รีวิวหนัง Richard Jewell งานดราม่าเนื้อหาเข้มข้นจากคลินต์

รีวิวหนัง Richard Jewell งานดราม่าเนื้อหาเข้มข้นจากคลินต์

อีกหนึ่งผลงานการกำกับของ คลินต์ อีสต์วู้ด (Captain Phillips) จากเมื่อปี 2019 ที่ครั้งนี้เป็นการหยิบอีกหนึ่งเหตุการณ์จริงมานำเสนออีกครั้ง กับเรื่องราวของข้อกล่าวหาสุดอื้อฉาวเมื่อปี 1996 เมื่อ ริชาร์ด จูวล์ (พอลล์ วอเตอร์ เฮาส์เตอร์) หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผู้ตั้งใจ แน่วแน่ในการทำหน้าที่ของตนเอง ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่คืนหนึ่งของงานแอตแลนตา โอลิมปิก แต่ทว่าในระหว่างที่เขาทำหน้าที่อยู่นั้น ริชาร์ด ก็ดันพบกระเป๋าปริศนาใบหนึ่ง ที่เขาเกิดสงสัยว่ามันอาจจะเป็นระเบิด ริชาร์ดเลยแจ้งเจ้าหน้าที่กูระเบิดมาดูแล และในคืนนั้นก็ได้เกิดระเบิดจริงโดย ริชาร์ดได้เป็นฮีโร่ที่ช่วยผู้คนจากเหตุดังกล่าว

แต่ทว่าวินาทีการเป็นฮีโร่ของ ริชาร์ด กลับสั้นนัก เมื่อจู่ ๆ เขาได้ถูกทางเจ้าหน้าที่ FBI สงสัยว่าแท้จริงเขานั้นคือมือระเบิดตัวจริง จนนามาสู่การสอบปากคำ และการเค้นความจริงที่ไม่ชอบธรรมของเจ้าหน้าที่ จนทำให้ ริชาร์ดต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจาก วัตสัน ไบรอัน (แซม ร็อคเวล) ทนายความที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของเขา พวกเขาต้องหาทางพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตัวเอง และผ่านพ้นเรื่องนี้ไปให้ได้

Richard Jewell อาจไม่ได้เป็นงานที่สร้างจากเรื่องจริงของ คลินต์ อีสต์วู้ด ที่หวือหวานักหากเทียบกับงานก่อน ๆ ของเขา ที่มีทั้งฉากแอคชั่น และความน่าสะเทือนใจ แต่สำหรับในหนังเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเป็นงานขายดราม่าเพียว ๆ ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยประเด็นที่น่าสนใจ และหนักหน่วงแล้ว ตัวบทหนังยังถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนหลายฉากสามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด

หนังพาเราไปสำรวจชีวิตของ ริชาร์ด จูวล์ เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุไม่นาน และการพาเราไปตามติดชีวิตของเขาในช่วงที่ถูกใส่ความอย่างละเอียดลออ คนดูจะได้เห็น จูวล์ ในแง่ของคน ๆ หนึ่งที่อ่อนต่อโลก และยึดมั่นในความยุติธรรม ความซื่อ ๆ และตรงไปตรงมาของ จูวล์ คือเสน่ห์สำคัญที่ทำให้คนดูรู้สึกรักในตัวละครนี้ และอยากเอาใจช่วยเขาไปตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ในขณะเดียวกันหนังก็ได้สะท้อนภาพของ FBI รวมถึงสื่อที่เป็นเหมือนตัวร้ายหลักของเรื่อง ที่เกิดจากเพราะความไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ของตนเอง

ด้วยความที่หนังพูดถึงประเด็นของคนธรรมดา ที่วันหนึ่งถูกคนที่มีอำนาจในด้านกระบวนการยุติธรรมใช้กฎหมายรังแก ความสนุกของหนังเรื่องนี้คือการต่อสู้ของคนธรรมดา และคนที่มีอำนาจ ที่มันมีความตรงไปตรงมา และน่าติดตาม โดยตลอดเรื่องหนังจะเต็มไปด้วยบทสนทนาที่สร้างความสะเทือนอารมณ์คนดูไม่น้อย โดยเฉพาะบทพูดที่ว่าด้วยการพิสูจน์ความบริสุทธ์ของ ริชาร์ด ที่มันได้บีบอารมณ์คนดู และสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างยอดเยี่ยม

อีกหนึ่งในส่วนที่น่าชื่นชมมาก ๆ ของหนังคือการแสดงของทีมนักแสดงนำ และนักแสดงสมทบที่ต่างถ่ายทอดบทบาทของตนเองออกมาได้อย่างสมจริง เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในด้านเคมีการแสดงของ พอลล์ วอเตอร์ เฮาส์เตอร์ และแซม ร็อคเวล ในฐานะคู่หูที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคของการกล่าวหานี้ ซึ่งทั้งคู่ก็มีเคมีการแสดงที่เข้ากันจนเอดประทับใจในมิตรภาพจริง ๆ ของ จูวล์ และวัตสันไม่ได้ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของ จูวล์ และแม่ (เคที่ เบตส์) ที่ถ่ายทอดความสัมพันธ์แม่ลูกออกมาได้ชวนน้ำตาไหลในหลาย ๆ ฉาก การแสดงของ เคที่ เบตส์ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่น่าจดจำ และทรงพลังมาก ๆ ของหนังเรื่องนี้ไม่แพ้กัน

โดยรวม Richard Jewell นับว่าเป็นงานดราม่า ที่สร้างจากเรื่องจริงของ คลินต์ อีสต์วู้ด ที่ยังรักษามาตรฐานเอาไว้ได้เป็นอย่างดี หนังมีครบทุกอรรถรสทั้ง ระทึกขวัญ อาชญากรรม และดราม่า ที่มาพร้อมเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ชวนติดตาม โดบเฉพาะการเล่นประเด็นของการใช้อำนาจกฎหมายในทางที่ผิด น่าจะเป็นประเด็นที่เข้าถึงกับหลาย ๆ คนได้เป็นอย่างดี ใครที่ชอบงานดราม่าน้ำดี นี่คืออีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Richard Jewell ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes, IMDB

https://youtu.be/gSMxBLlA8qY

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Scream งานคืนฟอร์มที่น่าจดจำอีกครั้งของหนัง

รีวิวหนัง Scream งานคืนฟอร์มที่น่าจดจำอีกครั้งของหนัง

การกลับมาอีกครั้งในรอบ 10 ปีของหนังไล่เชือดสุดโด่งดังแห่งยุค 90 ที่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเป็นภาคที่ 5 ของหนังชุดนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการนำเสนอหนังชุดนี้ผ่านตัวละครชุดใหม่ โดยหนังได้ตัว แมท แบตติเนลลิ-ออร์ฟิน และ ไทเลอร์ กิลเลต สองผู้กำกับจาก Ready or Not มารับหน้าที่กำกัแทนผู้กำกับผู้ล่วงลับ เวส คราเวน ที่อยู่คู่หนังเรื่องนี้มาตลอด 4 ภาค

ใน Scream ภาคล่าสุดนี้หนังจะพาคนดูกลับไปยังเมืองวู้ดเบอร์รี่ อีกครั้ง เมื่อฆาตกรหน้ากากผี หรือ Ghost Face ได้กลับมาอาละวาดอีกครั้ง โดยครั้งนี้มันมุ่งจะเล่นงานไปยัง แซม (เมลิสซ่า เบอร์เรร่า) และทาร่า (จีนน่า ออเทก้า) สองพี่น้องที่มีความลับบางอย่างเกี่ยวกับการการฆาตกรรมในหนังภาคแรก เพื่อหาทางหยุดยั้งการฆาตกรรมครั้งต่อไป และหาตัวจริงของฆาตกร ทำให้ผู่รอดชีวิตก่อนหน้านี้อย่าง ซิดนีย์ (เนฟ แคมป์เบล), เกล (คอร์ทนีย์ ค้อก) และ ดิวอี้ (เดวิด อาร์เควด) ต้องกลับมาร่วมไล่ล่าหาตัวฆาตกรอีกครั้ง

Scream เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งการกลับมาของหนังสยองขวัญ ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย และยังสามารถส่งต่อความสยองจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับที่ Halloween ทำไว้ได้ก่อนหน้านี้ โดยหนังได้พาตัวเองย้อนกลับไปสู่ภาคแรกอีกครั้ง ผ่านตัวละคร และช่วงเวลาใหม่

ตัวหนังยังคงสไตล์เดิมของ Scream ทั้ง 4 ภาคก่อน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของฆาตกร ที่ยังคงใช้อาวุธดั้งเดิมอย่างมีดสั้น และมีวิธีการลงมือที่ตามสูตรต้นฉบับทั้งการแปลงเสียง การโทรศัพท์ถึงเหยื่อก่อนลงมือ นอกจากนี้หนังยังคงอ้างอิงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Scream ทุกภาคตั้งแต่การล้อเลียนตัวเองในหนังเรื่อง “Stab” รวมถึงการแซะถึงวงการฮอลีวูด และหนังสยองขวัญยุคใหม่ ที่หากใครเป็นเนิร์ดหนังสยองขวัญ หรือหนังแฟรนไชส์ ก็จะยังสนุกไปกับบทสนทนาเชิงล้อเลียนจากหนังเรื่องนี้ ที่ทำออกมาได้ดุเด็ดเผ็ดมันส์ไม่แพ้ภาคก่อน ๆ

ในด้านความสยอง Scream ภาคนี้เรียกได้ว่าโหด เลือดสาดกว่าภาคก่อน ๆ หนังมีการนำเสนอฉากการฆ่าที่สมจริง ในขณะเดียวกันตัว Ghost Face ในภาคนี้ก็โหดเหี้ยม และบ้าคลั่งแบบสุด ๆ เช่นกัน ซึ่งหนังยังสามารถนำเสนอความน่ากลัวผ่านการใช้จิตวิทยาสับขาหลอกคนดูได้อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งการเล่นกับฉากตุ้งแช่ การเล่นกับความฉงนสงสัยของคนดู ที่ยากจะเดาได้ว่าคนร้ายตัวจริงนั้นคือใคร

อย่างไรก็ตาม Scream ก็ยังคงมีข้อด้อย ในความซ้ำซากจำเจบางอย่างของหนังแนว Slasher ทั้งคาแรคเตอร์ของนางเอก ที่ยังคงมาแนวหญิงสาวที่มีความอ่อนต่อโลก และค่อนข้างจะเป็นบทนางเอกสูตรสำเร็จที่เราเดาการกระทำได้ตลอด รวมทั้งการใช้จังหวะการหลอกซ้ำ ๆ บ่อยเกินไปจนบางครั้งมันก็หลอกคนดูไม่ได้ผล

โดยรวม Scream คืองานคืนฟอร์มที่น่าจดจำอีกครั้งของหนัง Slasher หนังยังคงสามารถนำสไตล์การเล่าของภาค 1 กลับมาใช้อีกครั้ง ได้อย่างมีชั้นเชิง และยังคงเป็นหนังที่นำหน้าคนดูได้เสมอ ใครที่โตมากับหนังชุดนี้ นี่คืออีกหนึ่งภาคที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Scream ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

เตรียมพบกับการกลับมาของเกมเสี่ยงตาย ที่ท้าทาย อันตราย และอลังการยิ่งกว่าเดิม ในตัวอย่างแรก Alice in Borderland season 2

Alice in Borderland season 2

หลังจากที่ปล่อยให้แฟน ๆ รอคอยกันมานานเกือบ ๆ 2 ปี ในที่สุดในงาน “TUDUM” งานปล่อยของก่อนสิ้นปีของ Netflix ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกของซีรีส์ Alice in Borderland season 2 ออกมาให้ได้ชมกันแล้ว พร้อมยืนยันเตรียมฉายเดือน ธันวาคมนี้อย่างแน่นอน

