอร์ชั่นไทยนั้น ทำออกมาได้ดีไม่แพ้ต้นฉบับของเกาหลีเลย แถมยังมีการดัดแปลงองค์ประกอบต่างๆ ให้เข้ากับบริบทของไทย เพื่อให้คนไทยได้อินมากกว่า แฟนซีรีส์สายกินน่าจะดูได้แบบเพลินๆ ช่วยให้เจริญอาหารดีอีกด้วย

ติดตามอ่านบทความ หนัง – ซีรีส์ ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

Cr. ภาพจาก drama.kapook.com / mgronline.com