รีวิวหนัง “The Swarm” : หนังสยองขวัญน้ำดีที่หนักดราม่า เน้นความสมจริง

the swarm

The Swarm หนังสยองขวัญ สัญชาติฝรั่งเศสที่ถูก Netflix ซื้อลิขสิทธิมาฉาย ซึ่งหนังก็มาพร้อมพลอตสุดน่าสนใจกับการนำเสนอสิ่งมีชีวิตอย่างตั๊กแตนให้กลายเป็นสัตว์กระหายเลือดสุดสยอง โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งที่ผู้เป็นแม่ทำฟาร์มตั๊กแตนของตัวเอง แต่ทว่าเธอก็ต้องเจอกับปัญหาผลผลิตที่น้อยกว่าที่หวังไว้ ทำให้เธอต้องหาทางผลิตตั๊กแตนให้ได้ออกมาคุณภาพดี และมากเท่าที่เธอต้องการ จนวันหนึ่งเธอก็ได้พบว่าเลือดสามารถทำให้ตั๊กแตนแข็งแรง และได้ผลผลิตอย่างที่หวังไว้ ทำให้เธอหันมาใช้วิธีเลี้ยงพวกมันด้วยเลือดของเธอ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยหารู้ไม่ว่าผลลัพธ์นี้มันจะนำมาสู่ความสยดสยอง

เรียกได้ว่าเป็นหนังสยองขวัญที่ว่าด้วยสัตว์อีกเรื่องที่ประสบความสำเร็จในการทำให้คนดูกลัวสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้อย่างยอดเยี่ยม หนังมาพร้อมการเล่าเรื่องที่สมจริง ไม่เน้นความสยองแบบหนังกระแสหลักเกินไป หนังจะมีพาร์ทดราม่าเป็นส่วนนำของเนื้อหา โดยจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ หนังปูมิติของตัวละครหลักออกมาได้ชวนจดจำ แต่ละตัวละครล้วนมีปม มีความสำคัญในเนื้อเรื่องที่ต่างกันไป 

ด้านความสยอง ความน่ากลัวของตั๊กแตนในเรื่องอาจไม่ได้จัดหนักจัดเต็ม หรือเวอร์วังอลังการเหมือนหนังสัตว์สยองเรื่องอื่น ๆ ด้วยความที่หนังเน้นไปที่ความสมจริงที่จะนำเสนอวิวัฒนาการอันสยองของตั๊กแตนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงกระนั้นแม้ว่าหนังจะไม่ได้ขายฉากสยองอย่างโจ่งแจ้ง เลือดสาดมาก แต่ทุกฉากที่มีตั๊กแตนออกมาในเรื่องมันสร้างความน่ากลัว น่าขนลุกให้กับคนดูได้ทุกครั้ง จนสามารถทำให้ใครก็ตามที่ดูหนังเรื่องนี้อาจไม่สามารถกลับไปมองแมลงชนิดนี้ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

อีกหนึ่งไฮไลท์ ที่ทำให้ The Swarm ดูสยอง ดูระทึกตลอดทั้งเรื่องคือตัวละครแม่ ที่รับบทโดย ซูลิแอน บราฮิม (Black Spot) ที่เป็นผู้แบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้อยู่หมัด ด้วยความที่บทของตัวละครนี้คือต้นตอของเรื่องทั้งหมด และความสยองจากตัวละครนี้คือการที่เธอนั้นค่อย ๆ ดำดิ่งสู่ความโลภ และการทุ่มเทร่างกาย ชีวิตให้ตั๊กแตน ซึ่งหนังก็ได้นำเสนอเรื่องราวในด้านนี้ออกมาได้อย่างชวนติดตาม ชวนระทึกไปตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองก์สุดท้ายของหนัง ที่สามารถผสมผสานระหว่างดราม่าของตัวละคร และความสยองของตั๊กแตนออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

ในด้านข้อเสียของ The Swarm คือการที่หนังเน้นดราม่าไม่ได้ขายความสยอง เลือดสาด ทำให้บางช่วงหนังชวนน่าเบื่อ และมีฉากที่ไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่องอยู่พอสมควร นอกจากนี้หนังก็ยังพยายามเพลย์เซฟ ด้วยการไม่เล่นกับฉากสยดสยองจนเกินไป เพื่อให้หนังสามารถเข้าถึงคนดูส่วนใหญ่ได้มากขึ้น ทำให้ความสยอง ความน่าขนลุกของหนังเรื่องเลยอยู่ในระดับครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่สุดเท่าที่ควร

โดยรวม The Swarm ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังสยองขวัญอีกเรื่องที่ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการทำให้คนที่ดูรู้สึกกลัว หรือขนลุกทุกครั้งที่ได้เห็นตั๊กแตนในหนัง พร้อมทั้งยังมีดราม่า และมิติตัวละครที่ลงตัว ใครที่มองหาหนังสยองขวัญ เน้นคุณภาพ ไม่เน้นโหด เนื้อหาไม่ซ้ำใคร นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Swarm ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ : Netflix

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

รีวิวหนัง “Fear Street” : Part One 1994: หนังเปิดไตรภาคความสยองครั้งใหม่

Fear Street Part One 1994

Fear Street : Part One 1994 คือหนังเปิดไตรภาคของหนังชุด Fear Street ผลงานการกำกับของ ลีห์ จาเนียค ผู้กำกับหนังสยองขวัญหน้าใหม่ที่เคยมีผลงานการร่วมกำกับซีรีส์ Outcast และ Scream โดยหนังชุดนี้ได้ดัดแปลงมาจากหนังสือของ อาร์ แอล สไตน์ นักเขียนแนวสยองขวัญเจ้าของผลงาน Goosebump ที่จะว่าด้วยตำนานสุดสยองของเมืองที่มีชื่อว่า เซดี้ ไซด์ ที่เกี่ยวกับคำสาปของแม่มดร้ายที่ยังสิงสถิตย์ในเมือง และมอบความสยองให้กับผู้คนในเมืองมาร่วม 300 ปี

ในภาคแรกหนังจะว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1994 เมื่อได้เกิดคดีฆาตกรรมสุดสยองโดยฆาตกรก็คือวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่เกิดคลุ่มคลั่งฆ่าคนหลังจากห้างปิด และหนึ่งในเหยื่อที่ถูกฆ่าก็คือแฟนสาวของเขา ก่อนที่ท้ายที่สุดตัวฆาตกรก็ถูกตำรวจวิสามัญในที่สุด หลังจากนั้นก็ได้มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งได้พบว่าพวกเขาถูกสิ่งที่เป็นเหมือนวิญญาณของฆาตกรต่อเนื่องรายดังกล่าวมาตามไล่ล่า แต่ที่นอกเหนือจากนั้นคือพวกเขาได้ถูกเหล่าฆาตกรดังในเมืองที่ถูกฆ่าตายเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว มาร่วมตามล่าด้วย และนั่นก็นำมาสู่ค่ำคืนเอาชีวิตรอดสุดระทึก

สำหรับในภาคแรกหนังจะมาในธีมหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญยุค 90 ที่จะไม่ได้ขายความโหด ความเลือดสาดมาก แต่จะเน้นไปที่ความตื่นเต้น ความสนุก จากการที่ตัวละครจะต้องเอาชีวิตรอดจากคำสาป หรือเงื่อนไขที่หนังสร้างขึ้น โดยจะมีการเคารพหนังสยองขวัญในยุคนั้นอย่าง Sream, A Nightmare of Erm Street ความน่ากลัวในหนังจะออกมาในทางเน้นแฟนตาซี มากกว่า Slasher ที่จะเต็มไปด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ ความลึกลับ แต่เมื่อถึงฉากที่เป็นการฆ่า หนังเรื่องนี้ก็ใส่มาแบบไม่ปราณี จนคนดูแทบไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน

เนื่องจากเป็นหนังที่มาพร้อมภาคต่อ ทำให้เนื้อหาในช่วงแรกของหนังจะเน้นไปที่การปูเรื่องร่วม ๆ เกือบชั่วโมง เพื่อเป็นการปูความส้มพันธ์ของตัวละคร พร้อมวางปมปริศนาให้คนดูไปร่วมหาคำตอบในภาคต่อ ๆ ไป ดังนั้นหากใครที่เข้ามาดูหนังเรื่องนี้เพื่อหวังความสยองแบบโบ๊ะบ๊ะฉับไว อาจผิดหวังกับช่วงแรกของหนังเรื่องนี้ไปพอสมควร

แต่ด้วยความที่หนังใช้เวลาในการปูเรื่องที่นานกว่าหนังแนวนี้เรื่องอื่น ๆ นี่เอง ทำให้ Fear Street มีจุดแข็งคือความมีมิติของตัวละคร เพราะมันทำให้คนดูรู้สึกอยากเอาใจช่วยพวกเขา และเธอไปตลอดจนจบเรื่อง มันทำให้หนังมีมากกว่าแค่ความสยอง แต่ยังมีเรื่องราวของ มิตรภาพ ครอบครัว รวมถึงพาร์ทโรแมนติก ที่มาเพิ่มชีวิตชีวาให้หนังได้อย่างลงตัว รวมถึงเมื่อตัวละครตัวใดตัวหนึ่งตายมันก็ทำให้คนดูรู้สึกสะเทือนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ปมที่ถูกปูไปในภาคต่อ ๆ ไปก็ได้ถูกนำมาใช้ในเรื่องได้อย่างเหมาะสม จนไม่ทำให้เนื้อหาในภาคหลักเสียหายแต่อย่างใด

Fear Street : Part One 1994 ถือว่าเป็นการเปิดไตรภาคหนังสยองขวัญที่ถือว่าแปลกใหม่ และชวนติดตาม ที่คอหนังสยองขวัญน่าจะถูกใจไม่น้อย แม้หนังจะไม่ได้ขายเลือด ขายความโหด หรือเน้นจังหวะตุ้งแช่เหมือนหนังแนวนี้ยุคหลัง ๆ แต่ด้วยสไตล์งานที่โดดเด่น ชัดเจน ทั้งการเคารพวัฒนธรรมยุค 90 และการขายพลอตที่มีความเป็นแฟรนไชส์ของตัวเองที่ชัดเจน ทำให้หนังชุดนี่ถือว่าเป็นความหวังใหม่ของหนังสยองขวัญของยุคนี้อีกเรื่องก็ว่าได้

สามารถรับชม Fear Street: Part One 1994 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ : Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

รีวิวหนัง “Red Blood Sky” : หนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ ผสมอาชญากรรม

red blood sky H

เรียกได้ว่า Netflix กลายเป็นเจ้าพ่อสร้างหนังสยองขวัญไปแล้วก็ว่าได้ เพราะหลังจากที่เมื่อช่วงกลางปี Netflix ได้ปล่อยหนังซอมบี้ฟอร์มยักษ์อย่าง Army of the Dead มาให้ได้ชมแล้ว ในช่วงที่ผ่านมาก็ยังมีหนังสยองขวัญไตรภาคชุด Fear Street มาเอาใจแฟนหนัง Slasher พร้อมทั้งยังมี Kingdom: Ashin of the North ที่มาเรียกน้ำย่อยก่อนดูซีซั่น 3 ล่าสุดยังมี Red Blood Sky หนังระทึกขวัญสัญชาติเยอรมัน-อเมริกา ที่มาพร้อมความตื่นเต้นที่สนุกไม่แพ้ Train to Busan ของเกาหลีเลยก็ว่าได้

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งที่กำลังเดินทางไปยังอเมริกา แต่ทว่าในระหว่างที่เดินทางเครื่องบินลำนี้ก็ได้ถูกผู้ก่อการร้ายทำการไฮแจ็คพร้อมมีผู้โดยสารทั้งลำเป็นตัวประกัน แต่ทว่าภายในเครื่องบินลำนี้ก็ได้มีความสยองซ่อนอยู่ เมื่อหนึ่งในผู้โดยสารได้มีสองแม่ลูกที่คนแม่นั้นเป็นแวมไพร์ ที่ต้องพยายามใช้ยาเพื่อระงับอาการให้เป็นเหมือนคนปกติ แต่เมื่อเธอและลูกต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็ได้ทำให้เธอต้องเผยตัวตนที่แท้จริงเพื่อปกป้องลูก จนนำมาสู่ความระทึกที่มีชีวิตคนในเครื่องบินเป็นเดิมพัน

Red Blood Sky เรียกได้ว่าเป็นหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ ที่ผสมผสานกับความเป็นหนังอาชญากรรมออกมาได้อย่างลงตัว หนังสามารถทำหน้าที่มอบความบันเทิง ความสนุกของหนังแต่ละแนวให้คนดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แม้ว่าจะมีความเป็นสูตรสำเร็จบ้างก็ตาม

โดยหนังจะนำเสนอผ่านเหตุการณ์สามเส้นเรื่องคือ เหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้น เหตุการณ์ขณะเกิดการจี้เครื่องบิน และเหตุการณ์หลังจากการจี้เครื่องบินจบลงแล้ว ซึ่งหนังได้มีการตัดสลับเรื่องราวระหว่างสองเส้นเรื่องหลังให้เดินหน้าไปพร้อม ๆ กัน ทำให้หนังแทบไม่ต้องเสียเวลาในการปูเรื่องนานมาก ก็สามารถเข้าสู่เนื้อหาหลักได้ทันที แถมยังสร้างมิติ และที่มาที่ไปของตัวละครได้อย่างครบถ้วน

ความสนุกของหนังคือการเล่นกับสามปัจจัยที่สร้างความกดดันให้ตัวละครคือ การปล้นเครื่องบิน + แวมไพร์ + ความสูง ที่ทำให้ตัวละคร และคนดูไม่สามารถละสายตาจากเหตุการณ์ในหนังได้ ซึ่งตลอดทั้งเรื่องหนังก็จัดเต็มด้วยฉากแอคชั่นสุดมันส์ ฉากเอาชีวิตรอดสุดระทึก นอกจากนี้ Blood Red Sky ก็ยังเป็นอีกเรื่องที่เล่นกับด้านมืดของมนุษย์ในสถานการณ์เอาชีวิตรอด ซึ่งในเรื่องนี้เราจะยังได้เห็นคนในรูปแบบต่าง ๆ ครบถ้วน ทั้งคนที่เห็นแก่ตัว คนที่เสียสละ คนที่กลายเป็นเหยื่อ ที่ท้ายที่สุดแล้วหนังก็ตั้งคำถามกับเราว่า ระหว่าง แวมไพร์ โจร และคนที่ต้องการเอาชีวิตรอด ใครน่ากลัวกว่ากัน?

สำหรับข้อเสียของ Red Blood Sky ก็ยังเป็นเรื่องความซ้ำซาก จำเจของหนังแนวนี้ ที่คนดูพอสามารถจับทิศทางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำของตัวละครในบางช่วงที่ชวนน่าหงุดหงิด ที่นำมาสู่พาร์ทดราม่าแบบเชย ๆ ในช่วงท้าย ที่เหมือนว่าหนังพยายามทำซึ้งมากเกินไป จนเสียอรรถรสไปพอสมควร

อย่างไรก็ตาม Red Blood Sky ก็นับว่าเป็นอีกผลงานหนังระทึกขวัญ ที่ประสบความสำเร็จของ Netflix หนังเต็มไปด้วยความบันเทิงของหนังอาชญากรรม + ระทึกขวัญ/สยองขวัญ ที่ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งยังนำเสนอด้านมืดของมนุษย์ได้อย่างมีชั้นเชิง ใครที่เป็นคอหนังระทึกขวัญ เนื้อหากดดัน บีบอารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องนี้ถือว่าไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Red Blood Sky ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ : IMDB , Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

“โธมาซิน แมคแคนซี” ย้อนเวลาไปพบความสยอง “Last Night in Soho”

โธมาซิน แมคแคนซี ย้อนเวลาไปพบความสยอง ในตัวอย่างแรก Last Night in Soho

ปล่อยออกมาเรียบร้อยแล้ว สำหรับตัวอย่างแรกอย่างเป็นทางการของ Last Night in Soho หนังสยองขวัญ ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ เอ็ดการ์ ไรท์ (Baby Driver) ที่ครั้งนี้เขาได้ฉีกกรอบจากสไตล์งานหนังแอคชั่น คอเมดี้ ที่คุ้นเคย มาสู่งานสยองขวัญ จิตวิทยา แบบจริงจัง
แถมมาพร้อมสีสันที่ฉูดฉาดแปลกตากว่าที่ผ่านมา งานนี้ใครที่เป็นแฟนคลับของผู้กำกับมากความสามารถผู้นี้เตรียมนับถอยหลังรอดูกันได้เลย

โดย Last Night in Soho จะว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นดีไซน์เนอร์ ที่ได้เดินทางไปที่ลอนดอน เมื่อถึงที่หมายก็ได้เกิดเรื่องแปลกประหลาดกับเธอ เมื่อตัวเธอได้พบว่าตนเองย้อนเวลากลับไปยังช่วงปี 1960 พร้อมทั้งยังได้พบกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้อง แต่นอกเหนือจากแสงสีที่สวยงาม และผู้คนในเมืองแล้ว มันยังได้มีเรื่องสุดสยองซ่อนเอาไว้ด้วย

สำหรับใน Last Night in Soho ไรท์ จะมารับบทเป็นทั้งผู้กำกับ และร่วมเขียนบทกับ คริสตี้ วิลสัน-แคร์นส์ (1917) โดยหนังก็ได้สองนักแสดงสาวที่กำลังมาแรงอย่าง โธมาซิน แมคเคนซี (Jojo Rabbit) และ อันย่า เทย์เลอร์ จอย (ซีรีส์ The Queen’s Gambit) มาแสดงนำ พร้อมทั้งยังสมทบด้วย แมทท์ สมิธ (ซีรีส์ The Crown), ไดอาน่า ริกก์ (ซีรีส์ Game of Thrones), เทอร์เรนซ์ สแตมป์ (Big Eyes) และ เจสซี่ เหม่ย ลี (ซีรีส์ Shadow and Bone)

ส่วนตัวอย่างแรกที่เผยออกมานั้น เรียกได้ว่าแทบไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้แก่คนดูแต่อย่างใด เพราะตลอดทั้งตัวอย่างหนังไม่ได้เผยฉากที่เป็นบทพูด หรือดีเทลล์ของเรื่องแต่อย่างใด แต่หนังได้รวบรวมฟุตเทจมาถ่ายทอดให้ดูเหมือนเป็นมิวสิควีดีโอเพลงอย่างที่ตัว ไรท์ มักจะนำมาใช้ในหนังของเขา

ที่น่าสนใจคือหนังค่อนข้างได้อิทธิพลมาจากหนังสยองขวัญคลาสสิกค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงบันดาลใจจากหนังเรื่อง Suspiria (1977) ผลงานสุดโด่งดังของ ดาริโอ อาร์เจนโต ที่เน้นสีสันที่ฉุดฉาด และให้อารมณ์ความสยองแบบคลาสสิค
นอกจากนี้หนังยังค่อนข้างมาในโทนสยองขวัญแบบจริงจัง มีความเป็นจิตวิทยา และเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานที่ฉีกกรอบหนังคอเมดี้ที่ผ่านมาของ ไรท์อย่างสิ้นเชิง

สำหรับ เอ็ดการ์ ไรท์ เป็นผู้กำกับชาวอังกฤษ ที่มีผลงานการกำกับหนังด้วยสไตล์ที่โดดเด่นในด้านการกำกับหนังคอเมดี้ และลีลาการเล่าเรื่องประกอบเพลงแบบมิวสิควีดีโอ งานที่โดดเด่น และเป็นที่รู้จักของ ไรท์ ก็มีมากมายไม่ว่าจะเป็น Shaun of the Dead, Hot Fuzz, Scott Pilgrim vs. the World, The World’s End

และล่าสุดกับ Baby Driver หนังแอคชั่น มิวสิคคัล ที่เป็นที่ชื่นชอบจากคนดู และนักวิจารณ์ จนเตรียมแผนสร้างภาคสองในเร็ว ๆ นี้ ส่วนผลงานถัดไปหลังจาก Last Night in Soho ไรท์ ก็เตรียมกำกับ The Running Man หนังไซไฟ ระทึกขวัญ ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ สตีเวน คิง

Last Night in Soho จะมีกำหนดฉายในไทย 21 ตุลาคม ในโรงภาพยนตร์

Cr. Rotten Tomatoes

ฝากติดตามบทความงานบันเทิงได้ที่ news-entertainments.com #ซีรีย์-หนัง

The Conjuring: The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3

The Conjuring The Devil Made Me Do It

พบกับภารกิจไล่ผีครั้งใหม่ของ เอ็ด และลอวเรน ที่สยอง และน่าสะพรึงยิ่งกว่าเดิม ในตัวอย่างแรก คนเรียกผี 3 The Conjuring​: The Devil Made Me Do It

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาให้ได้ชมแล้ว สำหรับตัวอย่างแรกของ The Conjuring​: The Devil Made Me Do It หนังภาคที่สาม ของหนังปราบผีที่โด่งดังที่สุดในยุคนี้อย่าง The Conjuring ซึ่งจากเดิมที่หนังจะมีกำหนดฉายตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หนังต้องถูกเลื่อนฉายมาในปี 2021 นี้

ใครที่คิดถึงสองสามีภรรยานักปราบผี เอ็ด และลอว์เรน สามารถรับชมตัวอย่างแรกจากหนังได้แล้วตอนนี้ ก่อนเตรียมนับถอยหลังพบความสยองแบบเต็ม ๆ ช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

โดยใน The Conjuring​: The Devil Made Me Do It จะเป็นการหยิบเรื่องราวของเคสที่โด่งดัง และสะเทือนขวัญที่สุดของ เอ็ด (แพทริค วิลสัน) และ ลอว์เรน (เวร่า ฟาร์มิก้า) เหตุการณ์ในภาคนี้จะพูดถึงคดีฆาตกรรมของ อาร์นี่ จอห์นสัน (รัวรี่ โอ คอนเนอร์) ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1981

เมื่อ อาร์นี่ ได้ทำการฆ่าเจ้าของอพาร์ทเมนต์ ด้วยการกระหน่ำแทงอย่างโหดร้าย แต่ทว่าเมื่อถูกจับกุม และขึ้นพิจารณาคดีในศาล ตัวของอาร์นี่ ก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และอ้างว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นฝีมือของปีศาจที่สั่งการให้เขาลงมือฆาตกรรม เอ็ด และลอว์เรน เลยต้องทำการเข้าไปช่วยเหลือการสืบสวนคดีนี้ จนนำมาสู่หนึ่งในภารกิจปราบผีของทั้งสองที่อันตราย และน่าสะพรึงกลัวที่สุดของพวกเขา

The Conjuring​ The Devil Made Me Do It

ตัวหนังในภาคนี้กำกับโดย ไมเคิล ชาเวส (The Curse of La Llorona) เขียนบทโดย เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แมคโกลด์ริค (The Conjuring 2 , Aquaman)

พร้อมได้ เจมส์ วาน ผู้สร้างแฟรนไชส์ Saw , Insidious และ The Conjuring มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง ซึ่งนอกจากในภาคนี้หนังจะได้ แพทริค วิลสัน และเวร่า ฟาร์มิก้า กลับมารับบท เอ็ด และลอว์เรน อีกครั้ง

หนังยังสมทบด้วย รัวรี่ โอ คอนเนอร์ (Teen Spirit), จูเลี่ยน ฮิลเลียด (ซีรีส์ The Haunting of Hill House), แชนนอน คุ้ค (The Conjuring) และ สเตอร์ลิง เจอรินส์ (ซีรีส์ Divorce)

The Conjuring​ The Devil Made Me Do It

ความน่าสนใจของหนังในภาคนี้คือการฉีกกรอบเดิม ๆ ของหนัง The Conjuring ทั้งสองภาคก่อนหน้า โดยในภาคนี้หนังมีความเป็นหนังอาชญากรรม สืบสวนสอบสวน และมีการพยายามอิงเหตุการณ์จริงมากขึ้น ผิดจากภาคก่อน ๆ ที่เน้นไปทางหนังบ้านผีสิง และเน้นขายฉากตุ้งแช่ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนด้านความสยอง ความน่ากลัว ในตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมายังไม่มีการเผยฉากผีหลอก หรือฉากน่ากลัวให้ได้เห็นมากนัก แต่บรรยากาศความระทึกยังคงจัดเต็มตามเดิม ซึ่งก็ต้องมารอลุ้นในหนังเต็มว่าจะน่ากลัวเทียบเท่าสองภาคแรกได้หรือไม่

โดย The Conjuring​: The Devil Made Me Do It ถูกวางแผนให้เป็นหนังภาคสุดท้ายของชุด The Conjuring แต่กระนั้นก็ยังมีหนังจากจักรวาลภาคแยกจากแฟรนไชส์นี้ ได้แก่ The Nun 2 ภาคต่อของผีแม่ชีสุดเฮี้ยน

และ The Crooked Man หนังที่ว่าด้วยปีศาจถือร่มที่เคยสร้างความสยองมาแล้วใน The Conjuring 2 ซึ่งโปรเจกต์ทั้งสองเรื่องยังได้ เจมส์ วานมารับหน้าที่อำนวยการสร้างเช่นเคย แต่ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดฉายอย่างเป็นทางการ

สำหรับ The Conjuring​: The Devil Made Me Do It จะมีกำหนดฉายในไทย 3 มิถุนายน ในโรงภาพยนตร์

The Conjuring​ The Devil Made Me Do It

Cr.ภาพ : Warner Bros. Thailand

รีวิวหนัง Don’t Listen เสียงสั่งหลอน

Don't Listenเสียงสั่งหลอน

รีวิวหนัง Don’t Listen เสียงสั่งหลอน ผีสเปนสุดโหดที่ไม่ได้มาเล่น ๆ

ครอบครัวแดเนียลย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตน่าอยู่ พวกเขาต้องการที่จะต่อยอดคฤหาสน์หลังนี้และขายต่อด้วยราคาสูงกว่าที่พวกเขาซื้อมา แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายดายแบบนั้นเพราะบ้านที่พวกเขาอยู่ดันแฝงไปด้วยเรื่องราวชวนขนหัวลุกและพีคกว่าที่เราคาดคิดไว้

Don't Listenเสียงสั่งหลอน

คำเตือน : คนรักแมวและคนกลัวของมีคม โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมด้วยนะคะเพราะภาพในหนังค่อนข้างสะเทือนใจอยู่บางฉาก

Don’t Listen เสียงสั่งหลอน : “เอริค” ลูกชายของแดลเนียลและซาร่าเริ่มมีอาการแปลกประหลาด เขาได้ยินเสียงมาจากที่ไหนสักแห่งในตัวบ้านและในบางครั้งเสียงก็มาจากวิทยุสื่อสารของเขาซึ่งมันคอยบอกเรื่องราวให้กับเอริคอยู่เสมอและเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องนี้ให้พ่อและแม่ฟัง พวกเขาขอให้นักจิตวิทยามาตรวจอาการเอริคที่บ้าน เอริคบอกเธอไปว่า เสียงเป็นคนบอกเรื่องราวและขอให้เขาวาดรูปหลอน ๆ ให้ แน่นอนว่านักจิตวิทยาไม่มีทางเข้าใจอะไรแบบนี้แน่ ๆ แต่หลังจากที่นักจิตวิทยากลับไป เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นและฝันร้ายของคฤหาสน์หลังนี้ก็เริ่มถูกปลุกให้ตื่นขึ้น

Don't Listenเสียงสั่งหลอน

นักแสดงนำ

Rodolfo Sancho Aguirre : รับบทเป็นแดเนียลสามีของซาร่า มีลูกชายชื่อ เอริค เขาเป็นคนที่รักครอบครัวมากโดยเฉพาะลูกชาย เขายอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องครอบครัวของเขา

Don't Listenเสียงสั่งหลอน

Belén Fabra : รับบทเป็นซาร่าภรรยาของเอริค เธอเป็นแม่ที่ดีมากและก็น่าสงสารสุด ๆ

Don't Listenเสียงสั่งหลอน

Ramón Barea : รับบทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งเหนือธรรมชาติ เขามาที่นี่เพื่อช่วยครอบครัวของแดเนียล

Don't Listenเสียงสั่งหลอน

Beatriz Arjona : รับบทเป็นลูกสาวผู้ช่วยของ Germán ในบทบาทที่สตรองและไม่อ่อนแอ มีอุปกรณ์ตรวจสอบจับสิ่งเหนือธรรมชาติ

Don't Listenเสียงสั่งหลอน

ทุกอย่างเริ่มแย่ลง

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งเหนือธรรมชาติเท่านั้นที่ดูเหมือนจะช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากขุมนรกอันน่าสยดสยองนี้ได้ พวกเขาต้องแข่งกับเวลา พากันตรวจสอบและไขปริศนาที่เป็นต้นตอของสิ่งเหนือธรรมชาติตัวร้ายที่อยู่ข้างในคฤหาสน์ก่อนที่มันจะสายเกินแก้ มันเป็นการภารกิจที่เสี่ยงและอันตรายมากเพราะสิ่งที่พวกเขากำลังจะพบเจอ มันไม่ใช่คน! ต้องขอบอกเลยว่าในฉากนี้จะเริ่มมีภาพสะเทือนใจแล้วนะคะ โปรดทำใจก่อนดูค่ะ

ผีสเปนหักมุมเก่งมาก

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ได้เห็นฉากเอริคตอนจมน้ำจากตัวอย่างหนัง เราเชื่อว่าทุกคนจะต้อง งง เหมือนกับเราแน่นอนเพราะมันผิดจากที่คิดไว้เพราะบทหนังดันหักมุมเป็นอย่างอื่นซึ่งตัวผู้เขียนเองก็คาดไม่ถึงด้วยซ้ำและนอกจากนี้ก็ยังมีความหักมุมให้เราได้รับชมมากกว่านี้ ซึ่งหลัง ๆ ปมเรื่องก็จะเฉลยจบในตอนนั้น ความกลัวที่สะสมมาตั้งแต่เนิ่น ๆ กลับถูกแทนที่ด้วยความสงสารมากกว่า

Don't Listenเสียงสั่งหลอน

หนังเรื่องนี้สามารถดูได้เรื่อย ๆ แถมยังมีความน่าติดตามอีกด้วย เพราะว่ามีการทิ้งปมให้เราสงสัยไว้ก่อนตั้งแต่เกือบกลางเรื่องเลย นอกจากนี้ก็ยังมีจุดพีคมากมายที่เราคาดไม่ถึงอยู่หลายจุดซึ่งเราก็คิดว่าหนังทำออกมาได้ดีอยู่ค่ะถึงแม้ว่าจะมีจุดที่ติดขัดอยู่บ้างก็ตาม ซึ่งในด้านของความหลอนเรื่องนี้มันก็มีที่มาที่ไปและบทบาทก็ไม่ได้ยัดเยียดความหลอนให้

แต่จะค่อย ๆ ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายซึ่งจะทวีคูณความหลอนยิ่งขึ้นและที่ประทับใจมาก ๆ คือทีมโปรดักชั่นทั้งหลายทำออกมาได้ดีมากเลย ไม่ว่าจะเป็นบทของหนัง ในส่วนของฉากก็มีความเล่นสีสันด้วยโทนสีมืดสลัวหลอน ๆ ได้อย่างสวยงาม ไหนจะเสียงซาวด์เอฟเฟคที่ฟังแล้วแทบจะสะดุ้งและสุดท้ายแล้วก็คือการแสดงที่มีความเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกติดขัดอะไรเลยค่ะและสำหรับใครที่อยากดูเรื่องนี้นะคะ Don’t Listen เสียงสั่งหลอน ก็สามารถรับชมได้ที่ Netfilx เลย

#news-entertainments.com #ซีรีส์ หนัง

นาโอมิ วัตส์ เตรียมรับบทนำในหนังสยองขวัญ Goodnight Mommy ฉบับรีเมค

Goodnight Mommy

ถือว่าเป็นอีกโปรเจคหนังสยองขวัญที่น่าจับตาไม่น้อย สำหรับการรีเมค Goodnight Mommy หนังสยองขวัญสัญชาติออสเตรีย ที่กำลังจะถูกนำมาสร้างใหม่อีกครั้งโดยฮอลลีวูด ซึ่งจะถูกสร้างภายใต้การดูแลของ Amazon Studios นอกจากนี้ก็ได้มีการวางตัวนักแสดงนำไว้แล้ว โดยจะได้ นักแสดงมากความสามารถอย่าง นาโอมิ วัตส์ มารับบทนำ

จากรายงานของสื่อต่างประเทศได้เผยว่า วัตส์ จะมาร่วมแสดงนำในหนัง Goodnight Mommy ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นบทคุณแม่ ที่ถูกลูกชายจับมาทรมาน นอกจากนี้หนังก็ได้วางตัวผู้กำกับ และมือเขียนบทแล้ว โดยจะได้ แมทท์ โซเบล (Take Me to the River) มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบทโดย ไคล์ วอร์เรน นอกจากนี้หนังก็ยังได้ เซเวอริน เฟียลา และเวโรนิก้า ฟรานซ์ สองผู้กำกับจากหนังฉบับต้นฉบับ มาร่วมควบคุมการสร้างอีกด้วย

สำหรับ Goodnight Mommy เป็นหนังที่เข้าฉายเมื่อปี 2014 ที่จะว่าด้วยเรื่องราวของเด็กชายฝาแฝด ที่วันหนึ่งได้พบว่าแม่ของพวกเขาที่กลับมาจากการผ่าตัดศัลยกรรมหน้า จนมีสภาพที่ต้องพันผ้าพันแผลที่หน้าตลอดเวลาราวกับมัมมี่ ส่วนด้านเด็กชายก็ดันเกิดคิดว่าแม่ที่กลับมานั้น ไม่ใช่แม่ของพวกเขา ทั้งสองเลยทำการทดลองความเป็นแม่ ด้วยวิธีการที่สยดสยอง และสะเทือนอารมณ์

Goodnight Mommy

หนังได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั้งคนดู และนักวิจารณ์ จนได้รับคะแนนจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ถึง 85% พร้อมทั้งยังคว้ารางวัลจากเวที Austrian Film Award ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และกำกับภาพยอดเยี่ยม ในปีนั้นมาครองอีกด้วย

Goodnight Mommy

ด้าน นาโอมิ วัตส์ ครั้งหนึ่งเคยรับบทนำในหนังสยองขวัญอย่าง Funny Games ฉบับรีเมคเมื่อปี 2007 ของ ไมเคิล ฮาเนเก้ มาแล้ว โดยหนังเรื่องนี้ก็ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวเล็ก ๆ ที่เดินทางไปพักร้อนแต่ถูกสองฆาตกรโรคจิตเข้ามาในบ้าน และชวนเล่นเกมจิตวิทยาสุดโหด จนนำมาซึ่งค่ำคืนอันสุดแสนระทึก ซึ่งในเรื่องนั้นเธอก็รับบทเป็นแม่ผู้ถูกกระทำ และเอาชีวิตรอดเช่นกัน

ส่วนผลงานในปีนี้ของ วัตส์ ก็ได้มี Boss Level หนังแอคชั้น ทริลเลอร์ที่เธอแสดงร่วมกับ แฟรงก์ กริลโล ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และทั้งสองก็กำลังจะมีผลงานร่วมกันอีกครั้งในหนังดราม่าเรื่อง This Is the Night ที่กำกับโดย เจมส์ เดอโมนาโค (The Purge 1-3) โดยจะมีกำหนดฉายในปี 2021 นี้เช่นกัน

สำหรับโปรเจค Goodnight Mommy ฉบับรีเมค ในตอนนี้ยังไม่มีกำหนดฉายอย่างเป็นทางการ หากมีข่าวอัพเดทเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรเจคนี้ ทางเราจะรีบแจ้งมาให้ทราบทันที

#Goodnight Mommy #Goodnight Mommy ฉบับรีเมค #นาโอมิ วัตส์ #Naomi Watts #หนังสยองขวัญ #ซีรีย์ หนัง #news-entertainments.com

Cr. ภาพ : เว็บไซต์ Rotten Tomatoes, IMDB