สำหรับในตัวอย่าง จะเผยให้เห็นเหตุการณ์ในเรื่องที่ยังคงเป็นโตเกียวที่กลายเป็นเมืองร้าง และมีเพียงคนที่ถูกเลือกเท่านั้น ที่ยังต้องเล่นเกมแข่งขัน เอาชีวิตรอดกันต่อไป ซึ่งความน่าสนใจของเกมในซีซั่นนี้ คือความอลังการ ความเล่นใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ก็ยังมีการเผยตัวร้ายหลักของเรื่อง คิวมะ กินจิ (รับบทโดย ยามะพี) นักดนตรีที่ไม่ชอบใส่เสื้อผ้า ที่จะมาเป็นคู่ปรับคนสำคัญในซีซั่นนี้

ใน Alice in Borderland season 2 เราจะได้เห็นทีมนักแสดงนำชุดเดิมกลับมาร่วมแสดงนำอีกครั้ง นำทีมโดย เคนโตะ ยามาซากิ(From Today, It’s My Turn), ทาโอะ ซึชิยะ(Rurouni Kenshin), นิจิโระ มุราคามิ(Rurouni Kenshin: Final Chapter Part II), อายะ อาซาฮินะ(ซีรีส์ Tokyo Alice) และ อายากะ มิโยชิ(Confession)

Alice in Borderland เป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อเดียวกันของ ฮาโระ อาโสะ ที่จะว่าด้วยเรื่องราวของเด็กหนุ่มมัธยมปลายที่มีชื่อว่า อะริสุ (เคนโตะ ยามาซากิ) ที่เป็นคนที่ไร้จุดหมายในชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งเขาและเพื่อน ๆ ก็ได้พบว่าตนได้เข้ามาอยู่ใน “ดินแดนมรณะ” ที่เป็นเมืองโตเกียวที่มีสภาพเป็นเมืองร้าง และมีแต่ผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะได้มาที่แห่งนี้ โดยทุกคนที่ถูกเลือกจะต้องร่วมเล่นเกม ทำภารกิจสุดอันตรายที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน

นอกจากตัวอย่างแรกของ Alice in Borderland season 2 ที่ถูกปล่อยออกมาแล้ว ในงาน “TUDUM” ก็ยังมีการปล่อยทีเซอร์คอนเทนต์น่าสนใจจากฝั่งเอเชียอีกหนึ่งเรื่อง คือ Hellbound season 2 อีกหนึ่งซีรีส์ระทึกขวัญ แฟนตาซีจากเกาหลี ที่ได้ปล่อยคลิปสั้น ๆ และยืนยันแล้วว่ากำลังจะมีซีซั่นที่ 2 ตามมาในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน

สามารถรับชมซีรีส์ Alice in Borderland season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

วิวหนัง Snake Eyes: G.I.Joe Origins หนังแอคชั่นบล็อกบัสเตอร์

วิวหนัง Snake Eyes: G.I.Joe Origins หนังแอคชั่นบล็อกบัสเตอร์

Snake Eyes:G.I.Joe Origins คือหนังรีบูตจักรวาล G.I.Joe ครั้งใหม่ของ Paramount Pictures ที่ครั้งนี้หนังเลือกที่จะเปิดจักรวาลด้วยเรื่องราวต้นกำเนิดของตัวละคร สเนค อายส์ (เฮนรี่ โกลดิ้ง) หนึ่งในตัวละครยอดนิยมตลอดกาลของแฟรนไชส์นี้

หนังจะพาเราย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของ สเนค อายส์ ตั้งแต่ในวัยเด็ก เมื่อเขาต้องสูญเสียพ่อจากการถูกฆาตกรรมโดยชายปริศนา จนเมื่อโตมาเป็นหนุ่ม สเนค อายส์ ได้เก็บสะสมความแค้น และเป็นนักสู้สังเวียนใต้ดิน จนกระทั่งเขาได้รับการเสนองานจาก เคนตะ (ทาเคฮิโระ ฮิระ) ยากูซ่ามากอิทธิพล ที่ได้เสนอให้เขาเช้าไปรับบทเป็นสายลับ ผ่านการตีสนิทกับ ทอมมี่ (แอนดรูว์ โคจิ) ผู้สืบทอดตระกูลนินจาโบราณ โดยเคนตะหวังจะครอบครองพลังลึกลับของตระกูลนี้มาเป็นของตน ซึ่งข้อเสนอของ เคนตะคือ การมอบตัวคนที่ฆ่าพ่อของ สเนค อายส์ มาให้เขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป สเนค อายส์ เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลของ ทอมมี้ ทำให้เขาเกิดความลังเลว่าจะหักหลังเพื่อนรัก หรือจะเดินหน้าแก้แค้นต่อไป

แม้ว่าจะเป็นหนังโปรดักชั่นจากฮอลีวูด แต่ Snake Eyes เลือกที่จะเล่าเรื่องสไตล์เอเชียแบบเพียว ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร ที่เป็นทีมนักแสดงเอเชียเกือบทั้งหมด และรูปแบบการเล่าเรื่องที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแก๊งสเตอร์ญี่ปุ่น ความสนุกของหนังเรื่องนี้เลยไม่ใช่เพียงฉากแอคชั่นฟอร๋มยักษ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเล่นกับวัฒนธรรมการต่อสู้แบบเอเชียที่ใส่มาแบบจัดเต็ม

หนังใช้วิธีเล่นกับความสัมพันธ์ของสองตัวเองอย่าง สเนค อายส์ และทอมมี่ ที่มีทั้งมิตรภาพ การหักเหลี่ยมเฉือนคม ที่เรียกได้ว่ามีเกือบครบทุกอรรถรส ในขณะที่ฉากแอคชั่น ก็เข้าขั้นทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะสกิลการใช้ดาบของตัวละคร ที่ทำออกมาได้ดุดัน หนักแน่น แบบหนังซามูไร และดูไม่โหดเลือดสาดจนเกินไป นอกจากนี้หนังก็ยังซ่อนอีสเตอร์เอ้ก และการเอาใจแฟนบอยของแฟรนไชส์ชุดนี้ที่น่าจะถูกใจไม่น้อย

ด้านการแสดง เฮนรี่ โกลดิ้ง ถือว่ารับบทนำได้ค่อนข้างดี แม้ว่าบทจะดูขาดมิติไปบ้าง แต่เรื่องนี้เขาก็ได้สลัดภาพหนุ่มเรียบร้อยจาก Crazy Rich Asian สู่นักฆ่ามาดนิ่งที่ทั้งเท่ และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ในขณะที่ แอนดรูว์ โคจิ ก็ถ่ายทอดบทพระรอง ได้ดีแบบสูสี ความเท่ของสองดาราชายนับว่าเป็นจุดขายสำคัญที่แบกหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้ นอกจากนี้บทสมทบของ อีโก อูไวส์ ก็เป็นตัวขโมยซีน ที่เติมเต็มให้หนังเรื่องนี้มีความเป็นเอเชียที่ครบเครื่องมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม Snake Eyes ก็ยังเป็นหนังที่สนุกแบบตามสูตรสำเร็จของหนังแอคชั่นบล็อกบัสเตอร์ ทั่วไป หนังแทบไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือมีอะไรให้น่าจดจำมากนัก โดยเฉพาะในด้านของบทที่ยังมีปัญหา บางช่วงหนังเดินเรื่องไวจนทำให้บทดูขาดมิติ รวมทั้งความสัมพันธ์ของตัวละครที่ยังนำเสนอออกมาแห้งแล้ง ขาดพลังให้อยากเอาใจช่วยเท่าที่ควร

โดยรวม Snake Eyes: G.I.Joe Origins ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังแอคชั่นบล็อคบัสเตอร์ ที่พอดูเอาบันเทิง แบบถอดสมองดู หนังมาพร้อมกลิ่นอายแบบหนังญี่ปุ่น โปรดักชั่นฮอลีวูดแบบเดียวกับ 47 Ronins ที่เปลี่ยนบริบทโดยเพิ่มกลิ่นอายแบบหนังอาชญากรรม นอกจากนี้หนังบังปูทางเพื่อขยายจักรวาลตัวเองในอนาคตได้อย่างน่าสนใจ

สามารถรับชม Snake Eyes:G.I.Joe Origins ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง tick, tick…BOOM! อีกหนึ่งหนัง Musical

รีวิวหนัง tick

ปี 2021 ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีทองของหนัง Musical ก็ว่าได้ เพราะนอกจากต้นปีจะมี In the Heights ของ จอห์น เอ็ม ชู (Crazy Rich Asian) แล้ว ปลายปีก็ยังมี West Side Story งานรีเมคจากหนังดังเมื่อปี 1961 โดย สตีเวน สปีลเบิร์ก (Ready Player One) อีกด้วย และก่อนจะหมดปี Netflix ก็ยังมี tick, tick…BOOM! หนังผลงานการกำกับของเจ้าพ่อละครเวทีชื่อดัง ลิน-มานูเอล มิลันดา ที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ โจนาธาน ลาร์สัน นักแต่งเพลงละครเวทีเจ้าของผลงาน Rent

tick, tick…BOOM! จะพาคนดูย้อนเวลาไปยังช่วงยุค 90 ในช่วงที่ โจนาธาน ลาร์สัน (รับบทโดย แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) กำลังจะมีอายุครบ 30 ปี ในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่ทว่า ลาร์สัน กลับพบว่าเขายังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเลย ในขณะที่เพื่อน รวมถึงคนรักกำลังไปได้ดีกับชีวิต และความฝันของพวกเขา ลาร์สัน ที่ทำงานประจำเป็นพนักงานร้านกาแฟ และต้องแต่งเพลงประกอบละครเวทีของตัวเอง เพื่อนำไปเวิร์คช็อป และพิสูจน์ว่าผลงานของเขาจะสามารถสร้างชื่อ และสานฝันของเขาให้เป็นจริงได้หรือไม่

สำหรับ tick, tick…BOOM! เรียกได้ว่าเป็นหนัง Musical ตามสูตรอีกเรื่อง ที่ยังพูดถึงประเด็นที่คุ้นเคยอย่าง ความฝัน ชนชั้น และความรัก โดยบริบทของหนังที่ออกมานั้นชวนให้นึกถึงหนังดังอย่าง La La Land เพียงแต่หนังได้ปรับบริบทให้เน้นไปที่การทำตามความฝัน มากกว่าการพูดถึงเรื่องความรัก

ส่วนที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือการนำเสนอสะท้อนภาพของคนที่กำลังจะเข้าสู่วัย 30 ที่เป็นเหมือนการสิ้นสุดวัยหนุ่ม และเป็นวัยที่หลาย ๆ คนประสบความสำเร็จในชีวิต ตัวหนังได้ใช้เสียงนาฬิกาเสมือนเป็นระเบิดเวลาที่กำลังจะนับถอยหลังสู่วัย 30 ของ โจนาธาน พร้อมทั้งยังเปรียบเปรยตัวเขากับผู้คนในวัยเดียวกันที่ประสบความสำเร็จ ตลอดทั้งเรื่องการเห็นตัวละครพยายามแข่งกับเวลาที่จำกัด คือความสนุกที่ชวนระทึก ชวนติดตามตลอดเรื่อง นอกจากนี้ตัวหนังก็เป็นเหมือนการให้กำลังใจกับคนที่อยู่ในวัยเดียวกับ โจนาธาน หรือคนที่แก่กว่า ให้ยังเดินตามความฝัน แม้ว่าวัยจะล่วงเลยแค่ไหนก็ตาม

ในด้านของเพลงที่อยู่ในหนัง จะมีความเป็นเพลงป้อป ร็อค ที่มีความร่วมสมัย ทำให้มีความไพเราะ หลายเพลงชวนติดหู จนอยากไปเปิดฟังอัลบั้มเพลงจากหนังเรื่องนี้ โดยเพลงในหนังก็เป็นการหยิบนำเหตุการณ์ในชีวิตของตัวละครมานำเสนอ เนื้อหาแต่ละเพลงจะพูดถึงเรื่อง ความฝัน ความสัมพันธ์ ความวุ่นวายของเมืองนิวยอร์ก และชนชั้น ซึ่งทำให้คนดูรู้สึกบันเทิง และเพลิดเพลินไปกับหนังได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ต้องขอชื่นชม แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ที่นอกจากจะแบกหนังไว้ทั้งเรื่องแล้ว เขายังโชว์พลังเสียงที่น่าฟังจนขอยกให้เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่น่าจดจำที่สุดอีกบทบาทหนึ่งของเขา

tick, tick…BOOM! เรียกได้ว่าเป็นอีกหนัง Musical ที่แม้ว่าประเด็นของหนังอาจไม่ได้แตกต่างจากหนังแนวนี้มากนัก แต่ด้วยความที่หนังเล่นกับปัญหาเรื่องวัย ที่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเผชิญ ทำให้หนังเรื่องนี้สามารถสร้างความรู้สึกร่วมกับคนดูได้ไม่มากก็น้อย พร้อมทั้งเพลงในหนัง และการแสดงของทีมนักแสดงที่ถ่ายทอดบทบาทได้ถึงอารมณ์ นี่จึงเป็นหนึ่งในผลงานที่คอหนังไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม tick, tick…BOOM! ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/YJserno8tyU

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Seoul Vibe  หนังแอ็คชั่น อาชญากรรม

รีวิวหนัง Seoul Vibe  หนังแอ็คชั่น อาชญากรรม

เรียกได้ว่ายังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่เป็นขาชึ้นของหนังเกาหลี ที่มีหนังฟอร์มยักษ์ฉายทั้งในโรงภาพยนตร์ และในสตรีม ล่าสุดกับหนังเรื่อง Seoul Vibe ผลงานหนังจาก Netflix ที่ได้ มุนฮยองซอง (As One) มารับหน้าที่กำกับ และได้ทีมนักแสดงนำมากฝีมือมาร่วมงานแบบคับจอไม่ว่าจะเป็น ยูอาอิน (Burning), โกคยองพโย (ซีรีส์ Reply 1988), พัคจูฮยอน (ซีรีส์ Mouse) และอีคยูฮยอง (Prison Playbook)

Seoul Vibe จะว่าด้วยเรื่องราวของกรุงโซลในช่วงปี 1988  โดยจะโฟกัสไปที่กลุ่มนักแข่งรถชังกเยดง ที่พวกเขาได้รับข้อเสนอที่ไม่อาจปฎิเสธ ด้วยการทำงานเป็นคนลักลอบขนเงินผิดกฎหมายของนักการเมืองที่มีอำนาจ ภารกิจนี้ก็ได้ ดงอุค (ยูอาอิน) นักดริฟต์มือหนึ่ง ผู้เป็นหัวหน้าทีมชังกเยดง ทำหน้าที่ขับรถ และนำทีมวางแผนต่าง ๆ ให้ แต่ทว่าเมื่อพวกเขาทำงานผิดกฎหมายนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ได้พบกับอันตรายมากมายที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน

จุดขายของ Seoul Vibe คือการหยิบบริบทของหนังรถซิ่ง มาผสมผสานกับวัฒนธรรมยุค 80 ที่ผสมผสานกันได้ลงตัว น่าสนใจ ผู้ชมจะได้เห็นลีลาการดริฟต์รถคลาสสิก ที่ไม่ค่อยมีให้เห็นในหนังยุคนี้ ในขณะเดียวกันก็มีการสอดแทรกบริบทของยุค 80 ผ่านคอสตูม เพลงประกอบ โดยเฉพาะการพูดถึงสังคมเกาหลีที่ตอนนั้นกำลังเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค และการสอดแทรกประเด็นการเมืองเข้าไปเป็นตัวเดินเรื่องให้น่าสนใจ และมีมิติมากขึ้น

ในด้านของฉากแอ็คชั่น หนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี ระดับเทียบเท่าหนังอย่าง Fast & Furious ภาคแรก ๆ โดยหนังอาจไม่ได้เน้นขายฉากวินาศสันตะโรมาก แต่จุดขายคือการนำเสนอลีลาการขับรถของตัวเอก ที่ถ่ายทอดออกมาได้สนุก น่าตื่นตาตื่นใจ และเต็มไปด้วยลูกเล่นมากมายที่ถือว่าทำได้ดีในฐานะฉากแอ็คชั่นไล่ล่า

จุดด้อยของ Seoul Vibe คือความที่หนังมัวแต่โฟกัสไปที่การขายฉากแอ็คชั่นไล่ล่ามากจนเกินไป จนทำให้บทหนังดูดรอปลงมาอย่างน่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่บริบทต่าง ๆ น่าจะสามารถเอื้อให้หนังสามารถมีมิติ และออกมาดาร์กได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะด้านฝั่งตัวละครหลักของเรื่อง ที่บทค่อนข้างธรรมดามจนแทบจะขาดเสน่ห์ หรือความน่าเอาใจช่วยจากคนดู

โดยรวม Seoul Vibe เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่นจากเกาหลี ที่นับว่าทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะในแง่โปรดักชั่น หนังทำฉากขับรถไล่ล่าออกมาได้สนุก ชวนลุ้น ที่เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับหนังเกาหลีให้ไปไกลขึ้น ใครชอบงานแอ็คชั่นป้อปคอร์นที่ดูง่าย ไม่ได้มีอะไรให้ต้องคิดต่อเยอะ นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Seoul Vibe ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: https://www.hancinema.net/

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Uncharted อีกหนึ่งหนังที่ดัดแปลงมาจากเกม

รีวิวหนัง Uncharted อีกหนึ่งหนังที่ดัดแปลงมาจากเกม

Uncharted คืออีกหนึ่งหนังที่ดัดแปลงมาจากเกมดังชื่อเดียวกัน โดยในเวอร์ชั่นหนังก็ได้ผู้กำกับขาประจำของ Sony Pictures อย่าง รูเบน เฟรตเชอร์ จาก Venom มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้นักแสดงหนุ่มน้อยอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ (Spider-Man: Far From Home) มารับบทเป็น นาธาน เดรค สมทบด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง มาร์ค วอห์ลเบิร์ก (Father Stu) และ แอนโตนิโอ แบนเดอราส (The Skin I Live In)

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ นาธาน เดรค (ทอม ฮอลแลนด์) บาร์เทนเดอร์ ผู้มีงานอดิเรกในการสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ การล่าสมบัติ และมีฝีมือการปีนป่าย การลักขโมยที่รวดเร็วจนหาตัวจับได้ยาก จนกระทั่งวันหนึ่ง นาธาน ได้รับการติดต่อจาก วิคเตอร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) นักล่าสมบัติที่ชักชวนเขาให้ไปร่วมตามหาสมบัติบนเรืออัปปาง ซึ่งภารกิจนี้ มันก็ได้เชื่อมโยงกับการหายตัวไปของพี่ชายของนาธานอีกด้วย นอกจากนี้ในภารกิจพวกเขายังต้องเผชิญกับกลุ่มนักล่าสมบัติผู้ชั่วร้ายที่มีเป้าหมายเดียวกับพวกเขาเช่นกัน

Uncharted นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่น บล็อคบัสเตอร์ ที่มาตามสูตรหนังล่าสมบัติ โดยจะมีส่วนผสมของความเป็น Indiana Jones, Tomb Raider และ National Treasure ที่จะขายความเนิร์ดของตัวเอกที่สนใจประวัติศาสตร์ และมีความสามารถในการบู๊ การเอาชีวิตรอดที่เหนือกว่าปกติ โดยในด้านเนื้อหาของพาร์ทผจญภัย ในเรื่องนี้อาจค่อนข้างสอบตก เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังเสียเวลาไปกับการลักขโมย การทำภารกิจในเมือง รวมถึงการปูเรื่อง ทำให้คนี่หวังจะได้เห็นการไล่ล่าในป่า หรือสมบัติที่เต็มไปด้วยกับดัก อาจได้เห็นค่อนข้างน้อยในเรื่องนี้

แต่กระนั้นหนังก็ถือว่าตอบโจทย์ในความเป็นหนังแอ็คชั่น ดูเอามันส์ เพราะตลอดเรื่องราวผู้ชมจะได้เห็นฉากบู๊หลายรูปแบบ ที่เวอร์วัง อลังการ แบบไม่สนความสมเหตุสมผล โดยเฉพาะฉากบู๊ของ นาธาน เดรค ที่ ทอม ฮอลแลนด์ ยังคงรูปแบบการบู๊ที่เน้นลีลาพลิ้วไหว เหมือนกับบทไอ้แมงมุมของเขา

ส่วนที่น่าเสียดายของ Uncharted คือความที่หนังยังตกม้าตายในเรื่องการสร้างมิติให้ตัวละคร เพราะนอกจากตัวละคร นาธาน เดรค ที่ดูมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว ตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องกลับมีคาแรคเตอร์ที่เบาบาง ขาดจุดหมายปลายทาง และไร้ซึ่งความน่าจดจำ แม้กระทั่งตัวละครของ แอนโตนิโอ แบนเดอราส ที่หนังไม่สามารถใช้ความสามารถของนักแสดงผู้นี้ออกมาได้ดีเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม Uncharted ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังที่สร้างจากเกม ที่ทำออกมาได้ไม่น่าผิดหวัง หนังยังสามารถหยิบเสน่ห์ของความเป็นเกม มาใช้งานได้เป็นอย่างดี ตลอดทั้งเรื่องอัดแน่นด้วยความบันเทิงแบบบล็อคบัสเตอร์ ที่เล่นใหญ่ และพร้อมปูทางสู่ภาคต่อในอนาคตให้แฟน ๆ ได้ติดตาม

สามารถรับชม Uncharted ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Avatar: The Way of Water ภาคต่อที่ทำออกมาได้สมการรอคอย

รีวิวหนัง Avatar: The Way of Water ภาคต่อที่ทำออกมาได้สมการรอคอย

ผลงานหนังภาคต่อที่คนทั่วโลกรอมานานกว่า 13 ปี โดยในภาคนี้ยังคงได้ เจมส์ คาเมร่อน (Aliens) กลับมารับหน้าที่กำกับอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะมาพร้อมเทคนิคการสร้างด้าน CGI ที่สมจริง สวยงามยิ่งกว่าเดิม พร้อมได้ทีมนักแสดงนำชุดเดิมกลับมารับบทเดิม นำทีมโดย แซม เวิร์ธธิงตัน (Clash of the Titans), สตีเฟน แลง (Don’t Breathe), โซอี้ ซัลดานา (Guardians of the Galaxy) และซิกัวนีย์ วีฟวิง (Aliens)

ในภาคนี้หนังจะว่าด้วยเรื่องราวต่อจากภาคแรก เมื่อ เจค (แซม เวิร์ธธิงตัน) ที่ได้ตัดสินใจใช้ชีวิตแบบชาวนาวี และสร้างครอบครัวร่วมกับ เนธิรี (โซอี้ ซัลดานา) จนพวกเขามีลูกด้วยกัน 4 คน แต่ทว่าความสงบสุขของพวกเขาก็สิ้นสุดลง เมื่อ นายพลควอริตช์ (สตีเฟน แลง) ได้ทำการโคลนร่างตนเองเป็นชาวนาวี และรวบรวมกำลังทหารมนุษย์เพื่อทำลายดาวนาวีอีกครั้ง พร้อมมุ่งเป้าเพื่อล้างแค้น เจค ที่ฆ่าเขาตาย จนนำมาสู่สงครามระหว่างชาวนาวี และมนุษย์ครั้งใหม่

Avatar: The Way of Water นับว่าเป็นการกลับมาที่สมการรอคอย แม้ว่าหนังจะทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกไปนานถึง 13 ปี หนังก็สามารถสานต่อเนื้อหาจากภาคแรกได้อย่างลงตัว ในภาคนี้ผู้ชมจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครในบริบทที่แตกต่างจากภาคแรก หนังได้เพิ่มบริบทของความเป็นหนังครอบครัวลงไป เพือเป็นแก่นหลักของเรื่อง และยังคงไว้ซึ่งประเด็นของการอนุรักษ์ธรรมชาติ ความโหดร้ายของการทำลายธรรมชาติโดยมนุษย์ ที่ถูกเล่าได้อย่างชวนติดตาม

ด้านภาพของหนัง เรียกได้ว่าดีงาม และโดดเด่นกว่าหนังหลาย ๆ เรื่องในยุคนี้ โดยเฉพาะการสร้างสรรค์ดาวนาวีในมุมที่ผู้ชมไม่ได้เห็นในภาคแรก โดยเฉพาะบรรยากาศของทะเล ที่นับว่าเป็นไฮไลท์เด็ดของหนัง ฉากใต้น้ำมีความงดงาม มีการออกแบบฉากต่อสู้ ไล่ล่าในน้ำที่สนุก น่าตื่นเต้น ยิ่งหากผู้ชมได้ดูในระบบ 3D ที่ทำมาเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็จะให้อรรถรส และอารมณ์ร่วมกับหนังที่มากขึ้นกว่าเดิม

นอกจากฉากใต้น้ำ และการออกแบบการสร้างที่ทำออกมาได้สวยงาม ชวนตื่นตาตื่นใจแล้ว ด้านฉากแอ็ตชั่นในหนังก็ทำได้ยิ่งใหญ่ สมกับที่เสกลหนังที่มีทุนสร้างสูงที่สุดในโลก หนังสามารถหยิบทุกองค์ประกอบของตัวเอง มาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า และสามารถสร้างฉากสงครามที่ยกระดับจากภาคแรกไปอีกระดับ

น่าเสียดายที่ด้านบทหนัง และการเล่าเรื่องใน Avatar: The Way of Water กลับทำออกมาได้ไม่สุดเท่าที่ควร โดยเนื้อหาของภาคนี้ มาตามสูตรหนังภาคต่อทั่วไป ที่มาพร้อมพลอตง่าย ๆ ที่คนดูสามารถพอคาดเดาทิศทางเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก นอกจากนี้หนังยังใช้เวลา 3 ชั่วโมงของเรื่องได้ไม่ดีเท่าที่ควร บางช่วงหนังพยายามขาย CGI โดยที่เนื้อหาของหนังยังวนอยู่กับที่ จนทำให้บางฉากของหนังชวนง่วงเหงาหาวนอน

โดยภาพรวม Avatar: The Way of Water ถือว่าเป็นหนังภาคต่อที่ยกระดับจากภาคแรกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านงานภาพ การสร้างสรรค์ฉาก CGI และฉากแอ็คชั่นที่ตื่นตาตื่นใจในแทบทุกวินาทีของหนัง แม้ว่าพลอตจะสูตรสำเร็จไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นหนังที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การรับชมในโรงภาพยนตร์

สามารถรับชม Avatar: The Way of Water ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Whole Truth งานสยองขวัญเรื่องล่าสุดจาก Netflix

รีวิวหนัง The Whole Truth งานสยองขวัญเรื่องล่าสุดจาก Netflix

ผลงานหนังไทยเรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ครั้งนี้ยังคงกลับมาในแนวระทึกขวัญ/สยองขวัญ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ได้ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง (เปนชู้กับผี) มารับหน้าที่กำกับ โดยหนังมาพร้อมพลอตสุดแปลก โดยจะว่าด้วยเรื่องราวของ พิม (ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์) และ พัท (แม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์) สองพี่น้องที่จู่ ๆ ก็พบว่าพวกเขามีคุณตา (หมู-สมภพ เบญจาทิกุล) และคุณยาย (หมู-สมภพ เบญจาทิกุล) ที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ทั้งสอง ต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านของ ตาและยาย เนื่องจากแม่ของพวกเขา (นิโคล เทริโอ) ได้ประสบอุบัติเหตุอ จนบาดเจ็บสาหัส

แต่ทว่าระหว่างที่อยู่กับ ตาและยาย ทั้ง พิม และพัท ต่างก็ได้พบกับเรื่องแปลก ๆ ของบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของตาและยาย รวมถึงรูปริศนา บนกำแพงบ้าน ที่มักจะส่งเสียงชวนขนลุกทุกครั้งที่ปรากฏ และเมื่อไปส่องดูในรูนั้น ก็จะพบกับภาพอันน่าสยดสยองของการตายของเด็กหญิงคนหนึ่ง ทั้ง พิม และพัท ได้เริ่มเกิดความสงสัยในที่มาที่ไปของ รู และบ้านหลังนี้ จนมันได้ทำให้ทั้งคู่ได้พบความจริงสุดช็อคของครอบครัวตัวเอง

The Whole Truth ยังคงเป็นงานสยองขวัญตามสไตล์ของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ที่ยังคงพาคนดูไปพบกับความระทึก ความสยองผ่านบรรยากาศของบ้าน ที่ให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดทั้งเรื่อง พร้อมทั้งการสร้างสรรค์พฤติกรรมของตัวละครที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ความแปลกประหลาด ทำให้ตลอดการดูหนังเรื่องนี้ หนังให้ความรู้สึกที่ชวนหวาดกลัวบ้าน ใกล้เคียงกับที่ วิศิษฎ์ เคยทำไว้ใน เปนชู้กับผี

นอกจากบรรยากาศที่ลึกลับแล้ว หนึ่งในไฮไลท์ของ The Whole Truth ก็คือการสร้างสรรค์ความสยองขวัญของรูปริศนา ในเรื่อง ให้ดูน่ากลัว และชวนน่าค้นหา โดยเฉพาะการนำเสนอการหลอกของผีในเรื่อง ที่แทบจะคาดเดาไม่ได้ว่าจะหลอกหลอนในรูปแบบไหน ซึ่งการหลอกหลอน และความลึกลับของรูนั้นก็ได้เป็นการปูทางไปสู่บทสรุปสุดหักมุม ที่เกินจะคาดเดา

แต่น่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่หนังเต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นดีที่จะสามารถทำให้กลายเป็นหนังสยองขวัญที่น่ากลัว และสนุกได้ แต่ The Whole Truth กลับไม่สามารถนำวัตถุดิบเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าได้ ในขณะที่ด้านบทก็เต็มไปด้วยปัญหามากมาย โดยอย่างแรกที่เห็นได้อย่างเด่นชัดคือ หนังพยายามใส่หลายประเด็นเข้าไปในตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบูลลี่ในโรงเรียน ความเหลื่อมล้ำของสังคม ประเด็นเรื่องครอบครัว ไปจนถึงการสืบหาความจริง เมื่อหนังพยายามเล่นกับทุกประเด็นเหล่านี้ในเรื่องเดียว ทำให้หนังไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะเป็นความน่ากลัว หรือพาร์ทดราม่า ที่ทำออกมาได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ

ส่วนปัญหาในด้านบท ก็เป็นปัญหาที่ชัดเจนไม่แพ้กัน โดยเฉพาะบทสนทนาหลาย ๆ ช่วง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ จนบางช่วงมันออกมาดูตลก นอกจากนี้หนังก็พยายามทำให้ตัวเองเป็นหนังสยองขวัญหักมุม ที่ซ่อนทีเด็ดมากมายเอาไว้ในช่วงท้ายเรื่อง แต่ทว่าหนังกลับทำออกมาได้ไม่ถึงขั้น ทั้งนี้เนื่องจากการพยายามสับขาหลอกคนดูมากเกินไป จนทำให้ช่วงบทสรุปของหนังเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล และไม่สามารถสร้างเซอร์ไพรส์ใด ๆ ให้กับคนดูได้

โดยรวม The Whole Truth เป็นงานสยองขวัญจาก Netflix อีกเรื่องที่ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง แม้หนังจะได้มือสร้างหนังมากฝีมือมาทำหน้าที่กำกับ แต่หนังกลับไม่สามารถใช้ประโยชน์จากองค์ประกอบที่มีได้อย่างคุ้มค่า ตัวหนังเต็มไปด้วยปัญหาโดยเฉพาะด้านบทที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้ท้ายที่สุดนี่ก็กลายเป็นอีกงานที่ไม่น่าจดจำไปอย่างน่าเสียดาย

สามารถรับชม The Whole Truth ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/cIgD8SknhoM

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Where the Crawdads Sing หนังโรแมนติก ดราม่า

รีวิวหนัง Where the Crawdads Sing หนังโรแมนติก ดราม่า

ผลงานหนังแนวโรแมนติก ดราม่า อาชญากรรม ผลงานการกำกับโดย โอลิเวีย นิวแมน (First Match) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ เดอเลีย โอเวนส์ ที่ได้นักแสดดงสาวมาแรงอย่าง เดซ่ เอ็ดการ์-โจนส์ ที่มีผลงานอย่าง Fresh และ Under the Banner of Heaven มารับบทนางเอก

Where the Crawdads Sing จะว่าด้วยเหตุการณ์ในช่วงปี 1960 เรื่องราวของ คยา (เดซี่ เอ็ดการ์-โจนส์) หญิงสาวที่เติบโตมาในครอบครัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณริมบึง ที่ปรีกวิเวกจากเมืองใหญ่ และมีพ่อที่ชอบทำร้ายร่างกายเธอ และแม่ จนทำให้ท้ายที่สุดสมาชิกในครอบครัวของเธอก็ค่อย ๆ ทิ้งเธอไปทีละคน ๆ จนทำให้ คยา ต้องเติบโตมาโดยลำพัง จนกระทั่งเธอได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมเด็กหนุ่มจากเมืองใหญ่ ซึ่งคนทั้งเมืองต่างเชื่อว่าคนที่ปรีกวิเวกจากสังคมอย่างเธอนั้นคือคนร้ายของคดีนี้ คยา เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความบรุสุทธิ์ของเธอ

หนังมาพร้อมกับประเด็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ มีกลิ่นอายของความเป็นเรื่องโรแมนติกแบบเชย ๆ ที่หลาย ๆ คนคุ้นเคย ที่มักจะพูดถึงความรักที่ต้องพลัดพลาก และคนชายขอบของสังคม โดยจุดขายของหนัง คือการนำเสนอสภาพชีวิตของ คยา ที่นอกจากจะโดดเดี่ยวแล้ว เธอยังต้องต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ตนเองนั้นสามารถอยู่รอดในสังคม ซึ่งหนังได้สร้างคาแรคเตอร์ของ คยา ออกมาได้น่าจดจำ และชวนให้เอาใจช่วยตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง

ในด้านของความเป็นพาร์ทอาชญากรรม แม้ว่าตัวพลอต และโทนเรื่องจะเปิดออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ ทั้งบรรยากาศของการว่าความในศาล การสร้างความคลุมเครือให้คนดูได้ไปหาคำตอบ แต่กระนั้นเนื้อหาของหนังกลับไม่ได้โฟกัสไปที่การสืบหาความจริงเท่าไหร่ แต่ตัวหนังพยายามขายไปท่ีความโรแมนติกเป็นหลัก โดยหนังได้พูดถึงความสัมพันธ์ของ คยา กับชายหนุ่มสองคน ที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ซึ่งแม้ว่าในด้านพาร์ทโรแมนติกจะค่อนข้างมีความน้ำเน่าอยู่บ้าง แต่ก็สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู ให้อยากติดตามเนื้อเรื่องต่อไปได้เป็นอย่างดี

การแสดงของ เดซี่ เอ็ดการ์-โจนส์ ในเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเป็นอีกบทบาทที่โดดเด่น และน่าจดจำมาก ๆ ของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดบทบาทการสู้ชีวิต การดิ้นรนต่อสู้ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ รวมถึงบทบาทโรแมนติก ที่ทั้งงดงาม และยอดเยี่ยมมาก ๆ

ในด้านข้อเสียของหนัง ไม่พ้นความเป็นการเล่าเรื่องที่มีความเชยแบบผู้หญิง ๆ ที่เป็นการดำเนินเรื่องที่คนค่อนข้างคุ้นเคย และขาดความแปลกใหม่ คนดูพอสามารถคาดเดาเนื้อหาในเรื่องได้ รวมทั้งการใช้ความเป็นหนังอาชญากรรมมาเป็นตัวขาย แต่ท้ายที่สุดหนังกลับเล่าประเด็นนี้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ทำให้ท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้ก็เป็นเพียงหนังป้อปคอร์น ที่ไม่ได้มีแง่มุมใหม่ ๆ ให้ตีความนัก

โดยรวม Where the Crawdads Sing เป็นหนังโรแมนติก ดราม่า ผสมอาชญากรรม ที่เล่าเรื่องได้ค่อนข้างสนุก แม้หนังจะค่อนข้างขาดความแปลกใหม่ และมีความน้ำเน่าอยู่บ้าง แต่หนังก็ประสบความสำเร็จในด้านการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นงานที่เน้นดูเอาบันเทิง อาจไม่ได้มีอะไรให้คิดต่อมากนัก

Where the Crawdads Sing มีกำหนดฉายในไทย 22 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง