รีวิวหนัง Voice of the New Gen เสียง(ไม่)เงียบ 2022

รีวิวหนัง Voice of the New Gen เสียง(ไม่)เงียบ 2022

Voice of the New Gen หรือชื่อไทย “เสียง(ไม่)เงียบ 2022” คือผลงานหนังจากโครงการ “หนังเลือกทาง” ที่เป็นงานรวบรวมหนังสั้นจากนิสิตนักศึกษา ที่ผ่านการคัดเลือกโดยสมาคมผู้กำกับไทย มาไว้ด้วยกันซึ่งมีทั้งหมด 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ เรียบ / อาวุธ, คืนพิพากษ์, สันดานกรุง และ แดนฝันสลาย ที่ทั้ง 4 เรื่องนี้ล้วนแต่มีพลอต และประเด็น ที่เกี่ยวกับการเมือง และสังคมไทยในช่วงปี 2022

เรื่องแรก เรียบ / อาวุธ เป็นหนังที่ว่าด้วยนายทหารเกณฑ์ ที่ปรับตัวใช้ชีวิตในสังคมแบบทหาร ที่เต็มไปด้วยการใช้อำนาจจากคนที่เหนือกว่า และกฎเกณฑ์มากมาย จนเมื่อเขาได้พบกับเหตุการณ์อันแสนกดดัน ที่เขาจะต้องเลือกระหว่างการเอาตัวรอด หรือมิตรภาพ

เรื่องที่สอง คืนพิพากษ์ หนังที่พูดถึงการกลับมาเจอกันอีกครั้งของอดีตสองเพื่อนรัก ที่คนหนึ่งเป็นแกนนำการชุมนุมที่ได้วางมือไปนานแล้ว และอีกคนที่ยังเชื่อในการต่อู้ผ่านการชุมนุม จนกลายเป็นแกนนำเสียเอง ทั้งสองได้มาเจอกันอีกครั้งในค่ำคืนที่ตำรวจ ทหาร ใช้กำลังในการไล่ล่าคนที่เห็นต่าง จนนำมาสู่สถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนใจ

เรื่องที่สาม สันดานกรุง หนังย้อนไปยังช่วงยุค 90 ที่ว่าด้วยพนักงานพิมพ์เอกสารในบริษัทหนังสือพิมพ์ที่กำลังเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง และพวกเธอกำลังถูกไล่ออก ทางเดียวที่อาจช่วยให้เธออาจรอดจากสถานการณ์นี้คือสืบข่าวเรื่องคดีฆาตกรรมในคาเฟ่แห่งหนึ่ง จนได้นำมาเธอไปพบความจริงอันน่าสะพรึงมากมาย

เรื่องที่สี่ แดนฝันสลาย ว่าด้วยครอบครัวชนชั้นกลางที่ผู้เป็นพ่อ ได้หายตัวไปจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อปี 2553 ในขณะที่แม่ กำลังติดหนี้ค่าเช่าบ้านมานานหลายเดือน เพราะหวังว่าพ่อจะกลับมาอีกครั้ง ส่วนลูกชายต้องพยายามหารายได้เพื่อมาใช้หนี้ และให้ตนเองออกจากชีวิตอันยากลำบากนี้

ความน่าสนใจคือหนังทั้ง 4 เรื่อง คือหนังที่อิงบริบทของการเมือง สังคมไทยในปัจจุบัน ที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังไทยเรื่องไหนหยิบมาเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโหดร้ายของการเกณฑ์ทหาร ความเหลื่อมล้ำในสังคม และความสูญเสียของคนที่เห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราสามารถเห็นได้ในข่าวทุกวันนี้

หากพูดถึงเรื่องที่ดูง่าย และสร้างอิมแพคกับคนดูมากที่สุด ต้องยกให้ เรียบ / อาวุธ ที่สะท้อนภาพของอำนาจนิยมในสังคมทหารออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม หลายฉากเหมือนหยิบเหตุการณ์จริงๆ มาให้คนดูได้เห็น รวมถึงการสร้างบรรยากาศชวรกระอักกระอ่วนใจได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง

ส่วนเรื่องที่เล่าออกมาได้สนุก ครบรสที่สุดคือสันดานกรุง ที่นอกจากจะถ่ายทอดความเป็นหนังอาชญากรรมได้อย่างเข้มข้น ชวนติดตามแล้ว หนังยังถ่ายทอดความ Toxic ของสังคมการทำงานได้ดีมากๆ เป็นหนังที่นอกจากจะยาวสุดแล้ว ยังสนุกแบบครบรส และเต็มไปด้วยความสะเทือนใจ

โดยรวม Voice of the New Gen เสียง(ไม่)เงียบ 2022 เป็นหนังไทยจากนักศึกษา ที่เปี่ยมคุณภาพไม่แพ้หนังใหญ่เลยก็ว่าได้ สิ่งที่พิเศษสำหรับเรื่องนี้คือการที่หนังสามารถถ่ายทอดประเด็นต่างๆ ออกมาได้อย่างชัดเจน และเล่าออกมาได้ทรงพลัง ดูจบแล้วชวนให้ตั้งคำถามมากมายถึงสังคมการเมืองไทยในปัจุบัน

สามารถรับชม Voice of the New Gen เสียง(ไม่)เงียบ 2022 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี: หนังผีที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่สมคำร่ำลือ ที่มาพร้อมครึ่งแรกที่ดีงาม แต่พังทลายในครึ่งหลัง

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี: หนังผีที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่สมคำร่ำลือ ที่มาพร้อมครึ่งแรกที่ดีงาม แต่พังทลายในครึ่งหลัง

ผลงานการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่าง GDH และ Netflix ที่นอกจากนั้นหนังก็ยังใช้คำโปรโมทสุดน่าสนใจว่า “หนังผีสายวิทย์” เรื่องแรกของไทย โดยหนังเรื่องนี้ก็เป็นผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ กอล์ฟ-ปวีณ ที่เคยทำหนังผีจิตวิทยามาแล้วใน บอดี้ ศพ 19 โดยครั้งนี้เขาก็ยังมาพร้อมกับสไตล์งานที่ถนัดด้วยการทำหนังผี ที่ไม่เน้นความสยอง ความหลอนแบบไทย ๆ แต่มาแบบสยองขวัญอารมณ์หนังฮอลีวูด ด้วยองค์ประกอบโดยรวมเหล่านี้ทำให้ Ghost Lab เป็นอีกหนึ่งหนังไทยที่ทั้งคอหนังสยองขวัญ หรือแฟนหนังทั่วไปต่างให้ความหวัง ความสนใจไว้พอสมควร

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ หมอกล้า (ไอซ์-พาริส) และหมอวี (ต่อ-ธนภพ) สองหมอเพื่อนซี้ที่วันหนึ่งทั้งคู่ก็ได้พบกับผีตนหนึ่งในโรงพยาบาลช่วงกลางดึก การเห็นผีครั้งนั้นได้เปลี่ยนความคิดให้ หมอวี จากคนที่ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ เรื่องเหนือธรรมชาติ เริ่มสงสัยเกี่ยวกับโลกหลังความตาย ด้วยเหตุนี้ หมอกล้า เลยชวน หมอวี เพื่อร่วมทำการทดลองลับของเขา คือการทดลองพิสูจน์ว่าผี หรือวิญญาณ มีอยู่จริง แต่ทว่าความยากของการทดลองนี้คือการที่พวกเขาไม่สามารถทำให้ผี มาปรากฎตัวในการทดลองของพวกเขาเลยได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ทั้งคู่เริ่มเกิดไอเดียบางอย่างที่มันค่อย ๆ ล้ำเส้นของความเป็นหมอ และนักวิทยาศาสตร์ จนนำมาสู่ความสยองที่จะเปลี่ยนชีวิตทั้งคู่ไปตลอดกาล

ถ้าจะบอกว่า Ghost Lab เป็นหนังผีแนวใหม่ ก็ต้องยอมรับว่าพลอตของเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างใหม่สำหรับหนังไทย ทั้งในด้านความเป็นไซไฟ และสยองขวัญ หนังสร้างคาแรคเตอร์ และเงื่อนไขของตัวละครออกมาได้แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ที่สองตัวเอกเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้แทนที่เราจะได้เห็นสองตัวละครนี้เห็นผี เรากลับได้เห็นตัวละครเดินหน้าเข้าหาผีแบบไร้ซึ่งความหวาดกลัว พร้อมทั้งหนังก็ยังใส่มุมมองของวิทยาศาสตร์เข้าไปแบบจัดเต็ม มีการอ้างอิงสมมติฐาน หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องผี ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้เมามันส์ ชวนติดตาม โดยตลอดครึ่งแรกของหนังได้มีการค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุก ความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนคนดูสามารถรู้สึกถึงพลังความคิดสร้างสรรค์ และการเล่าเรื่องที่มีพลังของผู้กำกับ

สำหรับความน่ากลัวของหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังผีที่มาทรงผีไทยเหมือนที่ผ่านมา หนังแทบไม่มีฉากผีสยดสยองให้ได้เห็นมากนัก เนื่องจากหนังจะเน้นไปที่ความเป็นวิทยาศาสตร์ การทดลองเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามหนังก็ยังเต็มไปด้วยฉากตุ้งแช่ สไตล์ GDH ที่มีจังหวะให้ได้สะดุ้งกันเป็นพัก ๆ ตัวผีในเรื่องค่อนข้างมีความเป็นผี CGI หรือผีแบบยอดมนุษย์ ซึ่งเป็นลายเซ็นของตัวผู้กำกับ

แม้ว่าครึ่งแรกของ Ghost Lab จะทำออกมาได้น่าติดตาม ชวนสนุก และใหม่เพียงใดก็ตาม แต่ทว่าปัญหาของเรื่องคือครึ่งหลังของเรื่องที่ทุกอย่างดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนว่าทางทีมเขียนบทต้องรีบตัดหนังให้จบภายใน 2 ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่ประเด็นของหนังยังเหลืออีกมากมายให้ได้เล่า ทำให้สิ่งที่ได้ในครึ่งหลังคือการกระทำต่าง ๆ ของตัวละครที่ค่อย ๆ ไร้เหตุและผลลงเรื่อย ๆ ความเป็นวิทยาศาสตร์ของหนังก็เริ่มลดลง ก่อนที่ท้ายที่สุดหนังจะทำลายตัวเองใน 30 นาทีสุดท้ายด้วยการกลับสู่หนังผี วิญญาณอาฆาต ตามสูตรเดิม ๆ แต่เพิ่มเติมคือความไม่สมเหตุสมผลมากมาย ที่มันชวนย้อนแย้งกับครึ่งเรื่องก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าหนังจะมีครึ่งหลังที่ค่อนข้างเลวร้าย และไม่น่าจดจำ แต่สิ่งที่น่าชื่นชมอย่างปฎิเสธไม่ได้คือการแสดงของ ต่อ-ธนภพ ในบท หมอวี ที่สามารถแบกหนังทั้งเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม ในเรื่องนี้เราจะได้เห็น ต่อในบทหมอผู้ขี้อาย แสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่ด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ตัวละคร หมอวีต้องเผชิญ มันได้ค่อย ๆ ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวน พร้อมทั้งการดิ้นรนเพื่อความอยากรู้อยากเห็นแบบถึงขั้นสุด ทำให้เราได้ค่อย ๆ เห็นความคลั่งของ หมอวีที่ไล่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง ต่อก็สามารถเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม จนสามารถตรึงคนดูไว้กับหนังจนจบเรื่องได้แม้ว่าช่วงท้ายจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

โดยรวม Ghost Lab ถือว่าเป็นหนังไทยที่ให้อารมณ์ต่างจากหนังผีไทยเรื่องอื่น ๆ สมกับคำโฆษณา หนังเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ การนำเสนอจากมุมมองวิทยาศาสตร์ ที่ให้ความสนุกที่ต่างจากหนังแนวเดิม ๆ ที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่พลังความสร้างสรรค์เหล่านั้นกลับอ่อนลงในช่วงกลางเรื่องไปจนถึงท้ายเรื่อง ทำให้แทนที่หนังจะสามารถนำเสนอการทดลองที่ตื่นเต้น ชวนลุ้นไปจนจบ แต่ภาพที่ออกมาคือความน่าผิดหวัง เหมือนการทดลองที่ล้มเหลวกลางทาง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการทดลองในด้านภาพยนตร์ ที่คุ้มค่า และได้สร้างอะไรใหม่ ๆ ให้กับวงการหนังไทยไม่มากก็น้อย

