รีวิวหนัง Sick of Myself: หนังสยองขวัญ ตลกร้าย

รีวิวหนัง Sick of Myself: หนังสยองขวัญ ตลกร้าย

Sick of Myself คือผลงานหนังสยองขวัญอินดี้ สัญชาตินอร์เวย์ กำกับ และเขียนบทโดย คริสตอฟเฟอร์ บอร์กลี ที่ประเดิมหนังขนาดยาวเป็นเรื่องแรก โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ซิกเนอ หญิงสาวที่กำลังคบหากับ โธมัส ศิลปินหนุ่มที่ชีวิตกำลังไปได้ดีในสายอาชีพนี้ แต่ทว่าชื่อเสียง และความสำเร็จของโธมัส ก็ทำให้ ซิกเนอ เกิดความอิจฉา และน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนไม่ได้รับความสนใจจากผู้คน ทำให้เธอตัดสินใจสั่งยาขนาดแรงขนิดหนึ่งมากิน เพื่อให้เธอเกิดอาการผิวหนังพุพอง ซึ่งเธอเชื่อว่ามันจะทำให้ โธมัส กลับมาสนใจเธออีกครั้ง แต่ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่ออาการผิวหนัง และร่างกายของเธอกลับแย่ลงเรื่อยๆ จนนำมาสู่เหตุการณ์มากมายที่เธอไม่เคยคาดคิด

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนังสยองขวัญ แต่ Sick of Myself กลับเป็นหนังมีความเป็นดราม่า ตลกร้าย มากกว่า หนังไม่ได้โฟกัสไปที่ความน่ากลัวด้านรูปร่างหน้าตาของซิกเนอ เป็นแก่นของเรื่องทั้งหมด แต่จะเป็นการพูดถึงชีวิตของผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว และอยากให้ผู้คนสนใจเธอตลอดเวลา ซึ่งการกระทำของเธอในเรื่องก็นำมาสู่เหตุการณ์มากมายในหนัง 

แม้จะเป็นงานอินดี้ ที่เล่าเรียบง่าย ไม่ได้มีทุนสูง แต่ Sick of Myself กลับสามารถดำเนินเรื่องได้อย่างสนุก ตลอด 90 นาทีของหนังสามารถเล่าออกมาได้ชวนติดตาม ไม่ว่าจะเป็นมุกตลกร้ายที่หนังเล่าออกมาได้อย่างชวนขำ และการถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตัวละครที่เป็นธรรมชาติ รวมทั้งการนำเสนอที่ไม่ได้ลึกเกินไปจนถึงกับดูยาก ทำให้หนังเรื่องนี้เหมาะกับคนดูแทบทุกกลุ่ม ที่ชื่นชอบหนังดราม่า ตลกร้าย

ด้านความสยองขวัญ หนังมาพร้อมการออกแบบใบหน้าของตัวนางเอกที่มีความน่ากลัว มีความผิดรูป ที่มีเมคอัพสมจริง นอกจากนี้หนังยังค่อยๆ ถ่ายทอดอาการป่วยของตัวละครที่แย่ลงเรื่อยๆ แบบที่คนดูเห็นภาพชัดเจน ซึ่งในพาร์ทสยองขวัญนี้ หนังก็ได้แฝงแง่คิดที่สะท้อนให้เห็นถึงผลของการกระทำต่างๆ ได้อย่างแนบเนียน และชาญฉลาด

โดยรวม Sick of Myself คือหนังอินดี้ ฟอร์มเล็ก ที่ดูง่าย สนุกกว่าที่คิด หนังนำเสนอเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงที่ต้องการเป็นคนเด่น จนนำมาสู่เหตุการณ์ที่ชวนสยอง และมอบบทเรียนราคาแพง ใครที่ชอบหนังฟอร์มเล็ก แต่คุณภาพอัดแน่นขอแนะนำ

สามารถรับชม Sick of Myself ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวซีรีส์ One Piece season 1: งานดัดแปลงจากมังงะที่ทำออกมาได้ถูกใจแฟนบอยสุดๆ

รีวิวซีรีส์ One Piece season 1: งานดัดแปลงจากมังงะที่ทำออกมาได้ถูกใจแฟนบอยสุดๆ

One Piece คือหนึ่งในผลงานซีรีส์ Netflix ที่ปีนี้ผู้คนรอคอยมากที่สุด เพราะนี่คืองานที่ดัดแปลงมาจากมังงะสุดฮิตแห่งยุค ซึ่งตัวซีรีส์เวอร์ชันคนแสดงนี้ ก็ได้ เออิจิโระ โอดะ ผู้เขียนการ์ตูนเรื่องนี้มารับหน้าที่ดูแลงานสร้าง และเป็นซีรีส์ Netflix ที่ทุ่มทุนสร้างที่สูงที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง

เนื้อหาของ One Piece จะว่าด้วยยุคสมัยที่เต็มไปด้วยโจรสลัด ซึ่งทุกคนล้วนมีจุดหมายคือสมบัติวันพีช ที่ราชาโจรสลัดได้ทิ้งเอาไว้ มังดี้ ดี ลูฟี่ (อินากิ โกดอย) เด็กหนุ่มที่มีความฝันที่จะเดินทางสู่แกรนด์ไลน์ เพื่อเป็นราชาแห่งโจรสลัดคนต่อไป ที่ได้ออกเดินทางเพื่อรวบรวมลูกเรือ ซึ่งระหว่างทางเขาก็ได้พบกับเหล่าผองเพื่อนที่เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกโจรสลัดหมวกฟางร่วมกับเขา พร้อมทั้งเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูมากมาย ทั้งกลุ่มโจรสลัดด้วยกันเอง ไปจนถึงกองทัพเรือ จนนำมาสู่การผจญภัยสุดยิ่งใหญ่

