รีวิวหนัง “Red Blood Sky” : หนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ ผสมอาชญากรรม

red blood sky H

เรียกได้ว่า Netflix กลายเป็นเจ้าพ่อสร้างหนังสยองขวัญไปแล้วก็ว่าได้ เพราะหลังจากที่เมื่อช่วงกลางปี Netflix ได้ปล่อยหนังซอมบี้ฟอร์มยักษ์อย่าง Army of the Dead มาให้ได้ชมแล้ว ในช่วงที่ผ่านมาก็ยังมีหนังสยองขวัญไตรภาคชุด Fear Street มาเอาใจแฟนหนัง Slasher พร้อมทั้งยังมี Kingdom: Ashin of the North ที่มาเรียกน้ำย่อยก่อนดูซีซั่น 3 ล่าสุดยังมี Red Blood Sky หนังระทึกขวัญสัญชาติเยอรมัน-อเมริกา ที่มาพร้อมความตื่นเต้นที่สนุกไม่แพ้ Train to Busan ของเกาหลีเลยก็ว่าได้

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งที่กำลังเดินทางไปยังอเมริกา แต่ทว่าในระหว่างที่เดินทางเครื่องบินลำนี้ก็ได้ถูกผู้ก่อการร้ายทำการไฮแจ็คพร้อมมีผู้โดยสารทั้งลำเป็นตัวประกัน แต่ทว่าภายในเครื่องบินลำนี้ก็ได้มีความสยองซ่อนอยู่ เมื่อหนึ่งในผู้โดยสารได้มีสองแม่ลูกที่คนแม่นั้นเป็นแวมไพร์ ที่ต้องพยายามใช้ยาเพื่อระงับอาการให้เป็นเหมือนคนปกติ แต่เมื่อเธอและลูกต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็ได้ทำให้เธอต้องเผยตัวตนที่แท้จริงเพื่อปกป้องลูก จนนำมาสู่ความระทึกที่มีชีวิตคนในเครื่องบินเป็นเดิมพัน

Red Blood Sky เรียกได้ว่าเป็นหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ ที่ผสมผสานกับความเป็นหนังอาชญากรรมออกมาได้อย่างลงตัว หนังสามารถทำหน้าที่มอบความบันเทิง ความสนุกของหนังแต่ละแนวให้คนดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แม้ว่าจะมีความเป็นสูตรสำเร็จบ้างก็ตาม

โดยหนังจะนำเสนอผ่านเหตุการณ์สามเส้นเรื่องคือ เหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้น เหตุการณ์ขณะเกิดการจี้เครื่องบิน และเหตุการณ์หลังจากการจี้เครื่องบินจบลงแล้ว ซึ่งหนังได้มีการตัดสลับเรื่องราวระหว่างสองเส้นเรื่องหลังให้เดินหน้าไปพร้อม ๆ กัน ทำให้หนังแทบไม่ต้องเสียเวลาในการปูเรื่องนานมาก ก็สามารถเข้าสู่เนื้อหาหลักได้ทันที แถมยังสร้างมิติ และที่มาที่ไปของตัวละครได้อย่างครบถ้วน

ความสนุกของหนังคือการเล่นกับสามปัจจัยที่สร้างความกดดันให้ตัวละครคือ การปล้นเครื่องบิน + แวมไพร์ + ความสูง ที่ทำให้ตัวละคร และคนดูไม่สามารถละสายตาจากเหตุการณ์ในหนังได้ ซึ่งตลอดทั้งเรื่องหนังก็จัดเต็มด้วยฉากแอคชั่นสุดมันส์ ฉากเอาชีวิตรอดสุดระทึก นอกจากนี้ Blood Red Sky ก็ยังเป็นอีกเรื่องที่เล่นกับด้านมืดของมนุษย์ในสถานการณ์เอาชีวิตรอด ซึ่งในเรื่องนี้เราจะยังได้เห็นคนในรูปแบบต่าง ๆ ครบถ้วน ทั้งคนที่เห็นแก่ตัว คนที่เสียสละ คนที่กลายเป็นเหยื่อ ที่ท้ายที่สุดแล้วหนังก็ตั้งคำถามกับเราว่า ระหว่าง แวมไพร์ โจร และคนที่ต้องการเอาชีวิตรอด ใครน่ากลัวกว่ากัน?

สำหรับข้อเสียของ Red Blood Sky ก็ยังเป็นเรื่องความซ้ำซาก จำเจของหนังแนวนี้ ที่คนดูพอสามารถจับทิศทางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำของตัวละครในบางช่วงที่ชวนน่าหงุดหงิด ที่นำมาสู่พาร์ทดราม่าแบบเชย ๆ ในช่วงท้าย ที่เหมือนว่าหนังพยายามทำซึ้งมากเกินไป จนเสียอรรถรสไปพอสมควร

อย่างไรก็ตาม Red Blood Sky ก็นับว่าเป็นอีกผลงานหนังระทึกขวัญ ที่ประสบความสำเร็จของ Netflix หนังเต็มไปด้วยความบันเทิงของหนังอาชญากรรม + ระทึกขวัญ/สยองขวัญ ที่ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งยังนำเสนอด้านมืดของมนุษย์ได้อย่างมีชั้นเชิง ใครที่เป็นคอหนังระทึกขวัญ เนื้อหากดดัน บีบอารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องนี้ถือว่าไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Red Blood Sky ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ : IMDB , Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

“Oxygen” หนังระทึกขวัญ ไซไฟ ผลงานล่าสุดของ อเลกซานเดอ อาจา

Oxygen หนังระทึกขวัญ ไซไฟ

เมลานี โลรองต์ เป็นหญิงสาวที่ต้องตามหาความทรงจำภายใน 90 นาที ใน “Oxygen” หนังระทึกขวัญ ไซไฟ ผลงานล่าสุดของ อเลกซานเดอ อาจา

Oxygen หนังระทึกขวัญ ไซไฟ

เชื่อว่าใครที่เป็นคอหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญ น่าจะต้องเคยดูหนังเรื่อง Buried หนังที่นำแสดงโดย ไรอัน เรย์โนลด์ ที่รับบทเป็นชายที่ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในโลงไม้ และต้องเจรจากับผู้ก่อการร้ายที่เชื่อว่าคือคนที่จับตัวเขามาฝัง

ตลอดทั้งเรื่อง Oxygen หนังเล่าเหตุการณ์ภายในโลงไม้แคบ ๆ จนมันกลายเป็นหนังระทึกขวัญที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ ล่าสุดในปี 2021 นี้เรากำลังจะได้ชมหนังระทึกขวัญเรื่องใหม่ที่มาในธีมเดียวกับ Buried แต่ครั้งนี้มาในรูปแบบหนังไซไฟ สุดล้ำ กับหนังที่มีชื่อว่า “Oxygen”

Oxygen หนังระทึกขวัญ ไซไฟ

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ อลิซาเบธ เฮนสัน (เมลานี โลรองต์) หญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาและพบว่าตนอยู่ในโลงแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยเทคโนโยีสุดไฮเทค ตัว อลิซาเบธ นั้นได้สูญเสียความทรงจำของตัวเอง สิ่งเดียวที่สามารถพูดคุยโต้ตอบ และเป็นผู้ช่วยของเธอในที่แห่งนี้คือ “มิโล” AI อัจฉริยะ

ที่คอยช่วยเหลือเธอในการสืบสาวราวเรื่องจากทั้งหมดผ่านฐานข้อมูลต่าง ๆ อลิซาเบธ จะต้องหาความจริงทั้งหมดว่าใครคือคนที่นำเธอมาใส่ไว้ในโลง และที่มาของเหตุการณ์ทั้งหมดคืออะไรกันแน่ ซึ่งเธอจะต้องหาคำตอบทั้งหมดให้ทันภายใน 90 นาที ก่อนที่ออกซิเจนในโลงของเธอจะหมดลง

Oxygen หนังระทึกขวัญ ไซไฟ

Oxygen เป็นผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ อเล็กซานเดอ อาจา มือกำกับหนังสยองขวัญที่เคยมีผลงานสุดโด่งดังในด้านความโหด ดิบ ระทึกมากมายไม่ว่าจะเป็น High Tension, Mirrors, Horns และล่าสุดกับหนังเรื่อง Crawl ซึ่ง Oxygen ก็ถือว่าเป็นการกลับมากำกับหนังภาษาฝรั่งเศสในรอบ 18 ปีของเขา นับตั้งแต่ High Tension ร่วมแสดงนำโดย เมลานี โรลองค์ (Inglourious Basterds และ 6 Underground) และ แมทธิว อมัลริค (The Grand Budapest Hotel และ Sound of Metal)

Oxygen หนังระทึกขวัญ ไซไฟ

ความน่าสนใจของ Oxygen ที่ต่างจาก Buried คือการผสมผสานความเป็นหนังไซไฟ สืบสวนสอบสวน และหนังระทึกขวัญอยู่ในเรื่องเดียว ต่างจาก Buried ที่เน้นไปทางระทึกขวัญเป็นหลัก หนังเต็มไปด้วยความล้ำสมัยสไตล์หนังไซไฟ พร้อมทั้งยังมีประเด็นของ AI สอดแทรกอยู่ด้วย

ส่วนการสืบสวน จากตัวอย่างที่หนังปล่อยออกมาความสนุกของหนังที่เราน่าจะได้เห็นในเรื่องนี้คือ การร่วมค่อย ๆ ตามหาความจริงไปกับตัวละคร ค่อย ๆ ร่วมปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด พร้อมทั้งร่วมลุ้นระทึกไปกับเวลาที่ค่อย ๆ กดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่ชอบหนังสืบสวน พลอตที่น่าจะสับขาหลอก ไม่ควรพลาด

โดย Oxygen ฉายแล้วบน Netflix

Oxygen หนังระทึกขวัญ ไซไฟ
ตัวอย่าง Oxygen

Cr. ภาพ : เว็บไซต์ IMDB

#news-entertainments.com #ซีรีส์ หนัง

รีวิว The Woman in the Window

รีวิว The Woman in the Window

รีวิว The Woman in the Window: หนังระทึกขวัญ ที่พยายามเป็น Rear Window เวอร์ชั่นปัจจุบัน แต่บทกลับเต็มไปด้วยปัญหา การเล่าเรื่องที่น่าเบื่อ

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ โจ ไรท์ (Atonement, Darkest Hour) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ เอเจ ฟินน์ ที่เดิมทีถูกวางกำหนดฉายโรงตั้งแต่ปี 2019 แล้ว

แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 จนหนังถูกเลื่อน และดองไว้จนคนลืม ทำให้ค่าย 20th Century Studios ต้องขายสิทธิ์หนังเรื่องนี้ให้ Netflix แทน

รีวิว The Woman in the Window

ตัวหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ แอนนา ฟอกซ์ (เอมี่ อดัมส์) หญิงสาวที่ป่วยเป็นโรคแพนิค หวาดกลัวการเข้าสังคม ทำให้เธอต้องอาศัยอยู่แต่ภายในบ้านตัวเองเท่านั้น จนวันหนึ่งเธอก็ได้พบกับ เจน (จูลี่แอนน์ มัวร์) เพื่อนบ้านวัยกลางคน ที่เข้ามาทักทายเธออย่างเป็นกันเอง

แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน แอนนา ที่กำลังส่งเพื่อนบ้านก็ได้พบว่า เจน ได้ถูกสามีของเธอลงมือฆาตกรรม แอนนา ได้พยายามแจ้งตำรวจ ได้ทำหน้าที่ในฐานะพยานเพื่อเอาผิดสามีของเจน แต่ด้วยอาการป่วยทางจิตของเธอทำให้ไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เธอเล่า แอนนาเลยต้องลงมือหาความจริงของคดีนี้ เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นคือเรื่องจริง

รีวิว The Woman in the Window

จากพลอต และเงื่อนไขของหนัง ทำให้ใครที่เป็นคอหนังระทึกขวัญพอจะเดาได้ว่าหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง Rear Window อีกผลงานขึ้นหิ้งของ อัลเฟร็ด ฮิตช์ค้อก ซึ่งแน่นอนว่าใน The Woman in the Window ก็เต็มไปด้วยการอ้างอิงงานดังกล่าวของฮิตช์ค้อก ทั้งการใส่ฉากของ Rear Window มาเป็นอีสเตอร์เอ้กในตอนเปิดเรื่อง

การที่ตัวเองชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน และการถ่ายทอดจากมุมมองหน้าต่างห้องของแอนนา ที่เราจะได้เห็นชีวิตเพื่อนบ้านจากหน้าต่างห้องแต่ละคน

รีวิว The Woman in the Window

ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ และทำให้หนังเรื่องนี้ต่างจาก Rear Window คือการอิงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันที่มีทั้งเทคโนโลยี สมาร์ทโฟน ที่สามารถเป็นตัวช่วยสำคัญของเรื่อง และความเป็นหนังจิตวิทยา มากขึ้น(จากที่ใน Rear Window มีเพียงสืบสวน/ระทึกขวัญ)

ความสนุกของเรื่องนี้คือลูกเล่นการสับขาหลอกของหนังให้เราไม่สามารถเชื่อใจตัวละครในเรื่องได้ แม้แต่นางเอกอย่างแอนนาเอง ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมการแสดงของ เอมี่ อดัมส์ ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่ป่วยทางจิต มีปมบางอย่างที่ไม่สามารถมูฟออนได้สมจริง ทั้งจากรูปลักษณ์ที่เธอสลัดภาพสวย เซ้กซี่ออกจนหมดสิ้น พร้อมทั้งการถ่ายทอดอารมณ์ที่ชวนกดดัน น่าสงสาร จึงไม่ปฎิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า เอมี่ อดัมส์คือคนที่ช่วยแบกหนังไว้ได้อย่างแท้จริง

รีวิว The Woman in the Window

อย่างไรก็ตามแม้ว่า The Woman in the Window จะพยายามผลักดันให้ตัวเองเป็น Rear Window มากแค่ไหนก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็กลับหาได้เทียบเคียงงานดังกล่าวไม่ หนังเต็มไปด้วยการไปไม่สุด และจุดด้อยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวน/ระทึกขวัญของหนัง ที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เท่าที่ควร

เนื่องจากก่อนหน้าที่จะฉายหนังได้ถูกสตูดิโอ ให้ถ่ายทำซ่อมหลายครั้งจนเสียเค้าโครงเดิมไปพอสมควร ส่วนหนึ่งของปัญหาที่เห็นได้ชัดคือหนังไปเสียเวลาอธิบายชีวิตของแอนนา มากเกินไป ทำให้ส่วนที่น่าจะทำให้หนังสนุกอย่างการตามล่าความจริง การใส่เหตุการณ์ตื่นเต้น ลุ้นระทึก ถูกเล่ามาแบบขอไปที จนหนังขาดความน่าติดตาม

อย่างไรก็ตามแม้ว่า The Woman in the Window จะพยายามผลักดันให้ตัวเองเป็น Rear Window มากแค่ไหนก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็กลับหาได้เทียบเคียงงานดังกล่าวไม่ หนังเต็มไปด้วยการไปไม่สุด และจุดด้อยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวน/ระทึกขวัญของหนัง ที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เท่าที่ควร เนื่องจากก่อนหน้าที่จะฉายหนังได้ถูกสตูดิโอ ให้ถ่ายทำซ่อมหลายครั้งจนเสียเค้าโครงเดิมไปพอสมควร

รีวิว The Woman in the Window

ส่วนหนึ่งของปัญหาที่เห็นได้ชัดคือหนังไปเสียเวลาอธิบายชีวิตของแอนนา มากเกินไป ทำให้ส่วนที่น่าจะทำให้หนังสนุกอย่างการตามล่าความจริง การใส่เหตุการณ์ตื่นเต้น ลุ้นระทึก ถูกเล่ามาแบบขอไปที จนหนังขาดความน่าติดตาม

โดยรวม The Woman in the Window ถือว่าเป็นผลงานที่น่าผิดหวังอีกเรื่องของ 20th Century Studios แบบเดียวกับที่ The New Mutants เคยประสบ ทั้งการโดนเลื่อนฉายจนถูกลืม และการถ่ายซ่อมที่ทำให้เสียโครงสร้างเดิมของหนัง ทำให้แทนที่หนังเรื่องนี้จะสามารถถูกยกให้เป็น Rear Window ฉบับโจ ไรท์ ได้ แต่ท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้กลับสอบตกทั้งความเป็นหนังจิตวิทยา หนังสืบสวน และหนังระทึกขวัญที่ดี แม้ว่าจะมีทีมนักแสดงที่น่าจะช่วยผลักดันเรื่องก็ตาม

รีวิว The Woman in the Window
ภาพจากหนง Rar Window

ปล. Rear Window คือหนังผลงานการกำกับของ อัลเฟร็ด ฮิตช์ค้อก ที่ฉายเมื่อปี 1954 หนังว่าด้วยเรื่องราวของชายขาหักที่ต้องอยู่แต่ในอพาร์ทเมนต์ของตัวเอง และใช้เวลาในการส่องเพื่อนบ้าน จนวันหนึ่งเขาได้เห็นว่าเพื่อนบ้านของเขาคนหนึ่งได้ลงมือฆาตกรรมภรรยาของตัวเอง หนังเรื่องนี้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังระทึกขวัญที่ดีที่สุดอีกหนึ่งเรื่อง ด้วยเทคนิคการนำเสนอที่แปลกใหม่ และการเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม โดยสามารถรับชม Rear Window พร้อมซับไทยได้แล้ววันนี้ที่ Amazon Prime

Cr. ภาพ: Rotten Tomatoes

#ซีรีส์ หนัง #News-entertainments.com

The Conjuring: The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3

The Conjuring The Devil Made Me Do It

พบกับภารกิจไล่ผีครั้งใหม่ของ เอ็ด และลอวเรน ที่สยอง และน่าสะพรึงยิ่งกว่าเดิม ในตัวอย่างแรก คนเรียกผี 3 The Conjuring​: The Devil Made Me Do It

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาให้ได้ชมแล้ว สำหรับตัวอย่างแรกของ The Conjuring​: The Devil Made Me Do It หนังภาคที่สาม ของหนังปราบผีที่โด่งดังที่สุดในยุคนี้อย่าง The Conjuring ซึ่งจากเดิมที่หนังจะมีกำหนดฉายตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หนังต้องถูกเลื่อนฉายมาในปี 2021 นี้

ใครที่คิดถึงสองสามีภรรยานักปราบผี เอ็ด และลอว์เรน สามารถรับชมตัวอย่างแรกจากหนังได้แล้วตอนนี้ ก่อนเตรียมนับถอยหลังพบความสยองแบบเต็ม ๆ ช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

โดยใน The Conjuring​: The Devil Made Me Do It จะเป็นการหยิบเรื่องราวของเคสที่โด่งดัง และสะเทือนขวัญที่สุดของ เอ็ด (แพทริค วิลสัน) และ ลอว์เรน (เวร่า ฟาร์มิก้า) เหตุการณ์ในภาคนี้จะพูดถึงคดีฆาตกรรมของ อาร์นี่ จอห์นสัน (รัวรี่ โอ คอนเนอร์) ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1981

เมื่อ อาร์นี่ ได้ทำการฆ่าเจ้าของอพาร์ทเมนต์ ด้วยการกระหน่ำแทงอย่างโหดร้าย แต่ทว่าเมื่อถูกจับกุม และขึ้นพิจารณาคดีในศาล ตัวของอาร์นี่ ก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และอ้างว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นฝีมือของปีศาจที่สั่งการให้เขาลงมือฆาตกรรม เอ็ด และลอว์เรน เลยต้องทำการเข้าไปช่วยเหลือการสืบสวนคดีนี้ จนนำมาสู่หนึ่งในภารกิจปราบผีของทั้งสองที่อันตราย และน่าสะพรึงกลัวที่สุดของพวกเขา

The Conjuring​ The Devil Made Me Do It

ตัวหนังในภาคนี้กำกับโดย ไมเคิล ชาเวส (The Curse of La Llorona) เขียนบทโดย เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แมคโกลด์ริค (The Conjuring 2 , Aquaman)

พร้อมได้ เจมส์ วาน ผู้สร้างแฟรนไชส์ Saw , Insidious และ The Conjuring มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง ซึ่งนอกจากในภาคนี้หนังจะได้ แพทริค วิลสัน และเวร่า ฟาร์มิก้า กลับมารับบท เอ็ด และลอว์เรน อีกครั้ง

หนังยังสมทบด้วย รัวรี่ โอ คอนเนอร์ (Teen Spirit), จูเลี่ยน ฮิลเลียด (ซีรีส์ The Haunting of Hill House), แชนนอน คุ้ค (The Conjuring) และ สเตอร์ลิง เจอรินส์ (ซีรีส์ Divorce)

The Conjuring​ The Devil Made Me Do It

ความน่าสนใจของหนังในภาคนี้คือการฉีกกรอบเดิม ๆ ของหนัง The Conjuring ทั้งสองภาคก่อนหน้า โดยในภาคนี้หนังมีความเป็นหนังอาชญากรรม สืบสวนสอบสวน และมีการพยายามอิงเหตุการณ์จริงมากขึ้น ผิดจากภาคก่อน ๆ ที่เน้นไปทางหนังบ้านผีสิง และเน้นขายฉากตุ้งแช่ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนด้านความสยอง ความน่ากลัว ในตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมายังไม่มีการเผยฉากผีหลอก หรือฉากน่ากลัวให้ได้เห็นมากนัก แต่บรรยากาศความระทึกยังคงจัดเต็มตามเดิม ซึ่งก็ต้องมารอลุ้นในหนังเต็มว่าจะน่ากลัวเทียบเท่าสองภาคแรกได้หรือไม่

โดย The Conjuring​: The Devil Made Me Do It ถูกวางแผนให้เป็นหนังภาคสุดท้ายของชุด The Conjuring แต่กระนั้นก็ยังมีหนังจากจักรวาลภาคแยกจากแฟรนไชส์นี้ ได้แก่ The Nun 2 ภาคต่อของผีแม่ชีสุดเฮี้ยน

และ The Crooked Man หนังที่ว่าด้วยปีศาจถือร่มที่เคยสร้างความสยองมาแล้วใน The Conjuring 2 ซึ่งโปรเจกต์ทั้งสองเรื่องยังได้ เจมส์ วานมารับหน้าที่อำนวยการสร้างเช่นเคย แต่ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดฉายอย่างเป็นทางการ

สำหรับ The Conjuring​: The Devil Made Me Do It จะมีกำหนดฉายในไทย 3 มิถุนายน ในโรงภาพยนตร์

The Conjuring​ The Devil Made Me Do It

Cr.ภาพ : Warner Bros. Thailand

The Woman in the Window หนังระทึกขวัญ จิตวิทยา

The Woman in the Window

The Woman in the Window หนังระทึกขวัญ จิตวิทยา ผลงานจากผู้กำกับ Darkest Hour เตรียมฉายบน Netflix 14 พฤษภาคมนี้

อีกหนึ่งหนังที่ถูกผลกระทบจาก โควิด-19 และการที่ค่ายหาจังหวะที่ลงตัวไม่ได้ จนทำให้ถูกดอง และเลื่อนฉายจนลืม สำหรับ The Woman In The Window หนังระทึกขวัญที่เดิมเป็นของค่าย 20th Century Studio ที่ตอนนี้ได้ถูกสตรีมดังอย่าง Netflix ซื้อลิขสิทธิ์นำมาฉายเรียบร้อยแล้ว โดยล่าสุดทางสตรีมดังก็ได้ทำการประกาศวันฉายทางการของหนังเรื่องนี้ พร้อมปล่อยตัวอย่างใหม่มาให้ได้ชมกันแล้ว

The Woman in the Window

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ แอนนา ฟอกซ์ (เอมี่ อดัมส์) หญิงสาวที่ป่วยเป็นโรคหวาดกลัวการเข้าสังคม จนทำให้เธอต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไร้เพื่อน ไร้สังคม จนกระทั่งเธอได้รู้จักกับ  เจน (จูลี่แอนน์ มัวร์) เพื่อนบ้านวัยกลางคนที่เธอดูเหมือนจะเข้าใจตัว แอนนา ทุกอย่าง

จนวันหนึ่งเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ แอนนา ได้แอบดูบ้านของ เจนผ่านหน้าต่างและพบว่าเพื่อนบ้านหญิงของเธอ ได้ถูกสามี (แกรี่ โอลด์แมน) ทำการฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม

จากนั้น แอนนนา ก็ได้ทำการโทรแจ้งตำรวจ เพื่อดำเนินการเอาผิดสามีของ เจน แต่เธอกลับพบว่า เจนนั้นยังไม่ตาย และเธอกลับมีหน้าตาต่างจาก เจนที่แอนนา รู้จักก่อนหน้า ด้วยเหตุนี้ทำให้การแจ้งความของเธอฟังไม่ขึ้น ด้าน แอนนาที่เห็นแบบนั้นเธอก็ได้พยายามตามหาความจริงของเรื่องทั้งหมดว่ามันคือคดีฆาตดรรม หรือเป็นเพียงอาการตื่นตระหนกของเธอ

The Woman in the Window เป็นผลงานการกำกับของ โจ ไรท์ (Pride & Prejudice, Darkest Hour) และเขียนบทโดย เทรซี่ เลทซ์ ที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ เอ.เจ.ฟินน์ พร้อมได้นักแสดงสาวอย่าง เอมี่ อดัมส์ (Zack Snyder’s Justice League) ที่แปลงโฉมเพิ่มน้ำหนัก และปรับลุ้คให้ดูโทรม เหมือนว่าป่วยเป็นโรคไม่กล้าเข้าสังคมจริง ๆ

นอกจากนี้ก็ยังร่วมสมทบด้วย จูลี่แอนน์ มัวร์ (Still Alice), แกรี่ โอลด์แมน (Darkest Hour), แอนโธนี่ แมคกี้ (ซีรีส์ The Falcon and the Winter Soldier) และไบรอัน ไทรี เฮนรี (Godzilla Vs. Kong)

ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือการผสมผสานระหว่างหนังสืบสวนสอบสวน และนักจิตวิทยาระทึกขวัญ ที่ให้อารมณ์ใกล้เคียงกับหนังคลาสสิกอย่าง Rear Window อีกหนึ่งผลงานอันโด่งดังของ อัลเฟร็ด ฮิตช์ค้อค ที่พูดถึงเรื่องราวของตากล้องที่ขาหัก และต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ โดยมีงานอดิเรกคือแอบส่องชีวิตเพื่อนบ้าน

จนวันหนึ่งเขาได้พบว่าเพื่อนบ้านของเขาได้ทำการฆาตกรรมภรรยาของตน ซึ่งใน The Woman In The Window ก็ได้เล่นกับความสอดรู้สอดเห็นของตัวละคร และคนดู ผสมกับความเป็นจิตวิทยา ที่สับขาหลอกให้เราสงสัยว่าแท้จริงแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดคือเรื่องจริง หรือแค่จินตการของตัวละครแอนนา กันแน่ ทำให้พอคาดเดาได้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีตอนจบที่หักมุมคนดูได้ไม่มากก็น้อย

The Woman in the Window

สำหรับ เอมี่ อดัมส์ และจูลี่แอนน์ มัวร์ ทั้งคู่กำลังจะมีผลงานการแสดงร่วมกันอีกเรื่องที่จะฉายในปีนี้คือเรื่อง Dear Evan Hansen หนังดราม่า มิวสิคคัล ผลงานการกำกับของ สตีเฟ่น ชาบอสกี้ (The Perks of Being a Wallflower, Wonder)

โดย The Woman in the Window จะมีกำหนดฉาย 14 พฤษภาคมนี้ทาง Netflix

#The Woman in the Window #หนังระทึกขวัญ #Netflix #ซีรีย์ หนัง #news-entertainments.com

จอห์นนี่ เดปป์ เป็นช่างภาพผู้ตีแผ่ความจริงในหนังดราม่า ระทึกขวัญ ที่สร้างจากเรื่องจริง Minamata

Minamata

หลังจากที่สิ้นสุดบทบาท แจ็ค สแปร์โรว์ ใน Pirates of the Caribbean เราก็แทบไม่ได้เห็นบทบาทที่เป็นที่จดจำนักของ จอห์นนี่ เดปป์ เท่าไหร่นัก เพราะบทบาทที่ควรจะสร้างชื่อให้เขาอีกครั้งอย่างบท กรินเดอวัลล์ ใน Fantastic Beasts

เดปป์ ก็ต้องจำยอมถูกถอนตัวอย่างกะทันหัน หลังจากเล่นไปเพียงสองภาคเท่านั้น อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่คิดถึง จอห์นนี่ เดปป์ ในเร็ว ๆ นี้เรากำลังจะได้ชมผลงานการแสดงสุดท้าทายเรื่องใหม่ของเขา ในหนังดราม่า ระทึกขวัญอย่าง Minamata

Minamata หนังสร้างมาจากเหตุการณ์จริงเมื่อช่วงปี 1971 เมื่อ ดับเบิลยู ยูจีน สมิธ (จอห์นนี่ เดปป์) ช่างภาพผู้ถ่ายทอดชีวิตของผู้คน และเรียกร้องเสรีภาพ จากงานภาพของเขา ซึ่งได้เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น ณ เมืองมินามาตะ ที่ได้มีโรงงานอุตสาหกรรมทิ้งสารโลหะลงในแม่น้ำ จึงทำให้ชาวเมืองต่างได้รับสารพิษเข้าไป จนผู้คนล้มป่วย และเด็กที่เกิดมาก็มีสภาพพิการจนกลายเป็นโรคที่มีชื่อว่า “โรคมินามาตะ” และยูจีน ต้องทำหน้าที่ถ่ายภาพความยากลำบากของผู้คนในเมืองมินามานะ แต่ทว่าเขาก็ต้องเผชิญกับอิทธิพลมืดที่อยู่เบื้องหลังความเลวร้ายทั้งหมด

Minamata เป็นผลงานการกำกับของ แอนดรูว์ เลอวิทัส (Lullaby) ที่ได้หยิบเอาเรื่องราวช่วงท้าย ๆ ของชีวิตตากล้องของ ยูจีนมานำเสนอ ซึ่งนอกจากหนังจะได้ เดปป์ มาแสดงนำแล้ว ยังสมทบด้วย ฮิโรยูกิ ซานาดะ (Mortal Kombat) บิล ไนฮีย์ (About Time) จุน คูนิมูระ (The Wailing) มาซาโยชิ ฮาเนดะ (Edge of Tomorrow) และ ทาดะโนบุ อาซาโน่ (Thor Ragnarok)

minamata

สำหรับ ดับเบิลยู ยูจีน สมิธ คือช่างภาพชาวอเมริกัน ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1918 – 1978 ซึ่งเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักถ่ายภาพผู้เรียกร้องสันติภาพ ยูจีน เป็นช่างภาพที่โด่งดังจากการถ่ายภาพให้นิตยสาร Life จนในปี 1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยูจีน ได้รับบาดเจ็บจากการทำหน้าที่ช่างภาพ จนทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่มือ และใบหน้า

ส่วนผลงานภาพถ่ายของ ยูจีน ในช่วงที่เขาเดินทางไปที่มินามาตะ ตามเหตุการณ์ในหนังนั้น ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นอีกผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา แต่มันก็ต้องแรกมากับการที่เขาถูกเหล่าพนักงานโรงงานที่ทิ้งสารโลหะในแม่น้ำ รุมทำร้าย โดย ยูจีน ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1978 จากโรคเส้นเลือดในสมองแตก

minamata

สำหรับใครที่ชื่นชอบหนังที่สร้างจากเรื่องจริง ที่สะท้อนสังคม Minamata เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง โดยหนังจะมีกำหนดฉาย 13 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

#Minamata #จอห์นนี่ เดปป์ #John Christopher Depp #ซีรีย์ หนัง #news-entertainments.com

Cr.ภาพ : เว็บไซต์ IMDB, Rotten Tomatoes