Cr. ภาพ : Facebook Fanpage: GDH

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวหนัง Aftersun: หนังดราม่าที่เรียบง่าย แต่ถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลัง

รีวิวหนัง Aftersun: หนังดราม่าที่เรียบง่าย แต่ถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลัง

ผลงานหนังดราม่าน้ำดีจากค่าย A24 ที่เป็นงานประเดิมการกำกับหนังยาวเรื่องแรกของ ชาร์ล็อตต์ เวลส์ ที่ได้หยิบเรื่องราวความทรงจำของเธอ และพ่อ มาถ่ายทอดในรูปแบบที่เรียบง่าย ผ่านการแสดงของ พอลล์ เมสคอล (ซีรีส์ Normal People) และนักแสดงสาวน้อยหน้าใหม่ แฟรงค์กี้ โคริโอ

Aftersun จะว่าด้วยเรื่องราวของ คัลลัม (พอลล์ เมสคอล) และโซฟี (แฟรงค์กี้ โคริโอ) สองพ่อลูกที่ได้เดินทางมาท่องเที่ยวพักร้อนกัน ก่อนที่ตัว คัลลัมผู้เป็นพ่อจะต้องหย่าร้างกับแม่ของโซฟี ทริปนี้จึงเป็นการบันทึกภาพความทรงจำระหว่างทั้งคู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความประทับใจ และความโศกเศร้าที่ซุกซ่อนเอาไว้ภายในใจของทั้งสอง

ตัวหนังมาพร้อมวิธีการดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย ไม่หวือหวา โดยหนังจะพาคนดูไปร่วมพักร้อนกับสองพ่อลูก ซึ่งจะตัดสลับระหว่างภาพอดีต ปัจจุบัน ให้อารมณ์เหมือนผู้ชมกำลังนั่งดูวีดีโอความทรงจำของตัวละคร ที่เต็มไปด้วยโมเมนต์แห่งความสุข ความประทับใจ

ระหว่างเรื่องหนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศการพักผ่อนของสองพ่อลูกออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผู้ชมจะได้เห็นกิจกรรมร่วมกันของทั้งสองตัวละคร ผสมกับวิธีการสอน และเลี้ยงดูลูกของคัลลัม ที่เปี่ยมด้วยความรัก ความอบอุ่น เท่าที่พ่อคนหนึ่งจะมีให้ได้ ในขณะที่ด้านตัวโซฟี ก็มีเรื่องการเติบโตผ่านวัยแฝงอยู่ด้วย

ความพิเศษของ Aftersun คือนี่คือหนังดราม่าที่ซ่อนความโศกเศร้าไว้มากกว่าที่คิดไว้ แบบที่หนังไม่ได้ใส่ฉากขยี้อารมณ์คนดูเท่าไหร่นัก แต่เน้นอาศัยประสบการณ์ และความรู้สึกร่วม ซึ่งหนังได้บอกใบ้กับคนดูถึงภาวะโรคซึมเศร้าของตัวละคร คัลลัม ผ่านหลายฉาก หลายคำพูดที่ตัวละครนี้แสดงออกมาให้คนดูได้ตีความ และรู้สึกถึงความเศร้าภายในใจตัวละครนี้ หนึ่งในโมเมนต์ที่ทรงพลัง และโศกเศร้าที่สุดของหนังเรื่องนี้คือฉากจบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของการอำลาที่เหมือนจะมีความสุข แต่แฝงไปด้วยความหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชมทั้งตัว เมสคอล และโดริโอ ที่ต่างถ่ายทอดบทพ่อลูกออกมาได้เป็นธรรมชาติ มีความสมจริง จนคนดูแทบจะเชื่อว่าทั้งคู่คือพ่อลูกกันจริงๆ ด้าน เมสคอล ถ่ายทอดบทบาทของชายที่ซ่อนความเศร้าเอาไว้ได้ยอดเยี่ยม จนคนดูสามารถสัมผัสถึงความเศร้าผ่านแววตาของเขา ในขณะที่ด้าน โดริโอ ก็ถ่ายทอดบทบาทสาวน้อยได้น่ารัก เป็นธรรมชาติ จนคนดูหลงรักเธอในทุกโมเมนต์

โดยรวม Aftersun นับว่าเป็นหนังดราม่าชั้นเยี่ยม ที่มาพร้อมการเล่าเรื่องสุดเรียบง่าย แต่ฉากจบกลับสามารถขยี้อารมณ์คนดูได้อย่างอยู่หมัด เป็นงานที่อาศัยประสบการณ์ และความรู้สึกร่วมกับคนดู ยิ่งหากใครที่เคยมีประสบการณ์สูญเสียคนในครอบครัว อาจเสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

สามารถรับชม Aftersun ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง Firestarter: หนังดาร์กแฟนตาซีจากผลงานของ สตีเวน คิง ที่พอดูเอาสนุกแบบฆ่าเวลา

รีวิวหนัง Firestarter: หนังดาร์กแฟนตาซีจากผลงานของ สตีเวน คิง ที่พอดูเอาสนุกแบบฆ่าเวลา

Firestarter เป็นอีกหนึ่งผลงานหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ สตีเวน คิง ที่เคยสร้างมาแล้วเมื่อปี 1984 โดยฉบับปี 2022 นี้ เป็นผลงานการกำกับโดย คีธ โทมัส (The Vigil) โดยในเวอร์ชันนี้ได้ คิง มารับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ สก้อต ทีมส์ (Halloween Ends) พร้อมได้นักแสดงหนุ่ม แซค แอฟรอน (17 Again) และ ไรอัน คีร่า อาร์มสตรอง (Black Widow) มารับบทนำ

เรื่องราวของ Firestarter จะว่าด้วย ชาร์ลี (ไรอัน คีร่า อาร์มสตรอง) เด็กหญิงที่เติบโตมาในครอบครัวที่ปลีกวิเวกจากผู้คน เพราะครอบครัวของเธอนั้นเป็นคนที่มีพลังเหนือมนุษย์ที่ต้องซ่อนพลังของตนเองไว้ โดย ชาร์ลีนั้นมีพลังในการควบคุมไฟ จนกระทั่งวันหนึ่งความสงบสุขของครอบครัวชาร์ลี ก็ต้องจบลง เมื่อพวกเขาและเธอถูกตามล่าจากองค์กรวิทยาศาสตร์ที่หวังนำร่างของพวกเขาและเธอ ไปทดลอง การไล่ล่าสุดระทึกก็ได้เริ่มขึ้น

หนังมาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องที่สนุกตามสูตรสำเร็จของหนังจากนิยาย สตีเวน คิง ที่จะพูดถึงคนที่แปลกแยกจากสังคม ที่ต้องดิ่นรนเอาชีวิตรอด ให้อารมณ์เหมือน Carrie และ Doctor Sleep ความน่าสนใจคือหนังมีความเป็น X-Men เวอร์ชันดาร์ก ที่มีบรรกาศการเล่าเรื่องที่จริงจัง หดหู่

งานโปรดักชันของหนังทำออกมาได้ค่อนข้างสมกับความเป็นงานของ คิง ที่มีความโหด ดิบ ความสยดสยองแบบที่ไม่ปราณี ฉากปล่อยพลังเพลิง ทำออกมาได้ดีเยี่ยม สมกับเทคโนโลยีของหนังที่สมจริงมากยิ่งขึ้น ด้านฉากแอ็คชันหลายฉากค่อนข้างทำออกมาได้ดุดัน และน่าจะเป็นส่วนที่ดีงามที่สุดของหนังเรื่องนี้

น่าเสียดายที่หนังไม่สามารถบริหารเวลาการเล่าเรื่อง 90 นาทีให้ออกมาคุ้มค่าเท่าที่ควร หนังเต็มไปด้วยการเล่าเรื่องสูตรสำเร็จที่คนดูสามารถเดาทิศทางได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ตัวละครที่ไร้มิติ และไม่มีความน่าจดจำเท่าที่ควร และแทบไม่ได้แตกต่างจากงานสตีเวน คิงที่ผ่านๆ มาแต่อย่างใด

ด้านการแสดง แซค แอฟรอน สามารถถ่ายทอดบทดาร์กๆ ให้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เคมีการแสดงของเขา และไรอัน คีร่า ต่างสามารถรับส่งบทกันได้ราวกับเป็นพ่อลูกจริงๆ และสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ค่อนข้างดี

โดยรวม Firestarter เป็นหนังดาร์กแฟนตาซี จากปลายปากกาของ สตีเวน คิง ที่มาพร้อมกลิ่นอายที่คุ้นเคยของนักเขียนผู้นี้ หนังมีดีที่ความโหด ความสยอง และความระทึก ที่ทำได้ค่อนข้างดี แต่ในด้านการเล่าเรื่องหนังกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะหนังแทบไม่ได้มีความแปลกใหม่ หรือแตกต่างจากงานของคิงที่ผ่านมา

สามารถรับชมหนัง Firestarter ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

Final Fantasy 7 Advent Children จะกลับมาในระบบ 4K

Final Fantasy 7 Advent Children จะกลับมาในระบบ 4K

ปี 2563 ที่ผ่านมาเพื่อน ๆ หลายคนคงได้ดูหรือได้เล่นเกม Final Fantasy 7 Remake กันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วและคงรู้สึกสนุกไปกับเนื้อเรื่องรวมถึงตัวละครที่มีความน่ารักสดใสและมีความหล่อเท่ โดยเนื้อเรื่องใน Final Fantasy 7 Remake นั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงเนื้อหาไปมาก เพื่อจะทำภาคต่อไปนั่นเอง

แต่สำหรับใครที่เป็นแฟนเกม Final Fantasy 7 ภาคหลักแล้ว ก็คงจะรู้ดีว่า Final Fantasy 7 นั้นมีทั้งเนื้อเรื่องที่เป็นเนื้อเรื่องก่อนภาคหลักที่มีชื่อว่า Final Fantasy 7 Crisis Core ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน Final Fantasy 7 ภาคหลัก และหลังจบภาคหลักก็ได้มีภาพยนตร์ Final Fantasy 7 ที่ทำด้วย CGI โดยเนื้อหานั้นเป็นเนื้อหาที่ต่อเนื่องจาก Final Fantasy 7 ภาคหลัก เมื่อเพื่อน ๆ รู้เนื้อหาของ Final Fantasy 7 ทั้งหมด 3 ภาคนี้แล้วก็จะเป็นการจบเนื้อเรื่อง Final Fantasy 7 ที่สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่ในอดีตเคยมีมา

Cr.Wallpaperaccess

เชื่อว่ามีหลายคนไม่ได้รู้จัก Final Fantasy 7 จากเกมมาก่อนแต่ได้รู้จัก Final Fantasy 7 จากภาพยนตร์ในเรื่อง Final Fantasy 7 Advent Children ที่ได้ฉายออกมาในช่วงปี 2005 สำหรับในช่วงนั้นแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีภาพที่สวยงามมากเลยทีเดียว ผู้เขียนก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้เล่นเกม Final Fantasy 7 แต่รู้จักเกม Final Fantasy 7 จากภาพยนตร์เรื่อง Final Fantasy 7 Advent Children เช่นเดียวกัน

Cr.Wall.Alphacoders

และนับว่าเป็นข่าวดีมากสำหรับแฟนภาพยนตร์เรื่อง Final Fantasy 7 Advent Children เพราะว่าจะมีการรีมาสเตอร์ตัวภาพยนตร์ให้มีความคมชัดมากขึ้นโดยใช้ระบบ 4K ซึ่งเป็นระบบเทคโนโลยีภาพที่ชัดมากในปัจจุบันนี้ เราจะได้เห็นภาพที่สวยมากกว่าในปี 2005 อย่างแน่นอนเลย โดยกำหนดวันที่จะออกมาสู่สายตาของแฟนเกมในช่วงวันที่ 8 มิถุนายน 2020 ซึ่งเป็นการออกมาเพื่อเรียกน้ำย่อยให้กับผู้เล่นที่รอคอยที่จะเล่นเกม Final Fantasy 7 Remake Intergrade ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องภาคต่อของ Final Fantasy 7 Remake ที่จะถูกปล่อยมาให้เล่นกันในวันที่ 10 มิถุนายน 2020