One Piece เรียกได้ว่าเป็นงานไลฟ์แอ็คชัน ที่ดัดแปลงเนื้อหาจากการ์ตูนต้นฉบับ ที่สนุกลงตัว โดยซีรีส์เลือกที่จะเล่าเรื่องโดยไม่เดินตามมังงะแบบเป๊ะๆ แต่จะเป็นการตีความเรื่องราวแบบใหม่ ที่ทำให้เนื้อหาในพาร์ทแรกของเรื่องเหลือเพียง 8 ตอนเท่านั้น แต่จะไม่ทำลายเนื้อหาหลักใดๆ ของเวอร์ชันการ์ตูน

ความโดดเด่นแรกของซีรีส์เรื่องนี้คืองานโปรดักชัน ที่สามารถถ่ายทอดไอเดียดั้งเดิมจากหนังสือการ์ตูน ให้ออกมาเป็นภาพที่สมจริง มีการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะอีสเตอร์เอ้กที่ซ่อนไว้เต็มไปหมดตลอดการดำเนินเรื่อง นอกจากนี้สิ่งที่ซีรีส์ทำใด้ดีมากๆ คือฉากการต่อสู้ ที่ทำออกมาได้สนุก เร้าใจ มีฉากท่าไม้ตายชองตัวละครที่คงความเป็นต้นฉบับดั้งเดิมได้อย่างยอดเยี่ยม ราวกับว่าคนดูได้ดูซีรีส์ฮีโร่ แฟนตาซี แบบที่หนังฮอลีวูดยุคนี้ชอบทำ

ด้านงานบทของ One Piece เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ดี ตัวซีรีส์มีการปรับเนื้อหาของการผจญภัย เพื่อให้ไม่ยืดยาวจนเกินไป แม้ว่าจะมีตัวละครในเรื่องจะไม่ได้มีครบทุกคนตามที่หวัง แต่ทำให้การเล่าเรื่องแต่ละพาร์ทมีความกระชับมากขึ้น ทำให้คนดูได้เห็นเนื้อหาที่ไม่เหมือนต้นฉบับ ยิ่งการพูดถึงเรื่องความฝัน การต้นหาตัวตน และมิตรภาพ ซึ่งหลายฉากก็ยังสามารถทำเอาคนดูน้ำตารื้อได้ไม่มากก็น้อย

ในด้านข้อเสียของซีรีส์ คือการเคารพต้นฉบับจนเกินไป ทำให้คอสตูมของแต่ตัวละครออกมาดูเหมือนฉบับการ์ตูน จนทำให้หลายตัวละคร ออกมาดูคอสเพลย์ จนบางตัวละครดูตลก และดูฝืนที่จะทำจนเกินไป นอกจากนี้เพื่อให้ซีรีส์มีความยาวเพียง 8 ตอน แต่ยังต้องตัดทอนเนื้อหาของบางตัวละคร จนทำให้เสน่ห์แบบที่มีในต้นฉบับหายไปพอสมควร 

แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นเป็นซีรีส์ไลฟ์แอ็คชันที่ดีที่สุด แต่ One Piece ก็ถือว่าเป็นงานดัดแปลงที่ทำได้คุ้มค่าการรอคอย ไม่ว่าจะเป็นการเคารพต้นฉบับที่สร้างความตื่นตา ตื่นใจให้ทั้งคนที่เป็นแฟนบอย และคนที่ไม่เคยดูเรื่องนี้สามารถเพลิดเพลิน และเอนจอยไปกับเนื้อเรื่องได้ และเชื่อว่านี่จะเป็นซีรีส์ขนาดยาวของ Netflix ที่จะมีให้ได้ชมกันไปอีกหลายซีซั่นไปอีกต่อจากนี้

สามารถรับชมซีรีส์ One Piece season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Heart of Stone: หนังแอ็คชันสายลับสูตรสำเร็จ

รีวิวหนัง Heart of Stone: หนังแอ็คชันสายลับสูตรสำเร็จ

Heart of Stone คือหนังแอ็คชัน สายลับ เรื่องล่าสุดจาก Netflix ผลงานการกำกับโดย ทอม ฮาร์เปอร์ (The Aeronauts) พร้อมได้ทีมนักแสดงชั้นแนวหน้ามาร่วมแสดงนำ ไม่ว่าจะเป็น กัล กาดอท (Wonder Woman), เจมี่ ดอร์แมน (Fifty Shades of Grey), อาเลีย บาตต์ (RRR) และ มาธิอัส ชเวกโฮเฟอร์ (Army of the Dead)

เรื่องราวของ Heart of Stone จะว่าด้วย ราเขล สโตน (กัล กาดอท) สายลัยสาวจากหน่วยงานลับ ที่ได้ส่งเธอเข้าไปแฝงตัวในทีมสายลับของ MI6 อีกที เพื่อช่วยเหลือในการทำภารกิจ แต่ทว่าในภารกิจหนึ่ง ราเชล ได้พบถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง จนทำมาสู่การค้นพบความจริงว่า ได้มีกลุ่มผู้ร้ายที่หวังขโมยเทคโนโลยี AI ที่องค์กรของเธอใช้ และนำไปใช้ในการทำลายโลก ราเชล เลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดแผนการร้ายนี้

มองภาพรวม Heart of Stone แทบไม่ต่างอะไรจากหนังสายลับยุคนี้ ที่พยายามเล่ยประเด็นเรื่องของ AI ที่ได้กลายเป็นอาวุธอันทรงพลัง นอกจากนี้หนังยังมีการเล่นกับธีมความเป็นหนังสายลับ ที่มีการหักเหลี่ยม การแฝงตัว เพื่อสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู ส่วนที่น่าจะทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์โดดเด่นขึ้นมาบ้างคือการเลือกให้ตัวละครหญิงเป็นตัวเอกของเรื่อง

ความโดดเด่นของหนังคือฉากแอ็คชัน เป็นอีกครั้งที่ Netflix พยายามเล่นท่ายากด้วยการผสมผสานลูกเล่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเป็นตัวช่วยในกาทำภารกิจ มีการใช้มุมมองบุคคลที่ 1 มาเพิ่มอรรถรส เหมือนว่าคนดูกำลังเล่นเกมอยู่ นอกจากนี้หนังยังมีสเกลฉากแอ็คชันอลังการ ทั้งฉากขับรถไล่ล่า ฉากระเบิด ที่คอหนังแอ็คชันน่าจะเอนจอย และเพลิดเพลินกับหนังได้ไม่น้อย

ด้านเนื้อเรื่องของหนัง แทบไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือต่างจากหนังสายลับเรื่องอื่นๆ ตัวหนังเดินเรื่องตามสูตรที่เรียบง่าย คนดูพอสามารถเดาเนื้อหาได้ แม้ว่าหนังจะมีฉากหักมุม และเซอร์ไพรส์ซ่อนอยู่ แต่ก็ไม่ได้สร้างความแปลกใหม่ใดๆ ให้กับคนดูได้ โดยเฉพาะด้านเสน่ห์ของตัวละครในเรื่องที่ขาดหาย ทั้งนางเอก ไปจนถึงตัวร้าย ที่ไม่ได้มีจุดหมาย หรืออุดมการณ์ใดๆ ใ้ห้เราเชื่อ และอยากเอาใจช่วย

ด้าน กัล กาดอท ที่รับบทเป็นสายลับสาว ก็นับว่าเป็นอีกบทบาทที่สามารถขายความสวย เท่ของเธอได้เป็นอย่างดี ตัวหนังพยายามขายบทบาทของเธอให้เหมือน วันเดอร์ วูแมน ฉบับสายลับ ดังนั้นภาพของตัวละคร ราเชล ในเรื่องนี้ ไม่ต่างจากหนังฮีโร่ ที่เน้นความของผู้หญิงเป็นหลัก

โดยรวม Heart of Stone คืองานฟอร์มยักษ์จาก Netflix ที่ตอบโจทย์ในฐานะการดูเอาบันเทิง เอาความมันส์ แบบที่ไม่ต้องหวังความแปลกใหม่ใดๆ และมีการทิ้งประเด็นเพื่อมีโอกาสว่าในอนาคต หนังชุดนี้อาจมีภาคต่อๆ ไป ให้คอหนังได้ติดตามก็เป็นได้

สามารถรับชม Heart of Stone ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem: อีกหนึ่งอนิเมชันน้ำดีแห่งปี 2023 เป็นการหยิบเรื่องราวนินจาเต่า มาเล่าได้อย่างสนุกสนาน และเปี่ยมด้วยหัวจิตหัวใจ งานภาพสวยงามสะกดสายตาสุดๆ

รีวิวหนัง Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem: อีกหนึ่งอนิเมชันน้ำดีแห่งปี 2023 เป็นการหยิบเรื่องราวนินจาเต่า มาเล่าได้อย่างสนุกสนาน และเปี่ยมด้วยหัวจิตหัวใจ งานภาพสวยงามสะกดสายตาสุดๆ

นินจาเต่า หรือ Teenage Mutant Ninja Turtles คือหนึ่งในอนิเมชันสุดโด่งดัง ที่ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมาได้มีการพยายามนำการ์ตูนเรื่องนี้มาสร้างเป็นหนังมาหลายครั้ง ทั้งภาพยนตร์อนิเมชัน และไลฟ์แอ็คชัน แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีเท่าไหร่นัก จนกระทั่งล่าสุดได้มีการนำเต๋านินจา มาสร้างเป็นหนังอีกครั้งในรูปแบบอนิเมชัน ผลงานการกำกับโดย ไคเลอร์ โรว์ (The Mitchells vs the Machines) และ ไคเลอร์ สเปียร์ (ซีรีสื Amphibia) ร่วมเขียนบทโดย เซธ โลแกน และ อีแวน โกลด์เบิร์ก (Sausage Party)

Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem จะว่าด้วยเรื่องราวของเหล่าแก๊งนินจาเต๋า ที่ประกอบไปด้วย ลีโอนาร์โด, ราฟาเอล, ไมเคิลแองเจโร และ โดนาเทลโล ที่พวกเขาคือเต๋าที่ได้รับสารเคมี ที่ทำให้ร่างกายของพวกเขามีวิวัฒนาการเหมือนมนุษย์ โดยทั้ง 4 ได้รับการเลี้ยงดูโดย สปรินเตอร์ หนูท่อที่ได้ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ให้เต่าทั้ง 4 เพื่อเอาชีวิตรอดจากมนุษย์ และซ่อนตัวอยู่ในท่อเท่านั้น

จนกระทั่งในวันที่ทั้ง 4 เริ่มเติบโต และอยากรู้อยากเห็นโลกภายนอก ทำให้พวกเขาพยายามแหกกฎของสปรินเตอร์ ด้วยการร่วมมือกับ โอนีล สาวน้อยที่อยากเป็นนักข่าว ในการตามล่า ซุปเปอร์ฟลาย แมลงวันที่ได้กลายร่างเป็นวายร้ายที่หวังทำร้ายโลกมนุษย์ เหล่าทีมนินจาเต๋า เลยหวังที่จะปราบซุปเปอร์ฟลาย เพื่อหวังเป็นฮีโร่ในสายตามนุษย์ เรื่องราวการผจญภัย และการเติบโต ก็ได้เริ่มขึ้น

หนัง Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem จะไม่ได้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของนินจาเต๋า แต่จะเป็นการหยิบเนื้อหาของนินจาเต๋า ในอีกมุมหนึ่ง โดยหนังมีส่วนผสมของความเป็นหนัง Coming of age และหนังฮีโร่ ด้วยการพูดถึงเหล่าเต๋านินจา ที่อยากเติบโต และสอดแทรกด้วยเรื่องราวของมิตรภาพของผองเพื่อน

ตัวงานภาพของหนังเรียกได้ว่าเป็นจุดโดดเด่นมากๆ ด้วยการใช้ภาพ 2D ผสม 3D ที่เป็นเทคนิคเดียวกับที่ Spider-Man: Into the Spider-Verse เลือกใช้ ทำให้ภาพของหนังได้สีสันที่สด มีลูกเล่น และการเคลื่อนไหวที่ดูลื่นไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากแอ็คชัน ที่สามารถเล่นใหญ่ จัดเต็ม ดูแล้วเพลิดเพลิน จนแทบละสายตาไม่ได้

ในด้านบทหนังเองก็ทำได้ยอดเยี่ยม ด้วยการผสมผสานความเป็นดราม่า คอเมดี้ และแอ็คชันที่ลงตัว โดยเฉพาะมุกตลกในหนังที่มีการล้อเลียนอนิเมะชื่อดังของญี่ปุ่น โดยเฉพาะ Attact on Titans รวมถึงบรรดาฮีโร่จาก Marvel และ DC ที่หากใครเป็นเนิร์ดหนัง เนิร์ดการ์ตูนอาจเพลิดเพลินกับหนังชุดนี้ไม่น้อย ในขณะที่พาร์ทดราม่าของหนังก็สามารถทำหน้าที่กับคนดูได้ดี มีการถ่ายทอดมิตรภาพของแก๊งเต๋านินจา ที่ซาบซึ้ง กินใจคนดูได้ไม่น้อย

โดยรวม Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem คือการถ่ายทอดเรื่องราวเต๋านินจา ในรูปแบบหนังใหญ่ ที่ทำออกมาได้สนุก ครบรส ทั้งดราม่า ตลก และแอ็คชัน รวมถึงงานภาพที่ทำออกมาได้สวยงามโดดเด่น เรียกได้ว่าเป็นอนิเมชันที่แฟนเต๋านินจาไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem เข้าฉาย 31 สิงหาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆากรรมอิหยังวะ: หนังสืบสวนไทยน้ำดี

รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆากรรมอิหยังวะ: หนังสืบสวนไทยน้ำดี

หนังไทยเรื่องล่าสุด ที่เป็นผลงานการร่วมสร้างระหว่าง Netflix และ Transformation Film ที่ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง (เปนชู้กับผี) มารับหน้าที่กำกับ ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของสตรีมดังที่พูดภาษาอีสาน เกือบตลอดทั้งเรื่อง

ฆาตกรรมอิหยังวะ จะว่าด้วยเรื่องราวของ ทราย (อิษยา ฮอสุวรรณ) สาวขาวอีสานที่ได้พา เอิร์ล (เจมส์ เลเวอร์) สามีชาวอังกฤษ เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดที่หมู่บ้านเล็กในภาคอีสาน ซึ่งในค่ำคืนนั้นเองก็ได้เกิดโศกนาฎกรรมขึ้น จนมีคนตายถึงm 7 ศพ ทำให้ ณวัฒน์ (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) สารวัตรหัวร้อน ผู้เชื่อวว่า เอิร์ล คือคนลงมือฆาตกรรมทั้ง 7 ราย ทำการสอบสวนผู้ต้องสงสัยทุกคนในคืนนั้น จนนำมาสู่การพบความจริงที่สุดแสนจะวายป่วง และเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝัน

หนังมาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ นักในหนังไทย ไม่ว่าจะเป็นความเป็นหนังสืบสวนสอบสวน ผสมความเป็นดาร์กคอเมดี้ นอกจากนี้ยังเป็นงานของ วิศิษฏ์ เลือกกลับมาใช้เทคนิคการทำหนังที่ใช้โทนสีโดดเด่น สะดุดตา ให้อารมณ์เหมือนหลุดเข้าไปในโลกของความฝัน แบบเดียวกับที่เคยทำใน ฟ้าทะลายโจร และหมานคร ซึ่งพอองค์ประกอบเหล่านี้มาอยู่ร่วมกับมันทำให้ได้หนังไทยที่สีสันพลอตเรื่องแปลกตา

ตัวหนังเล่าในรูปแบบหนังสืบสวน ที่เปิดเรื่องมาด้วยปมปริศนา และเล่าตัดสลับระหว่างไทม์ไลน์ปัจจุบัน ที่เป็นการสอบสวนของ สารวัตรณวัฒน์ และไทม์ไลน์คืนเกิดเหตุ ความสนุกของหนังคือการเล่าเรื่องที่ให้คนดูค่อยๆ ประกอบจิ๊กซอว์ และต่อเติมเรื่องราวทั้งหมดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ระหว่างทางมีการสับขาหลอกไปมาให้คาดเดาไม่ได้ ซึ่งหนังสามารถสร้างเซอร์ไพรส์ให้คนดูได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพาร์ทเฉลยเหตุการณ์ทั้งหมด ที่ทำเอาเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง

ด้านความตลก หนังทำออกมาได้มีสีสันไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตัวละครของ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา หรือหม่ำ จ๊กมก ที่เป็นตัวละครที่สำคัญ ที่ช่วยให้หนังเดินหน้าได้อย่างสนุกสนาน สร้างเสียงหัวเราะ และความตื่นเต้นกดดันให้คนดูได้เป็นอย่างดี ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ก็สามารถสร้างความตลกให้หนังได้ไม่แพ้กัน เช่น ตัวละครของ สุนารี ราชสีมา และ สวนีย์ อุทุมมา ที่เป็นสองตัวละครหญิงที่แม้บทจะไม่เยอะ แต่โอเวอร์แอคติ้งของทั้งคู่ก็ทำให้คนดูได้ขำเป็นระยะๆ

นอกจากพาร์ทตลกที่ทำออกมาได้ดีมากแล้ว พาร์ทดราม่า และนัยยะที่หนังแฝงไว้ ก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน หนังสอดแทรกเรื่องราวของการเหมารวม หรือการเหยียดชาติพันธุ์ การแบ่งแยกความเป็นคนนอก คนใน ผ่านทัศนคติ และมุมมองที่ตัวละครมีต่อ เอิร์ล หรือคนต่างชาติ ที่หนังเล่าประเด็นนี้ได้อย่างทรงพลัง

โดยรวม เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ คือหนังสืบสวนไทยน้ำดี ที่นานทีปีหนจะมีมาให้ได้ดู หนังเต็มไปด้วยสีสันที่จัดจ้าน ผสมผสานระหว่างความบันเทิง ดาร์กคอเมดี้ และความระทึกขวัญได้อย่างลงตัว ใครที่อยากดูนหนังไทย บริบท อกาธา คริสตี้ เรื่องนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Oppenhiemer: งานท้อปฟอร์มจากคริสโตเฟอร์ โนแลน นำเสนอชีวประวัติได้ เข้มข้น

รีวิวหนัง Oppenhiemer: งานท้อปฟอร์มจากคริสโตเฟอร์ โนแลน นำเสนอชีวประวัติได้ เข้มข้น

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดจากสุดยอดผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (The Dark Knight) ที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาสร้างหนังชีวประวัต โดยเป็นเรื่องราวของ เจ โรเบิร์ต บิดาแห่งระเบิดนิวเคลียร์ ที่โด่งดังในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยหนังได้คิลเลียน เมอร์ฟี่ (ซีรีส์ Peaky Blinders) พร้อมสมทบด้วยทีมนักแสดงมากฝีมือจากฮอลลีวูดมากมายไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต ดาวน์นีย์ จูเนียร์ (Avengers Endgame), ฟลอเรนซ์ พิวจ์ (Midsommar), เอมิลี่ บรันท์ (A Quiet Place) และ แมตต์ เดม่อน (Air)

เรื่องราวของ Oppenhiemer จะพูดถึงช่วงชีวิตของ ออพเพนไฮเมอร์ (คิลเลียน เมอร์ฟี่) ตั้งแต่ในช่วงที่เขาเริ่มเป็นนักศึกษาฟิสิกส์ และได้โอกาสในการร่วมโครงการแมนฮัตตัน ที่เป็นปฎิบัติการณ์สร้างระเบิดนิวเคลียร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้หนังยังตัดสลับกับเรื่องราวในช่วงที่ ออพเพนไฮเมอร์ขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีที่เขาถูกสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์

Oppenhiemer ค่อนข้างเป็นหนังที่ฉีกกรอบจากความเป็นหนังโนแลนที่คุ้นเคย จากที่เล่าเรื่องแนวภารกิจ ปฎิบัติการ อาชญากรรม แต่ในเรื่องนี้หนังเน้นพูดถึงชีวิตของคนๆ หนึ่ง ที่มีทั้งความเป็นหนังเนิร์ดวิทยาศาสตร์ มีการพูดถึงศัพท์วิชาการที่เข้าใจยาก และในอีกพาร์ท หนังก็พูดถึงบาดแผล และความรู้สึกผิดของตัวละครด้วยเช่นกัน

แม้หนังจะเน้นคุยตลอด 3 ชั่วโมง แต่โนแลน ก็ยังสามารถเอาคนดูได้อยู่หมัด ด้วยวิธีการตัดต่อที่ดุเดือด ไม่มีจังหวะเนิบช้า หรือให้คนดูได้พัก นอกจากนี้หนังยังเลือกตัดสลับสองเส้นเรื่อง สองช่วงเวลา ที่มีอรรถรสที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่พาร์ทแรกหนังเน้นวิทยาศาสตร์ แต่ครึ่งหลังของหนังเต็มไปด้วยการเล่าเรื่อง และบทสนทนาที่มีชั้นเชิง เหนือความคาดหมาย

ในด้านฉากระเบิด ที่เป็นไฮไลท์ของเรื่อง เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ที่ควรชมให้ได้อรรถรสในโรงภาพยนตร์ IMAX เท่านั้น เพราะด้วยเสียง และภาพที่โนแลน ได้ทำให้ผู้ชมเหมือนหลุดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ที่มีทั้งแสง สี เสียงที่สมจริง แบบที่การดูในโฮมเธียเตอร์ ไม่สามารถทำได้

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม คิลเลี่ยน เมอร์ฟี่ ที่ได้เฉิดฉายในบทพระเอกหนังใหญ่เป็นครั้งแรก ซึ่งเขาก็ได้ถ่านยทอดอารมณ์ของตัว ออพเพนไฮเมอร์ ออกมาได้อย่างมีมิติ เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดของตัวละคร และอีกหนึ่งบทบาทที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ โรเบิร์ต ดาวน์นีย์ จูเนียร์ ในบท ลูอิส เสตราส์ ที่เป็นบทสมทบที่สร้างสีสันที่ยอดเยี่ยม และทรงพลังให้หนังเรื่องนี้ไม่น้อย จนทำให้พอคาดเดาได้ว่า ทั้ง เมอร์ฟี่ และดาวน์นีย์ จะได้ชิงรางวัลสาขานักแสดงนำและสมทบในออสการ์ปีหน้า

Oppenhiemer คืออีกหนึ่งงานที่น่าจดจำของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่โดดเด่นทั้งในด้านเทคนิคการสร้าง บทภาพยนต์ และการแสดง เป็นหนังที่มอบ Cinema Experience ที่ยอดเยี่ยม ที่คอหนังไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Oppenhiemer ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์​

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Barbie: งานจากเกรตา เกอร์วิก ที่ขายธีมความเป็นผู้หญิงได้จัดหนักจัดเต็มมาก

รีวิวหนัง Barbie: งานจากเกรตา เกอร์วิก ที่ขายธีมความเป็นผู้หญิงได้จัดหนักจัดเต็มมาก

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของผู้กำกับหญิงมากฝีมือแห่งยุค เกรตา เกอร์วิก (Little Woman) ที่ครั้งนี้เป็นงานที่แมสที่สุดของเธอ ด้วยการดัดแปลงของเล่นผู้หญิงอันโด่งดังตลอดกาลอย่าง บาร์บี้ มาสร้างสรรค์เป็นฉบับไลฟ์แอ็คชัน ที่ได้นักแสดงมากฝีมือมารับบทนำ นำทีมโดย มาร์โก้ ร็อบบี้ (The Suicide Squad), ไรอัน กอสลิง (The Gray Man), เอมม่า แมคคีย์ (ซีรีส์ Sex Education), ซือมู หลิว(Shang-Chi and the Ten Rings) และ วิล ฟาร์เรล (The Shrink Next Door)

เรื่องราวของ Barbie จะว่าด้วยดินแดนสีชมพู ที่อุดมไปด้วยบาร์บี้ และเคน ตุ๊กตาที่ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข เต็มไปด้วยปาร์ตี้ การสังสรรค์ จนกระทั่งวันหนึ่ง หนึ่งใน บาร์บี้ (มาร์โก้ ร็อบบี้) ได้เกิดความคิดถึงเรื่องความตาย จนทำให้ร่างกายของเธอเกิดความผิดปกติ และขาดความร่าเริงสดใสเหมือนก่อน ทำให้เธอ และเคน (ไรอัน กอสลิง) ต้องเดินทางไปยังโลกมนุษย์ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเธอผิดปกติ จนนำมาสู่การผจญภัยสุดมหัศจรรย์ ที่ทั้งสนุก เข้มข้น และเต็มไปด้วยความวายป่วง

Barbie เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ขายธีมของตัวเองได้อย่างแข็งแรง ตั้งแต่การทำการตลาด ไปจนถึงตัวหนัง โดยจุดแรกคือสีชมพู ที่หนังใช้เป็นจุดขายหลัก ตลอดทั้งเรื่องผู้ชมจะได้เห็นความเป็นสีชมพูอยู่ในแทบทุกอย่างของหนัง บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้เป็นอย่างดี ส่วนต่อมาคือความสดใสของหนัง ที่เต็มไปด้วยตัวละครที่ร่าเริง สดใส โทนหนังมีความเป็นคอเมดี้ที่ชัดเจน แบบที่คนดูจะเพลิดเพลินไปกับตลอด 2 ขั่วโมงของหนัง

แต่ถึงแม้ว่าหน้าหนังจะเต็มไปด้วยความสดใส ทว่าเนื้อในของหนังของหนังกลับมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านั้น โดยภายใต้ความบันเทิง สนุกสนานของ Barbie สอดแทรกไปด้วยประเด็นดราม่าที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงการค้นหาความเป็นตัวเอง การพูดถึงชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต และที่เหนือกว่านั้นคือประเด็นการเมือง ที่หนังพูดถึงสังคมการปกครองชายเป็นใหญ่ ความขัดแย้งระหว่างผู้ชาย และผู้หญิง

อีกหนึ่งจุดแข็งของหนังคือความตลก ความบันเทิงของหนังที่ใส่มาแบบเต็มเปี่ยม หนังมีมุกล้อเลียนหนังดังๆ สอดแทรกไว้มากมาย รวมถึงการเล่นมุกตลกแบบโอเวอร์แอ็คติ้ง ที่ทำหน้าที่กับคนดูได้ดีแทบทุกฉาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงของ ไรอัน กอสลิง ที่ถ่ายทอดบทเคน ได้รั่ว หลุดโลก สลัดภาพจำจากบทดาร์กๆ ที่ผ่านมาของเขาโดยสิ้นเชิง

ส่วนด้านการแสดงของ มาร์โก้ ร็อบบี้ ก็สามารถมอบหนึ่งในบทบาทที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตการแสดงของเธอ ร็อบบี้ ถ่ายทอดความเป็นบาร์บี้ได้อย่างน่ารัก สดใส สลัดภาพ ฮาร์ลีย์ ควินน์ โดยสิ้นเขิง โดยเฉพาะพาร์ทดราม่า ที่เธอถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนทำเอาคนดูรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้

โดยรวม Barbie เป็นงานที่ผสมผสานความตลก และสาระ ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะธีมหนังที่เต็มไปด้วยสีชมพู และความเป็นผู้หญิง ที่สาวกบารบี้จะต้องหลงรัก ส่วนใครที่ไม่ใช่แฟนบาร์บี้ ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาของหนังได้เช่นกัน

สามารถรับชม Barbie ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Warner Bros.

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Voice of the New Gen เสียง(ไม่)เงียบ 2022

รีวิวหนัง Voice of the New Gen เสียง(ไม่)เงียบ 2022

Voice of the New Gen หรือชื่อไทย “เสียง(ไม่)เงียบ 2022” คือผลงานหนังจากโครงการ “หนังเลือกทาง” ที่เป็นงานรวบรวมหนังสั้นจากนิสิตนักศึกษา ที่ผ่านการคัดเลือกโดยสมาคมผู้กำกับไทย มาไว้ด้วยกันซึ่งมีทั้งหมด 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ เรียบ / อาวุธ, คืนพิพากษ์, สันดานกรุง และ แดนฝันสลาย ที่ทั้ง 4 เรื่องนี้ล้วนแต่มีพลอต และประเด็น ที่เกี่ยวกับการเมือง และสังคมไทยในช่วงปี 2022

เรื่องแรก เรียบ / อาวุธ เป็นหนังที่ว่าด้วยนายทหารเกณฑ์ ที่ปรับตัวใช้ชีวิตในสังคมแบบทหาร ที่เต็มไปด้วยการใช้อำนาจจากคนที่เหนือกว่า และกฎเกณฑ์มากมาย จนเมื่อเขาได้พบกับเหตุการณ์อันแสนกดดัน ที่เขาจะต้องเลือกระหว่างการเอาตัวรอด หรือมิตรภาพ

เรื่องที่สอง คืนพิพากษ์ หนังที่พูดถึงการกลับมาเจอกันอีกครั้งของอดีตสองเพื่อนรัก ที่คนหนึ่งเป็นแกนนำการชุมนุมที่ได้วางมือไปนานแล้ว และอีกคนที่ยังเชื่อในการต่อู้ผ่านการชุมนุม จนกลายเป็นแกนนำเสียเอง ทั้งสองได้มาเจอกันอีกครั้งในค่ำคืนที่ตำรวจ ทหาร ใช้กำลังในการไล่ล่าคนที่เห็นต่าง จนนำมาสู่สถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนใจ

เรื่องที่สาม สันดานกรุง หนังย้อนไปยังช่วงยุค 90 ที่ว่าด้วยพนักงานพิมพ์เอกสารในบริษัทหนังสือพิมพ์ที่กำลังเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง และพวกเธอกำลังถูกไล่ออก ทางเดียวที่อาจช่วยให้เธออาจรอดจากสถานการณ์นี้คือสืบข่าวเรื่องคดีฆาตกรรมในคาเฟ่แห่งหนึ่ง จนได้นำมาเธอไปพบความจริงอันน่าสะพรึงมากมาย

เรื่องที่สี่ แดนฝันสลาย ว่าด้วยครอบครัวชนชั้นกลางที่ผู้เป็นพ่อ ได้หายตัวไปจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อปี 2553 ในขณะที่แม่ กำลังติดหนี้ค่าเช่าบ้านมานานหลายเดือน เพราะหวังว่าพ่อจะกลับมาอีกครั้ง ส่วนลูกชายต้องพยายามหารายได้เพื่อมาใช้หนี้ และให้ตนเองออกจากชีวิตอันยากลำบากนี้

ความน่าสนใจคือหนังทั้ง 4 เรื่อง คือหนังที่อิงบริบทของการเมือง สังคมไทยในปัจจุบัน ที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังไทยเรื่องไหนหยิบมาเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโหดร้ายของการเกณฑ์ทหาร ความเหลื่อมล้ำในสังคม และความสูญเสียของคนที่เห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราสามารถเห็นได้ในข่าวทุกวันนี้

หากพูดถึงเรื่องที่ดูง่าย และสร้างอิมแพคกับคนดูมากที่สุด ต้องยกให้ เรียบ / อาวุธ ที่สะท้อนภาพของอำนาจนิยมในสังคมทหารออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม หลายฉากเหมือนหยิบเหตุการณ์จริงๆ มาให้คนดูได้เห็น รวมถึงการสร้างบรรยากาศชวรกระอักกระอ่วนใจได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง

ส่วนเรื่องที่เล่าออกมาได้สนุก ครบรสที่สุดคือสันดานกรุง ที่นอกจากจะถ่ายทอดความเป็นหนังอาชญากรรมได้อย่างเข้มข้น ชวนติดตามแล้ว หนังยังถ่ายทอดความ Toxic ของสังคมการทำงานได้ดีมากๆ เป็นหนังที่นอกจากจะยาวสุดแล้ว ยังสนุกแบบครบรส และเต็มไปด้วยความสะเทือนใจ

โดยรวม Voice of the New Gen เสียง(ไม่)เงียบ 2022 เป็นหนังไทยจากนักศึกษา ที่เปี่ยมคุณภาพไม่แพ้หนังใหญ่เลยก็ว่าได้ สิ่งที่พิเศษสำหรับเรื่องนี้คือการที่หนังสามารถถ่ายทอดประเด็นต่างๆ ออกมาได้อย่างชัดเจน และเล่าออกมาได้ทรงพลัง ดูจบแล้วชวนให้ตั้งคำถามมากมายถึงสังคมการเมืองไทยในปัจุบัน

สามารถรับชม Voice of the New Gen เสียง(ไม่)เงียบ 2022 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวซีรีส์ Extrapolations: ซีรีส์ดราม่า ไซไฟ ที่หยิบประเด็นโลกร้อนมาเล่าได้อย่างหลากหลาย

รีวิวซีรีส์ Extrapolations: ซีรีส์ดราม่า ไซไฟ ที่หยิบประเด็นโลกร้อนมาเล่าได้อย่างหลากหลาย

อีกหนึ่งซีรีส์ดราม่า ไซไฟ เนื้อหาน่าสนใจจาก Apple TV+ ที่สร้างสรรค์โดย สก้อต ซี เบิร์น (Contagion) ที่ครั้งนี้ได้เป็นอีกหนึ่งงานรวมดาราดังมาแสดงนำในซีรีส์แบบคับจอ นำทีมโดย คิต แฮริงตัน (ซีรีส์ Game of Thrones), เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน (Glass Onion), เมอร์รีล สตีฟ (Don’t Look Up), มาริยง โกติยาร์ (Inception), เจมม่า ชาน (Eternals), โทบี้ แมคไกว (Spider-Man) และ ฟอเรส วิตเทคเกอร์ (Godfather of Harlem)

เรื่องราวของซีรีส์ Extrapolations จะว่าด้วยเหตุการณ์ในโลกอนาคต ที่ปัญหาภาวะโลกร้อน ได้กลายเป็นปัญหาระดับโลก จนส่งผลกระทบต่อมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยซีรีส์จะเริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2037 ไปจนถึงปี 2070 ผ่านมุมมองของผู้คนมากมาย ตั้งแต่คนรวย คนจน ที่ต่างต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์นี้

Extrapolations เลือกที่จะนำเสนอเนื้อหาแบบ Anthology ที่แต่ละตอนจะมีเรื่องราวที่จบในตอน แต่จะมีจุดเชื่อมโยงบางส่วนที่เนื้อหาต่อเนื่องกัน ซึ่งแต่ละตอนนั้นมาพร้อมประเด็นที่แตกต่างกันไป แต่จะอิงปัญหาโลกร้อนเป็นพื้นหลังเหมือนกัน ความน่าสนใจคือหนังเลือกเล่นกับประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนอย่าง ชนชั้น การเมือง ศาสนา มาเป็นหัวใจในการดำเนินเรื่องตลอดทั้ง 8 ตอน

อีกหนึ่งจุดขายของ Extrapolations คือการที่ซีรีส์เต็มไปด้วยลูกเล่นของหนังไซไฟ ที่พยายามคาดเดาเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ซีรีส์มีกลิ่นอายของความเป็น Black Mirror ที่สะท้อนภาพของมนุษย์ในโลกอนาคต ผสมกับความเป็นดิสโทเปีย ที่ชวนให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกับการสร้างสรรค์ความล้ำสมัยต่างๆ ที่ซีรีส์พาคนดูไปสำรวจ

ด้านทีมนักแสดงนำในแต่ละตอนของซีรีส์ชุดนี้ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าหลายคนจะไม่ได้มีบทบาทมาก แต่ก็สามารถตรึงคนดูได้อย่างอยู่หมัด ไม่ว่าจะเป็น เอิร์ดเวิร์ด นอร์ตัน หรือเมอร์รีล สตีฟ รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ที่เรียกได้ว่าสร้างสีสันให้ซีรีส์ชุดนี้ได้เป็นอย่างดี

ส่วนที่เป็นจุดด้อยของ Extrapolations คือการที่ซีรีส์เล่าเรื่องค่อนข้างวนเวียน ซ้ำซาก หลายๆ ตอน เนื้อหาของซีรีส์มักเล่นกับประเด็นเดิมๆ คือเรื่องชนชั้น ศาสนา การทำลายโลกโดยฝีมือมนุษย์ ทำให้หลายตอนของซีรีส์ขาดความโดดเด่น มีเนื้อหาที่น่าเบื่อ จนชวนให้รู้สึกว่า 8 ตอนของซีรีส์ชุดนี้ยาวนานเกินจำเป็น

Extrapolations ถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ไซไฟ ดราม่า ที่สามารถหยิบเลือกโลกร้อน มาเล่าได้อย่างสนุก หลากรสชาติ ด้วยเนื้อหาทั้ง 8 ตอนที่คาดเดาไทม์ไลน์เหตุการณ์โลกร้อนออกมาได้ชวนติดตาม ผ่านแต่ละเส้นเรื่องทื่ให้อรรถรสต่างกันไป และน่าจะเป็นซีรีส์ที่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่เต็มไปด้วยปัญหามลภาวะได้ดีไม่น้อย

สามารถรับชมซีรีส์ Extrapolations ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวหนัง เณรกระโดดกำแพง: หนังอินดี้ไทยที่เล่าเรื่องได้อย่างเรียบง่าย

รีวิวหนัง เณรกระโดดกำแพง: หนังอินดี้ไทยที่เล่าเรื่องได้อย่างเรียบง่าย

เณรกระโดดกำแพง เป็นหนังไทยฟอร์มเล็กผลงานการกำกับโดย สืบ บุญส่ง นาคภู่ (วังพิกุล) ที่ในครั้งนี้เขายังกลับมารับหน้าที่กำกับ เขียนบท และแสดงเอง ด้วยการหยิบความทรงจำของตนเองมาถ่ายทอดอีกครั้ง

เรื่องราวของหนังจะพูดถึง สืบ บุญส่ง นาคภู่ ที่ต้องการหาทุนมาทำหนังเรื่องใหม่ ที่ครั้งนี้เป็นการหยิบความทรงจำในช่วงที่เขาบวชเป็นพระมาสร้างเป็นหนัง ระหว่างทางเขาได้พาทีมงาน และตนเองกลับไปยังจังหวัดสุโขทัย เพื่อรำลึกความทรงจำ แต่ทว่าการทำหนังครั้งนี้ก็ต้องประสบปัญหา เมื่อเขาได้รับทุนสร้างในราคาที่น้อยเกินไป จนนำมาสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญของทีมสร้างหนังเรื่องนี้

หนังยังมาพร้อมสไตล์การกำกับของ บุญส่ง นาคภู่ ที่ยังมาพร้อมการเล่าเรื่องที่เหมือนพาคนดูไปเที่ยวต่างจังหวัด มีการหยิบความทรงจำของตัวผู้กำกับมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราว ความพิเศษในเรื่องนี้คือ สืบ รับบทเป็นตัวเอง และมีการอ้างอิงถึงผลงานการกำกับเรื่องที่ผ่านมา ในฐานะส่วนหนึ่งของความทรงจำ โดยยังได้นักแสดงจากเรื่องก่อนๆ กลับมาร่วมแสดงสมทบ

ความน่าติดตามของหนังคือการแบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 2 เส้นเรื่อง คือเส้นเรื่องปัจจุบัน และอดีต โดยปัจจุบันจะพูดถึง สืบ และทีมงานที่เดินทางเพื่อรีเสิร์ชข้อมูล รวมถึงหาทุนในการสร้างหนังเรื่องนี้ ในขณะที่ด้านเส้นเรื่องอดีต จะพูดถึงเณรน้อยที่หลงไหลในภาพยนตร์ และนำมาสู่ทางเลือกว่าระหว่างศาสนา กับสิ่งที่ชอบ เขาจะเลือกอะไร

ตัวหนังค่อนข้างพาคนดูตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครอย่างปลายเปิด และเต็มไปด้วยความท้าทายในการหยิบประเด็นเหล่านั้นมานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนภาพวงการหนังไทย โดยเฉพาะหนังทุนต่ำที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับนายทุนเพื่อให้ได้ถ่ายทำ และเข้าฉายโรงภาพยนตร์ยากกว่าหนังกระแสหลัก ในขณะที่ด้านเส้นเรื่องของเณร ก็ตั้งคำถามถึงศาสนา และความชอบ ซึ่งหลายฉากหนังก็เล่าออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และสุ่มเสี่ยงต่อการโดนเซ็นเซอร์ไม่น้อย

หากเทียบโดยภาพรวม เณรกระโดดกำแพง เป็นหนังที่ตัวผู้กำกับ ใส่ประเด็น ความรู้สึก และความทรงจำของตนเองไปในหนังไว้ได้อย่างลงตัว หนังสามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะใครที่เป็นคนอยากทำหนัง หรือรักหนังน่าจะประทับใจกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่น้อย

สามารถรับชม เณรกระโดดกำแพงได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง