รีวิวซีรีส์ “The Naked Director” ซีซั่น 2: บทสรุปเรื่องราวสุดป่วนของเจ้าพ่อวงการหนังโป๊ ที่ไม่เสียว

รีวิวซีรีส์ The Naked Director ซีซั่น 2: บทสรุปเรื่องราวสุดป่วนของเจ้าพ่อวงการหนังโป๊ ที่ไม่เสียว ไม่ติดเรทเท่าซีซั่นก่อน แต่มันเปี่ยมไปด้วยดราม่าชั้นดี พัฒนาของตัวละครที่ชัดเจน และฉากจบที่ชวนจดจำ

อีกหนึ่งผลงาน Original Netflix ที่มีคนรอคอยมากที่สุด สำหรับ The Naked Director ที่เมื่อปี 2019 ที่เรื่องจริงของ มุรานิชิ โทรุ (รับบทโดย ทาคายูกิ ยามาดะ)เจ้าพ่อแห่งวงการหนังโป๊ญี่ปุ่น ได้สร้างปรากฏการณ์ความนิยมถล่มทลาย

จนสร้างหลายวลีเด็ดที่คนจดจำมาจนทุกวันนี้อย่าง “ข้าวกล่อง” สำหรับในซีซั่นที่ 2 นี้ก็เป็นบทสรุปของซีรีส์เรื่องนี้ ที่จะว่าด้วยชีวิตของ โทรุ ในช่วงที่เขาอยู่บนจุดสูงสุดของวงการ หลังจากที่เขาได้แจ้งเกิดพร้อมกับ เมกุมิ หรือชื่อในวงการ คาโอรุ คาโอริ (มิซาโตะ โมริตะ)

ด้วยความหลงระเริงในชื่อเสียง และเงินทอง โทรุ เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนไป เริ่มจากการที่เขาพยายามสร้างผลงานที่ได้รับความนิยม โดยไม่ได้ใส่ใจคุณภาพ ทำให้นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาขัดแย้งกับ คาวาดะ (เทตทสึจิ ทามายามะ)

หุ้นส่วนคนสำคัญที่ร่วมลำบากกันมาในซีซั่นแรก รวมทั้งการที่ โทรุไม่ยอมมอบงานแสดงชิ้นใหม่ให้ เมกุมิ และหันไปสนใจงานแสดงของเหล่าดาราเอวีหน้าใหม่แทน เหตุการณ์ทั้งหมดค่อย ๆ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ โทรุ ค่อย ๆ ถึงจุดตกต่ำที่ไม่มีใครคาดคิด

ตัวซีรีส์ในซีซั่นนี้จะมีความยาวทั้งหมด 8 Ep. ความยาวเฉลี่ย Ep. ละ 50 นาที โดยในซีซั่นนี้ซีรีส์มาพร้อมกับงานที่มีคุณภาพเหนือกว่าภาคแรกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นด้านโปรดักชั่น บท หรือการนำเสนอ หากเปรียบเทียบในซีซั่นแรกจะเหมือนเป็นซีรีส์ที่ขายความ 18+ ความแปลกใหม่

ด้วยการนำเสนอเบื้องหลังอาชีพในวงการหนังเอวี แบบเจาะลึก พร้อมด้วยมุกตลกที่ชวนจดจำ ทำให้เนื้อหาในซีซั่นแรกดูค่อนข้างเบาบาง และเน้นไปที่ความใหม่ของเนื้อหามากกว่า แต่ในซีซั่น 2 นี้ เป็นการนำเสนอชีวิตของตัวละครแบบเน้น ๆ ลดความ 18+ ความตลกลง แต่เพิ่มหัวจิตหัวใจให้ตัวละครมากขึ้น ดังนั้นคุณภาพของ The Naked Director ซีซั่น 2 มันจึงมีความแตกต่างจากซีซั่นแรกโดยสิ้นเชิง

ในช่วงแรกซีรีส์จะยังขายความติดเรท ความอัจฉริยะของตัวละคร โทรุ ออกมาได้อย่างชวนติดตาม ฉากเลิฟซีนในครั้งนี้อาจไม่ได้จัดหนัก หรือโจ๋งครึ่ม หากเทียบกับซีซั่นแรก  แต่ก็ยังมีฉากให้ได้จดจำอยู่ไม่แพ้กัน ช่วงแรกซีรีส์ไม่เสียเวลาปูเรื่องนาน มีการเข้าสู่ประเด็นของเรื่องตั้งแต่ตอนแรก ก่อนจะค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุก ความเข้มข้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ในซีซั่นนี้ก็ยังมีการเล่าเรื่องแบบแบ่งเป็น 2 เส้นเรื่องคือเส้นเรื่องของ โทรุ ที่เป็นเส้นเรื่องหลัก และเส้นเรื่องของ โทชิ (ชินโนะซุเกะ มิตซึชิม่า) อดีตมือขวาของโทรุ ที่ย้ายไปทำงานเป็นลูกน้องมาเฟีย ดังนั้นนอกจากในแง่ของซีรีส์เบื้องหลังธุรกิจหนังเอวีแล้ว ในครั้งนี้ยังจะมีเรื่องราวของอาชญากรรมเข้ามาสอดแทรกเป็นสีสันอีกด้วย

แม้ว่าช่วงต้นเรื่องซีรีส์จะมาในแบบเดียวกับซีซั่นแรก ที่หลายคนคิดถึง แต่ในข่วงกลางเรื่อง จนถึงท้ายเรื่องความสนุกของซีรีส์กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ซีรีส์ค่อย ๆ นำเสนอจุดตกต่ำของแต่ละตัวละครออกมาทีละเล็กละน้อย ก่อนที่ทุกอย่างจะดิ่งลงเหวในช่วงท้าย

โดยในระหว่างทางซีรีส์สอดแทรกบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนอันเป็นจุดเปลี่ยนของตัวละครมาเป็นระยะ ๆ เหมือนระเบิดเวลา ดังนั้นในช่วงท้ายเรื่องของซีรีส์ จะจัดเต็มด้วยดราม่าหนัก ๆ แบบที่ไร้ปราณีต่อทั้งตัวละคร และคนดู ที่ไม่คาดคิดว่าซีรีส์จะสามารถถ่ายทอดความดาร์คออกมาได้ถึงอารมณ์ขนาดนี้

ส่วนที่ซีรีส์ทำได้ดีมาก ๆ ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือด้านบท ที่ในซีซั่นนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการของแต่ละตัวละครอย่างชัดเจน มีการนำเสนอภาพจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดของตัวละครออกมาได้อย่างมีมิติ รวมถึงการเล่นกับความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่ถูกปูเอาไว้มาตั้งแต่ในซีซั่นแรก

ทำให้ในซีซั่น 2 นี้ไม่ได้เป็นเพียงส่วนขยายของซีซั่นที่แล้ว แต่มันคือการมอบบทสรุปที่เหมาะสมให้กับตัวละครเหล่านั้นให้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น อีกส่วนที่ซีรีส์ทำได้ดีมาก ๆ คืองานโปรดักชั่น โดยเฉพาะงานภาพ การจัดแสง ที่สื่อถึงอารมณ์ สถานะที่เปลี่ยนไปของตัวละครออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง

ด้วยบทที่สามาถสะท้อนตัวละครออกได้ดี ทำให้ด้านการแสดงของทีมนักแสดงนำก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครเหล่านั้นออกมาได้ดีมาก ๆ เช่นกัน ทาคายูกิ ยามาดะ เจ้าของบทโทรุ สามารถแบกหนังทั้งเรื่องได้อย่างน่าชื่นชม ด้วยความที่ในซีซั่นนี้มีมากกว่าแค่ความเพี้ยน ความตลกของโทรุ

แต่มันยังมีพาร์ทที่ตกต่ำที่สุดของตัวละครนี้ด้วย ซึ่ง ยามาดะก็ถ่ายทอดบทบาทได้ถึงอารมณ์ ถือว่าเป็นอีกบทบาทการแสดงที่ทำให้เราสลัดภาพนักเลงหัวไม้จาก Crow-Zero ไปหมดสิ้น ส่วนการแสดงของ มิซาโตะ โมริตะ แม้ในครั้งนี้เราจะไม่ได้เห็นเธอเร่าร้อนเหมือนในซีซั่นแรกเท่าไหร่นัก

แต่บทดราม่าของเธอในซีซั่นนี้ก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน ซึ่งเธอก็พิสูจน์ให้เราได้เห็นว่าเธอคือนักแสดงมืออาชีพที่สามารถตีบทแตกไม่แพ้กัน รวมถึงนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ที่ต่างเข้ามาร่วมเป็นสีสันที่น่าจดจำของซีรีส์เรื่องนี้ โดยเฉพาะการแสดงของ ลิลลี่ แฟรงกี้ และ จุน คูนิมูระ สองนักแสดงรุ่นใหญ่ ที่แม้จะมีบทไม่เด่นมาก แต่ทุกครั้งที่ทั้งสองปรากฏตัวก็สามารถขโมยซีนด้วยพลังการแสดงที่น้อยแต่มากได้อย่างดีเยี่ยม

โดยรวม The Naked Director ซีซั่น 2 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่สามารถมอบบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างดีเยี่ยม เป็นซีซั่นที่เต็มไปด้วยพัฒนาการของเนื้อหา มิติตัวละครที่ทำออกมาได้อย่างเห็นชัด แม้ว่าจะไม่ได้ติดเรท เสียวซ่านเหมือนกับซีซั่นแรกก็ตาม

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นอีกหนึ่งซีรีส์จาก Netflix ที่มีเนื้อหาครบทุกรสชาติ พร้อมทั้งเปี่ยมด้วยคุณภาพ ความแปลกใหม่ ที่นาน ๆ ครั้งจะมีมาให้ชม

Cr.ภาพ : Netflix

ติดตามบทความ ซีรีส์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com