Cr.Wallpaperaccess

ก็อีกไม่กี่เดือนแล้วที่เราจะได้รับรู้ถึงเรื่องราวภาคต่อของ Final Fantasy 7 Remake รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ชวนคิดถึงอย่าง Final Fantasy 7 Advent Children อย่าลืมมาติดตามเรื่องราวสุดมันกันนะในช่วงเดือนมิถุนายน รวมไปถึงดาวน์โหลดเกม Final Fantasy 7 Remake ทุก ๆ ภาคมาเล่นเพื่อที่จะได้รู้สึกอินไปกับเนื้อหาด้วยนะ

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าไดโนเสาร์ที่กลับมาออกอาละวาด ในทีเซอร์แรกจาก Jurassic World: Dominion

เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าไดโนเสาร์ที่กลับมาออกอาละวาด ในทีเซอร์แรกจาก Jurassic World: Dominion

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาแล้วสำหรับทีเซอร์แรกของโปรเจกต์ที่หลายคนรอคอยอย่าง Jurassic World: Dominion หนังภาคที่ 3 ของไตรภาคชุด Jurassic World ที่ล่าสุดทาง Universal Pictures ก็ได้ทำการเผยคลิปแรกจากหนัง เป็นฉาก Prologue จากหนัง คือฉากเปิดเรื่องความยาว 5 นาทีแบบจุใจ

อย่างที่แฟนหนังชุดนี้หลายคนพอทราบดี ว่าในเหตุการณ์จาก Jurassic World: Fallen Kingdom จะว่าด้วยการระเบิดของภูเขาไฟจากเกาะในสวนสนุก Jurassic World และได้มีการนำไดโนเสาร์บางส่วนออกมาจากเกาะ แต่ด้วยความผิดพลาดก็ได้มีไดโนเสาร์บางส่วนหลุดออกมาสู่โลกภายนอก และออกอาละวาดเมืองจนสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คน สำหรับใน Jurassic World: Dominion ก็จะเป็นการพูดถึงโลกมนุษย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาของสัตว์โลกล้านปีที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ในคลิปที่ปล่อยมานั้นเราจะได้เห็นฉากเปิดเป็นการย้อนไปยังยุคโลกล้านปีช่วงที่ ไดโนเสาร์ยังครองโลกอยู่ ซึ่งในฉากก็ได้นำเสนอวงจรชีวิตต่าง ๆ ของเหล่าไดโนเสาร์ด้วยงานภาพที่สวยงามตระการตา ก่อนที่จะตัดฉากมายังปัจจุบันเมื่อไดโนเสาร์ได้หลุดมายังสถานที่ที่มีการฉายหนังแบบ Drive In จนเกิดเหตุการณ์ชุลมุน ในขณะเดียวกันก็มีหน่วยรบที่ทำการตามล่าเพื่อคอยจัดการกับไดโนเสาร์ที่หลุดออกไป จนนำมาสู่ฉากเปิดเรื่องสุดระทึก

สำหรับ Jurassic World: Dominion ได้ คอร์ริน เทรวอร์โรว์ มือกำกับจาก Jurassic World กลับมารับหน้าที่กำกับอีกครั้ง นอกจากนี้ เทรวอร์โรว์ ยังทำหน้าที่ร่วมเขียนบทกับ เอมิลี่ คาร์มิเชล (Pacific Rim: Uprising) และ เดเรค คอนอลลี่ (Pokémon: Detective Pikachu) พร้อมได้ผู้สร้างสรรค์แฟรนไชล์ชุด Jurassic Park อย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก กลับมารับหน้าที่ร่วมอำนวยการสร้างอีกครั้ง นำแสดงโดย คริส แพร็ต (Guardian of the Galaxy), แดเนียลลา พิเนดา (ซีรีส์ Cowboy Bebop), ไบรซ์ ดัลลาส โฮเวิร์ด (Rocketman) นอกจากนี้ยังได้ทีมนักแสดงจาก Jurassic Park กลับมาร่วมสมทบในบทเดิมอีกครั้งไม่ว่าจะเป็น แซม นีล (ซีรีส์ Invasion), เจฟฟ์ โกลด์บลัม (Hotel Artemis) และลอว์รา เดิร์น (ซีรีส์ Big Little Lies)

นอกจากหนังยาวแล้ว ก่อนหน้าที่ Jurassic World: Dominion ก็ยังมีหนังสั้น Battle at Big Rock ที่ปล่อยมาให้ชมเมื่อปี 2019 เป็นหนังควายาว 10 นาทีที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวที่ได้ไปแคมป์ปิ้ง และพวกเขาได้เผชิญกับการต่อสู้ของเหล่าไดโนเสาร์ จนนำมาสู่เหตุการณ์ชวนระทึก ซึ่งตัวหนังสามารถรับชมได้บน Youtube

สำหรับ Jurassic World: Dominion จะมีกำหนดฉายช่วงฤดูร้อนปี 2022 นี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Jurassic World Dominion | Prologue

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิว The Turning: หนังสยองขวัญ สูตรสำเร็จ ที่น่าผิดหวังแห่งปี 2020 ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นดี แต่กลับใช้งานได้ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร

รีวิว The Turning: หนังสยองขวัญ

แม้ว่าในทุกวันนี้ หนังสยองขวัญแนวบ้านผีสิงจะไม่ได้เป็นอะไรที่ใหม่อีกแล้วสำหรับหนังประเภทนี้ และนับวันมันก็ดูเหมือนว่าจะทำงานกับคนดูน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีนักทำหนังหน้าใหม่หลายคนที่ยังคงสร้างหนังแนวนี้มาให้ได้ชมกัน แม้มันจะไม่ได้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้ และคำวิจารณ์ก็ตาม โดย The Turning เป็นอีกหนึ่งหนังแนวบ้านผีสิงจากปี 2020 ที่ไม่ได้เข้าฉายในไทย จนเมื่อไม่นานมานี้หนังเรื่องนี้ก็ได้เข้าฉายบน HBO GO

The Turning เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของ เคท (แมคแคนซี่ย์ เดวิส) หญิงสาวที่ได้รับว่าจ้างให้ไปดูแล ไมลส์ (ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด) และ ฟลอล่า (บรู๊คลินน์ พรินซ์) สองพี่น้องกำพร้า ทายาทมหาเศรษฐี แต่เมื่อ เคท ได้ย้ายเข้าไปในคฤหาสน์ของครอบครัวนี้ เธอก็ต้องพบกับเรื่องแปลก ๆ และบทสอบมากมาย ทั้งความแสบของสองพี่น้องที่มักกลั่นแกล้งเธอ ป้าแม่บ้าน ที่ดูไม่ค่อยมีอรรถยาศัยที่ดีกับเธอเท่าไหร่และวิญญาณร้ายที่สิงสถิตย์อยู่ในบ้านหลังนี้

หนังกำกับโดย ฟลอเรีย ซิกิสมอนดิ ที่เป็นหนึ่งในผู้กำกับจาก Daredevil และ The Handmaid’s Tales เขียนบทโดย  แชด ฮาเยส และ แครี่ ดับบลิว ฮาเยส สองมือเขียนบทจาก The Conjuring ที่ดัดแปลงมาจากนิยายคลาสสิกของ เฮนรี เจมส์ ที่มีชื่อว่า “The Turn of the Screw” โดยหนังก็ได้ทีมนักแสดงนำที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาอย่าง แมคแคนซี่ย์ เดวิส (Terminator Dark Fate), ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด (ซีรีส์ stranger Things) และ บรู๊คลินน์ พรินซ์ (The Florida Project)

ความน่าสนใจของ The Turning คือการที่หนังมีการวางโครงเรื่องให้เหมือนกับ The Haunting of Bly Manor ซีรีส์สยองขวัญที่เข้าฉายปีเดียวกันของ Netflix ทำให้ช่วงเปิดเรื่องของหนังเต็มไปด้วยความน่าสนใจทั้งปมในอดีตของตัวละคร และการสร้างบรรยากาศของบ้านให้ดูน่าวังเวง รวมถึงคาแรคเตอร์แปลก ๆ ชวนขนลุก ของสองพี่น้อง ที้ล้วนแต่มีความคล้ายครึงกับ Bly Manor จนเป็นอีกหนึ่งจุดขายที่ทำให้คนดูอยากติดตามไปจนจบ

แต่ปัญหาสำคัญของหนังคือการตกม้าตายตามหนังสยองขวัญสูตรสำเร็จในยุคหลัง ๆ ที่ทุกอย่างออกมาสูตรสำเร็จเกินไปจนขาดความแปลกใหม่ ความน่าติดตาม จังหวะของหนัง ใครที่ช่ำชองหนังสยองขวัญน่าจะเดาทิศทางเนื้อเรื่องได้ง่าย

ที่น่าเสียดายอีกอย่างคือความน่ากลัว ความสยองขวัญที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่หนังมีวัตถุดิบที่จะสามารถกลายเป็นหนังสยองขวัญน้ำดีแบบ The Other หรือ The Conjuring ได้ รวมถึงทีมนักแสดงที่มีของ พอที่จะแบกหนังไว้ได้ แต่หนังกลับใช้งานได้ไม่คุ้มค่า หนังพยายามไปเสียเวลากลับพาร์ทดราม่าที่ไม่จำเป็น รวมถึงการสร้างจังหวะผีหลอก ที่ทำออกมาไร้ซึ่งความน่ากลัว ผีใน The Turning มีความเป็นแฟนตาซี มากกว่าจะเป็นวิญญาณเฮี้ยนเหมือนหนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ

โดยรวม The Turning คืออีกหนังสยองขวัญน่าผิดหวังอีกเรื่องแห่งปี 2020 ทั้ง ๆ ที่หนังมีวัตถุดิบที่จะสามารถกลายเป็นหนังสยองขวัญน้ำดีได้ แต่หนังก็ใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบเหล่านั้นได้ไม่สุด ทำให้ท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นงานที่ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ หรือพูดถึงต่อไป

สามารถรับชม The Turning ได้แล้ววันนี้ที่ HBO GO

Cr. ภาพ : เว็บไซต์ IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

Marvel Studios กำลังเตรียมพัฒนาโปรเจกต์หนัง Captain America 4 โดยได้ทีมผู้สร้างจาก The Falcon and The Winter Soldier มาร่วมเขียนบท

Marvel Studios กำลังเตรียมพัฒนาโปรเจกต์หนัง

ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับแฟน ๆ MCU (Marvel Cinematic Universe) หรือคอหนังฮีโร่ก็ว่าได้ เมื่อไม่นานมานี้ทาง Marvel Studios ก็ได้ออกมาประกาศว่ากำลังพัฒนาโปรเจกต์หนัง Captain America 4 อยู่ โดยจะได้ผู้สร้างและมือเขียนบทจากซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier มารับหน้าที่ดูแลโปรเจกต์นี้

จากรายงานของสื่อนอกได้เผยว่า ตอนนี้ Marvel Studios กำลังพัฒนาโปรเจกต์หนังภาคที่ 4 ของ Captain America โดยเบื้องต้นจะได้ มัลคอม สเปลแมน หัวหน้าทีมเขียนบท และผู้อำนวยการสร้างจากซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier มารับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ ดาแลน มุสสัน มือเขียนบทจาก Ep. สุดท้ายของซีรีส์ชุดนี่ สำหรับผู้กำกับ ยังไม่ได้มีการวางตัวว่าใครจะได้มาทำหน้าที่นี้ รวมถึงทีมนักแสดงนำ ที่ยังไม่ได้กำหนดว่าในภาคนี้เราจะได้เห็นใครสวมชุดกัปตันอเมริกา

โดยก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือว่า คริส อีแวนส์ เจ้าของบท กัปตันอเมริกาคนเก่าที่หมดสัญญาไปหลังจบ Avengers: Endgame กำลังจะได้ต่อสัญญากลับมารับบทกัปตันอเมริกาอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดตัว เควิน ไฟกี หัวหอกของ Marvel Studios ก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวไป

***ย่อหน้านี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier

แต่นอกเหนือจาก คริส อีแวนส์ แล้ว อีกคนที่มีแนวโน้มสูงว่าจะมารับบท กัปตันอเมริกาก็คือ แอนโธนี่ แมคกี้ เจ้าของบท ฟอลคอน ที่ในซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier ได้มีการปูทางให้ตัวละครของเขาเป็นกัปตันอเมริกาเวอร์ชั่นผิวสี ซึ่งในตอนสุดท้ายของซีรีส์ผู้ชมก็จะได้เห็นชุดใหม่ของ ฟอลคอน พร้อมมีการใช้โล่ของกัปตันอเมริกา ที่สำคัญหลังซีรีส์จบ ก็ได้มีการขึ้นชื่อเรื่องใหม่ว่า Captain America and The Winter Soldier ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่า แอนโธนี่ ฮอปกินส์ จะกลายมาเป็น กัปตันอเมริกา แทนที่คริส อีแวนส์ ในหนัง Captain America 4 และในหนังจักรวาล MCU ในอนาคต

โดย Captain America ถือว่าเป็นหนังเดี่ยวใน MCU เรื่องที่สองที่จะมีถึง 4 ภาค ส่วนเรื่องแรกคือ Thor: Love and Thunder หนังภาคที่ 4 ของเทพเจ้าสายฟ้า ที่ได้ คริส แฮมส์เวิร์ธ กลับมารับบท ธฮร์ อีกครั้ง พร้อมได้ ไทก้า ไวทีที ผู้กำกับจาก Thor: Ragnarok และ Jojo Rabbit มารับหน้าที่กำกับ พร้อมจัดเต็มด้วยนักแสดงดังที่ตบเท้าเข้ามาร่วมแสดงสมทบอีกเพียบ ซึ่งตอนนี้หนังก็กำลังอยู่ในช่วงระหว่างการถ่ายทำ โดยมีกำหนดฉายเดือนพฤษภาคม 2022

Cr. ภาพ : เว็บไซต์ IMDB

อ้างอิง : https://www.empireonline.com/movies/news/the-falcon-and-the-winter-soldier-malcolm-spellman-co-writing-a-fourth-captain-america-film/

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิว: The Nightingale หนังสยองขวัญ ล้างแค้น ที่มีดีมากกว่าแค่ความโหด

รีวิว: The Nightingale หนังสยองขวัญ ล้างแค้น ที่มีดีมากกว่าแค่ความโหด

หนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญ แนวล้างแค้น ผลงานกำกับ และเขียนบทโดย เจนนิเฟอร์ เคนท์ ที่เคยสร้างผลงานจิตวิทยา สยองขวัญสุดโด่งดังอย่าง The Babadook เมื่อปี 2014 โดยใน The Nightingale เคนท์ ก็ได้ฉีกแนวจากผลงานเรื่องก่อนโดยสิ้นเชิง เพราะครั้งนี้หนังได้พาเราย้อนเวลากลับไปยังช่วงศตวรรษที่ 19 พร้อมนำเสนอความโหดร้าย ความหม่นของจิตใจคน จนหนังเรื่องนี้ถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งหนังสยองขวัญที่มีฉากความรุนแรง น่าสะเทือนใจจนได้รับเรท R ในต่างประเทศ และในไทยได่รับเรทอยู่ที่ 18+

หนังจะเล่าเรื่องราวในปี 1825 บนเกาะแวนดีเมน (หรือเกาะเทสเมเนียในปัจจุบัน) โดยหนังจะนำเสนอชีวิตของ แคลร์ หญิงสาวชาวไอริช ที่ถูกทหารอังกฤษที่ในตอนนั้นกำลังทำการล่าอาณานิคม จับเธอและครอบครัวมาเป็นทาส จนกระทั่งวันหนึ่ง แคลร์ต้องสูญเสียครอบครัวของเธอไปต่อหน้าต่อตา ส่วนเธอเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ เธอจึงวางแผนที่จะล้สงแค้นทหารอังกฤษเหล่านั้น โดยเธอได้ว่าจ้างให้ บิลลี่ ชาวเผ่าพื้นเมืองช่วยนำทางเธอในการหาเบาะแสของทหารอังกฤษ ในขณะเดียวกันเธอ และบิลลี่ ก็ได้เรียนรู้มิตรภาพของกันและกัน พร้อมทั้งเผชิญกับความโหดร้าย รุนแรงต่าง ๆ จากการล่าอาณานิคมของทหารอังกฤษ

แม้จะใช้หมวดหมู่ว่าเป็นหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญ แนวล้างแค้น แต่ The Nightingale ก็ไม่ได้เป็นหนังสูตรสำเร็จเหมือนอย่างที่หนังแนวนี้ส่วนใหญ่เป็น โดยหนังจะเล่าเรื่องในรูปแบบหนังจิตวิทยา ผสมประเด็นทางสังคมประวัติศาสตร์ ทำให้หนังอาจไม่ได้เน้นขายฉากแอคชั่น หรือฉากการเข่นฆ่าที่ชวนสยดสยองมากนัก ตัวหนังจะโฟกัสไปที่จิตใจที่บอบช้ำของตัวละคร รวมทั้งควมเลือดเย็นของทหารอังกฤษเกือบตลอดทั้งเรื่อง ใครที่หวังเสพฉากแอคชั่นมันส์ ๆ ในเรื่องนี้อาจผิดหวัง แต่หากใครชอบหนังจิตวิทยา ประวัติศาสตร์ น่าจะถูกใจกับสิ่งที่หนังนำเสนอไม่น้อย

อีกหนึ่งความน่าสนใจของ The Nightingale คือการนำเสนอผ่านอัตราส่วนภาพอยู่ที่ 4:3 ซึ่งจะเป็นอัตราส่วนที่ผู้ชมจะไม่ได้เห็นภาพแบบเต็มจอเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ แต่จะเห็นเพียงใบหน้า และส่วนที่ผู้กำกับต้องการให้เห็นเท่านั้น ที่ช่วยทำให้เราไม่ต้องเห็นความรุนแรง โหดร้าย ทารุณของหนังแบบเต็ม ๆ แต่ความรุนแรงเหล่านั้นจะถูกถ่ายทอดผ่านสีหน้าการแสดงของนักแสดงแทน ซึ่งในส่วนนี้ต้องชื่นชมเหล่านักแสดงนำของเรื่อง ที่แต่ละคนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ให้ผู้ชมได้เห็นถึงความวิปริต วิปลาสออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนราวกับว่าผู้ชมกำลังร่วมอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น

ในด้านความโหด ความรุนแรงของหนัง แม้ว่าจะไม่ได้มีฉากชวนสยดสยองเยอะมากนัก แต่ความรุนแรงจากหนังล้วนมาจากพฤติกรรม ความคิดของตัวละคร ที่หนังนำเสนอตลอดทั้งเรื่อง โดยส่วนที่หนังถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจนคือการเหยียดเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ และวิธีการแสดงออกที่ไร้มนุษยธรรม ด้วยเหตุนี้ทำให้ตอนที่หนังเรื่องนี้ ฉายที่เทศกาล Sydney Film Festival ผู้ชมบางส่วนถึงกับทนรับความรุนแรงของหนังไม่ไหวจนต้องลุกออกจากโรงในช่วงกลางเรื่อง

อย่างไรก็ตาม ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า The Nightingale ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังน้ำดี ที่แม้จะไม่ใช่หนังที่ทำเพื่อความบันเทิง แต่หนังเรื่องนี้ก็ได้เป็นเครื่องบันทึกประวัติศาสตร์ความรุนแรง ความโหดร้ายทารุณในช่วงล่าอาณานิคมออกมาได้อย่างมีมิติ และสมจริง ที่สำคัญหนังสามารถทำหน้าที่ได้สุดทางได้แทบทุก ๆ ด้าน ทั้งพาร์ทดราม่า พาร์ทสยองขวัญ รวมถึงการแสดงที่ทรงพลังของทีมนักแสดงนำ ใครที่ชื่นชอบหนังที่มีประเด็นสังคม ประวัติศาสตร์ และเต็มไปด้วยนัยยะที่ชวนคิด นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยากแนะนำเป็นอย่างยิ่ง

The Nightingale เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

ขอขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

เตรียมพบกับภารกิจสุดระทึกครั้งใหม่ของ ลีออน และแคลร์ ในทีเซอร์ล่าสุด Resident Evil: Infinite Darkness

เตรียมพบกับภารกิจสุดระทึกครั้งใหม่ของ ลีออน และแคลร์ ในทีเซอร์ล่าสุด Resident Evil: Infinite Darkness

อีกหนึ่งออริจินัลซีรีส์จาก Netflix ในปี 2021 ที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนรอคอย สำหรับ Resident Evil: Infinite Darkness หรือชื่อไทย “ผีชีวะ มหันตภัย ไวรัสมืด” ซีรีส์อนิเมชั่น ที่ดัดแปลงมาจากเกมแอคชั่น ไซไฟชื่อดัง ที่ก่อนหน้านี้ทางสตรีมดังได้ทำการปล่อยทีเซอร์แรก และโปสเตอร์มายั่วแล้ว ล่าสุดทางค่ายก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างล่าสุดของซีรีส์เรื่องนี้มาให้ได้ชมกันแล้ว พร้อมประกาศวันฉายเดือนกรกฎาคมนี้

เรื่องราวในช่วงปี 2016 เมื่อมีการพบว่ามีการลักลอบเข้าไฟล์ลับของประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาว ทำให้ ลีออน เอส เคเนดี้ เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลาง ต้องเข้ามาตรวจสอบคดีนี้ โดยเขาและเจ้าหน้าที่ต้องเอาชีวิตรอดจากฝูงซอมบี้ นอกจากนี้ที่นั่นเขาก็ได้พบกับ แคลร์ เรดฟิลด์ เจ้าหน้าที่จาก TerraSave ที่มายังทำเนียบขาวเพื่อสร้างสถานสงเคราะห์ พร้อมทั้งตามหาเบาะแสของรูปภาพปริศนาที่วาดโดยเด็กจากประเทศที่เธอเคยไปดูแล ด้านลีออน ได้พบว่าภาพปริศนานี้มีส่วนเชื่อมโยงไปถึงการแพร่ของฝูงซอมบี้ และมันก็นำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติครั้งใหม่ของมนุษยชาติ

ตัวซีรีส์ฉบับนี้จะถูกสร้างภายใต้การควบคุมการสร้างของ ฮิโรยูกิ โคยายาชิ มือโปรดิวเซอร์ และมือเขียนบทจาก “Capcom” ที่จับมือกับ “TMS Entertainment” สตูดิโอผู้สร้างอนิเมะชื่อดังไม่ว่าจะเป็น “Detective Conan” และ “Lupin The 3rd” มาร่วมดูแลการผลิต พร้อมทั้งได้ เคอิ มิยาโมโตะ จาก “Quebico”   นิค อโพสตอริเดส และ สเตฟานี ปานิเซลโล สองผู้พากย์เสียง ลีออน และแคลร์ จากเกม Resident Evil II: Remake กลับมาให้เสียงพากย์ตัวละครเดิมอีกครั้ง

สำหรับทีเซอร์ตัวใหม่ที่ปล่อยมานั้นมีความยาวเพียง 1 นาทีกว่า ๆ เท่านั้น โดยตัวตลิปนั้นได้เผยถึงเหตุการณ์คร่าว ๆ ของเรื่อง ถึงสาเหตุ และที่มาทั้งหมดของเรื่อง ก่อนจะเผยความสยอง และซอมบี้ให้เราได้เห็นในช่วงท้าย ซึ่งหากให้คาดเดาทั้งหมดในตัวอย่างนี้น่าจะเป็นฉากจาก Ep. แรกของซีรีส์เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีการเผยรายละเอียดเพิ่มเติมอื่น ๆ ของซีรีส์ ทั้งวายร้ายหลักของเรื่อง หรือที่มาของภาพปริศนา แต่ก็ต้องมาลุ้นกันว่าเราจะได้เห็นรายละเอียดเพิ่มเติมของซีรีส์จากตัวอย่างฉบับเต็มก็เป็นได้

โดยอนิเมชั่น Resident Evil: Infinite Darkness นั้นถือว่าเป็นซีรีส์ที่ทำมาเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 25 ปีของแฟรนไชส์ชุดนี้ ซึ่งนอกจากตัวอนิเมชั่นที่เรากำลังจะได้ชมแล้วิในปี 2021 ก็ยังจะมี Resident Evil: Welcome to Raccoon City ที่เป็นเวอร์ชั่นคนแสดง ที่รีเมคใหม่ ที่กำกับและเขียนบทโดย โจนาธาน โรเบิร์ต จาก 47 Meters Down ทั้งสองภาคที่วางกำหนดฉายในปลายปีนี้อีกด้วย

ส่วน Resident Evil: Infinite Darkness จะมีกำหนดฉายบน Netflix ในช่วงเดือน กรกฎาคม 2021 นี้

Cr.ภาพ : เว็บไซต์ IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง