รีวิว Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One: การกลับมาของหนังสายลับที่ทำได้สมการรอคอย

รีวิว Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One: การกลับมาของหนังสายลับที่ทำได้สมการรอคอย

การกลับมาอีกครั้งของหนังสายลับสุดโด่งดังที่หลายคนรอคอย สำหรับ Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นภาคที่ 7 และเชื่อว่าจะเป็นภาคปูทางสู่บทสรุปของหนังชุดนี้ ที่ยังได้ คริสโตเฟอร์ แมคควอรี่ (Mission: Impossible – Fallout) กลับมารับหน้าที่กำกับ และร่วมเขียนบทอีกครั้ง พร้อมได้นักแสดงที่เข้ามาเสริมทัพอย่าง ฮาร์ลีย์ แอทเวล (Captain America: The First Avengers) และ อีไซ มอร์ราเลส (ซีรีส​ Ozark)

เรื่องราวของ Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One จะว่าด้วยภารกิจใหม่ของ อีธาน ฮันท์ (ทอม ครูซ) ที่ต้องไปตามหากุญแจปริศนา ที่มีจำนวนสองดอก ซึ่งหากนำกุญแจนี้มาประกอบกัน จะสามารถปลดล็อกอาวุธที่ร้ายแรง และทรงพลังที่สุดในโลก โดยในภารกิจนี้ อีธานก็ต้องกลับมาเผชิญกับ อิลซา (รีเบคก้า เฟอร์กูสัน) สายลับสาวที่มีอดีตกับเขา และ เกเบรียล (อิไซ มอร์ราเลส) คู่ปรับคนสำคัญของ อีธาน ที่มีเป้าหมายคือการทำลายโลก

ตัวหนังภาคนี้ยังมาพร้อมการเดินเรื่องตามสไตล์ของแฟรนไชส์ Mission: Impossible ที่ดูสนุก ตัวหนังในภาคนี้มาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องที่ร่วมสมัยในปัจจุบันมากขึ้น โดยเฉพาะวายร้ายในภาคนี้ที่มีการเล่นโยงกับประเด็น AI และเทคโนโลยีในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันแฟนหนังชุดนี้ก็จะยังเห็นเสน่ห์เก่าๆ ของหนังชุดนี้ ทั้งฉากการปลอมตัวที่มีชั้นเชิง ฉากการไล่ล่าสุดเดือด และฉากผาดโผนของ ทอม ครูซ

จุดเด่นของภาคนี้ยังคงเล่นกับซีเควนซ์ที่ชวนระทึก ที่ในภาคนี้มีรวมๆ ถึง 4 ฉาก ที่แต่ละซีเควนซ์ยังสามารถทำหน้าที่ได้ดีในการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูแบบที่นั่งไม่คิดเบาะ และเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ที่คนดูคาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์ของหนัง ที่เป็นการไล่ล่า หักเหลี่ยมเฉือนคม บนรถไฟที่ลากยาวกว่า 30 นาที ที่เล่นใหญ่อลังการ และทะเยอทะยานที่สุดอีกฉากหนึ่งของหนังชุดนี้

อีกหนึ่งจุดแข็งของภาคนี้คือการที่หนังเลือกวายร้ายของเรื่องได้อย่างมีเสน่ห์ และน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคาแรคเตอร์ของ เกเบรียล ที่รับบทโดย อิไซ มอร์ราเลส ที่เป็นวายร้ายที่พูดน้อย ต่อยหนัก และสามารถขโมยซีนได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ในภาคนี้ยังมีการเล่นประเด็นของ AI ที่เข้ามาเป็นวายร้ายเสริม ที่ทำให้หนังภาคนี้มีคู่ปรับที่ครบรสมากๆ

ด้านการแสดงยังต้องขอชื่นชม ทอม ครูซ ที่ยังรับบทลุยเอง บู๊เองในหลายๆ      ฉาก โดยเฉพาะฉากขับมอเตอร์ไซค์จากหน้าผา ที่ทำออกมาได้หวาดเสียว และน่าตื่นเต้นมากๆ นอกจาก ครูซ แลัว ทีมดาราหญิงในภาคนี้ก็ต่างมีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะบทบาทของ ฮาร์ลีย์ แอทเวล ที่เธอได้เข้ามาเป็นตัวละครสร้างสีสันประจำภาคนี้ที่คนดูจะต้องหลงรักอย่างแน่นอน

โดยรวม Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One เป็นอีกหนึ่งภาคของแฟรนไชส์ชุดนี้ ที่รักษามาตรฐานเดิมไว้ได้ดี แถมยกระดับการเล่าเรื่อง การนำเสนอให้มีความทะเยอทะยานมากยิ่งขึ้น มีการปูทางไปสู่ภาคต่อไปที่ชวนติดตาม ใครที่เป็นแฟนหนังสายลับห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Paramount Pictures

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนังสารคดี Still: A Michael J. Fox Movie: สารคดีที่เล่าชีวประวัติของ ไมเคิล เจฟ็อกซ์

หากใครที่เป็นคอหนังยุค 80 เชื่อว่าจะต้องคุ้นเคยกับชื่อของ ไมเคิล เจ ฟอกซ์ ไม่มากก็น้อย เพราะเขาคือหนึ่งในนักแสดงที่โด่งดัง และประสบความสำเร็จมากๆ ในยุค 80-90 ซึ่งผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักอย่างมากคือหนังไตรภาคชุด Back to the Future หนังย้อนเวลาที่กลายเป็นหนึ่งในไอคอนนิคของ ฮอลลีวูดมาจนทุกวันนี้

เรื่องราวของ Still: A Michael J. Fox Movie จะพูดถึงชีวิตของ ไมเคิล เจ ฟ็อกซ์ ในช่วงที่เขาได้ออกจากวงการบันเทิง เนื่องจากอาการป่วยโรคพาร์กินสันของเขา โดยสารคดีจะพาคนดูไปสำรวจชีวิตของ ฟ็อกซ์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ไปจนถึงจุดที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ก่อนที่ชีวิตจะเล่นตลกกับเขา จนทำให้เขาต้องออกจากวงการบันเทิงก่อนวัยอันควร

ตัวหนังมาพร้อมสไตล์หน้งสารคดีทั่วไป ที่จะสัมภาษณ์ตัวละครหลักของเรื่องอย่าง ฟ็อกซ์ ตัดสลับกับการฉายภาพฟุตเทจในอดีต ความน่าสนใจคือตลอดทั้งเรื่องของสารคดี มีการนำฟุตเทจของ ฟ็อกซ์ จากหนังแต่ละเรื่องของเขา ผสมกับฉากที่ถ่ายทำใหม่ เพื่อนำมาใช้ในสารคดีเรื่องนี้โดยเฉพาะ มาใช้เรียบเรียงเป็นฉากๆ  เพื่ออธิบายบริบทของเรื่อง ทำให้คนดูเหมือนได้ดูหนังชีวประวัติเรื่องหนึ่ง

ในพาร์ทพูดถึงเรื่องราวชีวิตอดีตของฟ็อกซ์ สารคดีสามารถเล่าได้กระชับ และชวนติดตาม หน้งสามารถถ่ายทอดให้เห็นถึงการดิ่นรนทำตามฝันของฟ็อกซ์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนถึงจุดสูงสุดของเขา พร้อมทั้งยังพูดถึงพาร์ทชีวิตครอบครัวได้อย่างครบครันทุกอารมณ์

ส่วนพาร์ทที่ว่าด้วยโรคพาร์กินสัน หนังใช้การบันทึกฟุตเทจปัจจุบันที่เป็นการสัมภาษณ์เป็นหัวใจหลักของการเล่าเรื่อง หนังค่อยๆ พาคนดูไปรับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของ ฟ็อกซ์ ที่เป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพการแสดงของเขา แม้ว่าหนังจะไม่ได้พาคนดูไปรับรู้เรื่องโรคนี้ในด้านการแพทย์มากนัก แต่ผู้ชมก็จะได้รับรู้ถึงอาการ และความเลวร้ายที่ผู้ป่วยโรคนี้ต้องเผชิญ

ด้วยความที่หนังผสมผสานทั้งความเป็นหนังชีวประวัติ ที่พูดถึงทั้งชีวิตในอดีต และปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ลงตัวนี้เอง ทำให้ Still เต็มไปด้วยโมเมนต์ที่ทรงพลัง และสะกดคนดูได้อย่างอยู่หมัด สำหรับคนที่รู้จัก ฟ็อกซ์ อยู่แล้วอาจเสียน้ำตา และประทับใจกับสิ่งที่สารคดีชุดนี้นำเสนอ ส่วนใครที่ไม่รู้จักฟ็อกซ์ มาก่อน ก็ยังสามารถอินไปกับหนังได้ไม่ยาก

โดยรวม Still: A Michael J. Fox Movie เป็นอีกหนึ่งสารคดีชีวประวัติน้ำดีที่ถ่ายทอดชีวิตของ ไมเคิล เจ ฟ็อกซ์ ออกมาได้ครบทุกโมเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะของนักแสดงที่เคยประสบความสำเร็จ และในฐานะคนที่ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ที่เมื่อดูจบแล้วนอกจากจะได้แรงบันดาลใจแล้ว ยังชุบชูใจคนดูได้ดีไม่มากก็น้อย ใครที่ชอบหนังสารคดีฟีลกู้ดไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับ Still: A Michael J. Fox Movie ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิว Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี: หนังผีที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่สมคำร่ำลือ ที่มาพร้อมครึ่งแรกที่ดีงาม แต่พังทลายในครึ่งหลัง

ผลงานการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่าง GDH และ Netflix ที่นอกจากนั้นหนังก็ยังใช้คำโปรโมทสุดน่าสนใจว่า “หนังผีสายวิทย์” เรื่องแรกของไทย โดยหนังเรื่องนี้ก็เป็นผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ กอล์ฟ-ปวีณ ที่เคยทำหนังผีจิตวิทยามาแล้วใน บอดี้ ศพ 19 โดยครั้งนี้เขาก็ยังมาพร้อมกับสไตล์งานที่ถนัดด้วยการทำหนังผี ที่ไม่เน้นความสยอง ความหลอนแบบไทย ๆ แต่มาแบบสยองขวัญอารมณ์หนังฮอลีวูด ด้วยองค์ประกอบโดยรวมเหล่านี้ทำให้ Ghost Lab เป็นอีกหนึ่งหนังไทยที่ทั้งคอหนังสยองขวัญ หรือแฟนหนังทั่วไปต่างให้ความหวัง ความสนใจไว้พอสมควร

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ หมอกล้า (ไอซ์-พาริส) และหมอวี (ต่อ-ธนภพ) สองหมอเพื่อนซี้ที่วันหนึ่งทั้งคู่ก็ได้พบกับผีตนหนึ่งในโรงพยาบาลช่วงกลางดึก การเห็นผีครั้งนั้นได้เปลี่ยนความคิดให้ หมอวี จากคนที่ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ เรื่องเหนือธรรมชาติ เริ่มสงสัยเกี่ยวกับโลกหลังความตาย ด้วยเหตุนี้ หมอกล้า เลยชวน หมอวี เพื่อร่วมทำการทดลองลับของเขา คือการทดลองพิสูจน์ว่าผี หรือวิญญาณ มีอยู่จริง แต่ทว่าความยากของการทดลองนี้คือการที่พวกเขาไม่สามารถทำให้ผี มาปรากฎตัวในการทดลองของพวกเขาเลยได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ทั้งคู่เริ่มเกิดไอเดียบางอย่างที่มันค่อย ๆ ล้ำเส้นของความเป็นหมอ และนักวิทยาศาสตร์ จนนำมาสู่ความสยองที่จะเปลี่ยนชีวิตทั้งคู่ไปตลอดกาล

ถ้าจะบอกว่า Ghost Lab เป็นหนังผีแนวใหม่ ก็ต้องยอมรับว่าพลอตของเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างใหม่สำหรับหนังไทย ทั้งในด้านความเป็นไซไฟ และสยองขวัญ หนังสร้างคาแรคเตอร์ และเงื่อนไขของตัวละครออกมาได้แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ที่สองตัวเอกเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้แทนที่เราจะได้เห็นสองตัวละครนี้เห็นผี เรากลับได้เห็นตัวละครเดินหน้าเข้าหาผีแบบไร้ซึ่งความหวาดกลัว พร้อมทั้งหนังก็ยังใส่มุมมองของวิทยาศาสตร์เข้าไปแบบจัดเต็ม มีการอ้างอิงสมมติฐาน หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องผี ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้เมามันส์ ชวนติดตาม โดยตลอดครึ่งแรกของหนังได้มีการค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุก ความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนคนดูสามารถรู้สึกถึงพลังความคิดสร้างสรรค์ และการเล่าเรื่องที่มีพลังของผู้กำกับ

สำหรับความน่ากลัวของหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังผีที่มาทรงผีไทยเหมือนที่ผ่านมา หนังแทบไม่มีฉากผีสยดสยองให้ได้เห็นมากนัก เนื่องจากหนังจะเน้นไปที่ความเป็นวิทยาศาสตร์ การทดลองเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามหนังก็ยังเต็มไปด้วยฉากตุ้งแช่ สไตล์ GDH ที่มีจังหวะให้ได้สะดุ้งกันเป็นพัก ๆ ตัวผีในเรื่องค่อนข้างมีความเป็นผี CGI หรือผีแบบยอดมนุษย์ ซึ่งเป็นลายเซ็นของตัวผู้กำกับ

แม้ว่าครึ่งแรกของ Ghost Lab จะทำออกมาได้น่าติดตาม ชวนสนุก และใหม่เพียงใดก็ตาม แต่ทว่าปัญหาของเรื่องคือครึ่งหลังของเรื่องที่ทุกอย่างดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนว่าทางทีมเขียนบทต้องรีบตัดหนังให้จบภายใน 2 ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่ประเด็นของหนังยังเหลืออีกมากมายให้ได้เล่า ทำให้สิ่งที่ได้ในครึ่งหลังคือการกระทำต่าง ๆ ของตัวละครที่ค่อย ๆ ไร้เหตุและผลลงเรื่อย ๆ ความเป็นวิทยาศาสตร์ของหนังก็เริ่มลดลง ก่อนที่ท้ายที่สุดหนังจะทำลายตัวเองใน 30 นาทีสุดท้ายด้วยการกลับสู่หนังผี วิญญาณอาฆาต ตามสูตรเดิม ๆ แต่เพิ่มเติมคือความไม่สมเหตุสมผลมากมาย ที่มันชวนย้อนแย้งกับครึ่งเรื่องก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าหนังจะมีครึ่งหลังที่ค่อนข้างเลวร้าย และไม่น่าจดจำ แต่สิ่งที่น่าชื่นชมอย่างปฎิเสธไม่ได้คือการแสดงของ ต่อ-ธนภพ ในบท หมอวี ที่สามารถแบกหนังทั้งเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม ในเรื่องนี้เราจะได้เห็น ต่อในบทหมอผู้ขี้อาย แสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่ด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ตัวละคร หมอวีต้องเผชิญ มันได้ค่อย ๆ ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวน พร้อมทั้งการดิ้นรนเพื่อความอยากรู้อยากเห็นแบบถึงขั้นสุด ทำให้เราได้ค่อย ๆ เห็นความคลั่งของ หมอวีที่ไล่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง ต่อก็สามารถเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม จนสามารถตรึงคนดูไว้กับหนังจนจบเรื่องได้แม้ว่าช่วงท้ายจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

โดยรวม Ghost Lab ถือว่าเป็นหนังไทยที่ให้อารมณ์ต่างจากหนังผีไทยเรื่องอื่น ๆ สมกับคำโฆษณา หนังเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ การนำเสนอจากมุมมองวิทยาศาสตร์ ที่ให้ความสนุกที่ต่างจากหนังแนวเดิม ๆ ที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่พลังความสร้างสรรค์เหล่านั้นกลับอ่อนลงในช่วงกลางเรื่องไปจนถึงท้ายเรื่อง ทำให้แทนที่หนังจะสามารถนำเสนอการทดลองที่ตื่นเต้น ชวนลุ้นไปจนจบ แต่ภาพที่ออกมาคือความน่าผิดหวัง เหมือนการทดลองที่ล้มเหลวกลางทาง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการทดลองในด้านภาพยนตร์ ที่คุ้มค่า และได้สร้างอะไรใหม่ ๆ ให้กับวงการหนังไทยไม่มากก็น้อย

Cr. ภาพ : Facebook Fanpage: GDH

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวซีรีส์ Extrapolations: ซีรีส์ดราม่า ไซไฟ ที่หยิบประเด็นโลกร้อนมาเล่าได้อย่างหลากหลาย

อีกหนึ่งซีรีส์ดราม่า ไซไฟ เนื้อหาน่าสนใจจาก Apple TV+ ที่สร้างสรรค์โดย สก้อต ซี เบิร์น (Contagion) ที่ครั้งนี้ได้เป็นอีกหนึ่งงานรวมดาราดังมาแสดงนำในซีรีส์แบบคับจอ นำทีมโดย คิต แฮริงตัน (ซีรีส์ Game of Thrones), เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน (Glass Onion), เมอร์รีล สตีฟ (Don’t Look Up), มาริยง โกติยาร์ (Inception), เจมม่า ชาน (Eternals), โทบี้ แมคไกว (Spider-Man) และ ฟอเรส วิตเทคเกอร์ (Godfather of Harlem)

เรื่องราวของซีรีส์ Extrapolations จะว่าด้วยเหตุการณ์ในโลกอนาคต ที่ปัญหาภาวะโลกร้อน ได้กลายเป็นปัญหาระดับโลก จนส่งผลกระทบต่อมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยซีรีส์จะเริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2037 ไปจนถึงปี 2070 ผ่านมุมมองของผู้คนมากมาย ตั้งแต่คนรวย คนจน ที่ต่างต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์นี้

Extrapolations เลือกที่จะนำเสนอเนื้อหาแบบ Anthology ที่แต่ละตอนจะมีเรื่องราวที่จบในตอน แต่จะมีจุดเชื่อมโยงบางส่วนที่เนื้อหาต่อเนื่องกัน ซึ่งแต่ละตอนนั้นมาพร้อมประเด็นที่แตกต่างกันไป แต่จะอิงปัญหาโลกร้อนเป็นพื้นหลังเหมือนกัน ความน่าสนใจคือหนังเลือกเล่นกับประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนอย่าง ชนชั้น การเมือง ศาสนา มาเป็นหัวใจในการดำเนินเรื่องตลอดทั้ง 8 ตอน

อีกหนึ่งจุดขายของ Extrapolations คือการที่ซีรีส์เต็มไปด้วยลูกเล่นของหนังไซไฟ ที่พยายามคาดเดาเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ซีรีส์มีกลิ่นอายของความเป็น Black Mirror ที่สะท้อนภาพของมนุษย์ในโลกอนาคต ผสมกับความเป็นดิสโทเปีย ที่ชวนให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกับการสร้างสรรค์ความล้ำสมัยต่างๆ ที่ซีรีส์พาคนดูไปสำรวจ

ด้านทีมนักแสดงนำในแต่ละตอนของซีรีส์ชุดนี้ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าหลายคนจะไม่ได้มีบทบาทมาก แต่ก็สามารถตรึงคนดูได้อย่างอยู่หมัด ไม่ว่าจะเป็น เอิร์ดเวิร์ด นอร์ตัน หรือเมอร์รีล สตีฟ รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ที่เรียกได้ว่าสร้างสีสันให้ซีรีส์ชุดนี้ได้เป็นอย่างดี

ส่วนที่เป็นจุดด้อยของ Extrapolations คือการที่ซีรีส์เล่าเรื่องค่อนข้างวนเวียน ซ้ำซาก หลายๆ ตอน เนื้อหาของซีรีส์มักเล่นกับประเด็นเดิมๆ คือเรื่องชนชั้น ศาสนา การทำลายโลกโดยฝีมือมนุษย์ ทำให้หลายตอนของซีรีส์ขาดความโดดเด่น มีเนื้อหาที่น่าเบื่อ จนชวนให้รู้สึกว่า 8 ตอนของซีรีส์ชุดนี้ยาวนานเกินจำเป็น

Extrapolations ถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ไซไฟ ดราม่า ที่สามารถหยิบเลือกโลกร้อน มาเล่าได้อย่างสนุก หลากรสชาติ ด้วยเนื้อหาทั้ง 8 ตอนที่คาดเดาไทม์ไลน์เหตุการณ์โลกร้อนออกมาได้ชวนติดตาม ผ่านแต่ละเส้นเรื่องทื่ให้อรรถรสต่างกันไป และน่าจะเป็นซีรีส์ที่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่เต็มไปด้วยปัญหามลภาวะได้ดีไม่น้อย

สามารถรับชมซีรีส์ Extrapolations ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวหนัง เณรกระโดดกำแพง: หนังอินดี้ไทยที่เล่าเรื่องได้อย่างเรียบง่าย

เณรกระโดดกำแพง เป็นหนังไทยฟอร์มเล็กผลงานการกำกับโดย สืบ บุญส่ง นาคภู่ (วังพิกุล) ที่ในครั้งนี้เขายังกลับมารับหน้าที่กำกับ เขียนบท และแสดงเอง ด้วยการหยิบความทรงจำของตนเองมาถ่ายทอดอีกครั้ง

เรื่องราวของหนังจะพูดถึง สืบ บุญส่ง นาคภู่ ที่ต้องการหาทุนมาทำหนังเรื่องใหม่ ที่ครั้งนี้เป็นการหยิบความทรงจำในช่วงที่เขาบวชเป็นพระมาสร้างเป็นหนัง ระหว่างทางเขาได้พาทีมงาน และตนเองกลับไปยังจังหวัดสุโขทัย เพื่อรำลึกความทรงจำ แต่ทว่าการทำหนังครั้งนี้ก็ต้องประสบปัญหา เมื่อเขาได้รับทุนสร้างในราคาที่น้อยเกินไป จนนำมาสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญของทีมสร้างหนังเรื่องนี้

หนังยังมาพร้อมสไตล์การกำกับของ บุญส่ง นาคภู่ ที่ยังมาพร้อมการเล่าเรื่องที่เหมือนพาคนดูไปเที่ยวต่างจังหวัด มีการหยิบความทรงจำของตัวผู้กำกับมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราว ความพิเศษในเรื่องนี้คือ สืบ รับบทเป็นตัวเอง และมีการอ้างอิงถึงผลงานการกำกับเรื่องที่ผ่านมา ในฐานะส่วนหนึ่งของความทรงจำ โดยยังได้นักแสดงจากเรื่องก่อนๆ กลับมาร่วมแสดงสมทบ

ความน่าติดตามของหนังคือการแบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 2 เส้นเรื่อง คือเส้นเรื่องปัจจุบัน และอดีต โดยปัจจุบันจะพูดถึง สืบ และทีมงานที่เดินทางเพื่อรีเสิร์ชข้อมูล รวมถึงหาทุนในการสร้างหนังเรื่องนี้ ในขณะที่ด้านเส้นเรื่องอดีต จะพูดถึงเณรน้อยที่หลงไหลในภาพยนตร์ และนำมาสู่ทางเลือกว่าระหว่างศาสนา กับสิ่งที่ชอบ เขาจะเลือกอะไร

ตัวหนังค่อนข้างพาคนดูตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครอย่างปลายเปิด และเต็มไปด้วยความท้าทายในการหยิบประเด็นเหล่านั้นมานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนภาพวงการหนังไทย โดยเฉพาะหนังทุนต่ำที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับนายทุนเพื่อให้ได้ถ่ายทำ และเข้าฉายโรงภาพยนตร์ยากกว่าหนังกระแสหลัก ในขณะที่ด้านเส้นเรื่องของเณร ก็ตั้งคำถามถึงศาสนา และความชอบ ซึ่งหลายฉากหนังก็เล่าออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และสุ่มเสี่ยงต่อการโดนเซ็นเซอร์ไม่น้อย

หากเทียบโดยภาพรวม เณรกระโดดกำแพง เป็นหนังที่ตัวผู้กำกับ ใส่ประเด็น ความรู้สึก และความทรงจำของตนเองไปในหนังไว้ได้อย่างลงตัว หนังสามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะใครที่เป็นคนอยากทำหนัง หรือรักหนังน่าจะประทับใจกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่น้อย

สามารถรับชม เณรกระโดดกำแพงได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวหนัง Aftersun: หนังดราม่าที่เรียบง่าย แต่ถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลัง

ผลงานหนังดราม่าน้ำดีจากค่าย A24 ที่เป็นงานประเดิมการกำกับหนังยาวเรื่องแรกของ ชาร์ล็อตต์ เวลส์ ที่ได้หยิบเรื่องราวความทรงจำของเธอ และพ่อ มาถ่ายทอดในรูปแบบที่เรียบง่าย ผ่านการแสดงของ พอลล์ เมสคอล (ซีรีส์ Normal People) และนักแสดงสาวน้อยหน้าใหม่ แฟรงค์กี้ โคริโอ

Aftersun จะว่าด้วยเรื่องราวของ คัลลัม (พอลล์ เมสคอล) และโซฟี (แฟรงค์กี้ โคริโอ) สองพ่อลูกที่ได้เดินทางมาท่องเที่ยวพักร้อนกัน ก่อนที่ตัว คัลลัมผู้เป็นพ่อจะต้องหย่าร้างกับแม่ของโซฟี ทริปนี้จึงเป็นการบันทึกภาพความทรงจำระหว่างทั้งคู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความประทับใจ และความโศกเศร้าที่ซุกซ่อนเอาไว้ภายในใจของทั้งสอง

ตัวหนังมาพร้อมวิธีการดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย ไม่หวือหวา โดยหนังจะพาคนดูไปร่วมพักร้อนกับสองพ่อลูก ซึ่งจะตัดสลับระหว่างภาพอดีต ปัจจุบัน ให้อารมณ์เหมือนผู้ชมกำลังนั่งดูวีดีโอความทรงจำของตัวละคร ที่เต็มไปด้วยโมเมนต์แห่งความสุข ความประทับใจ

ระหว่างเรื่องหนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศการพักผ่อนของสองพ่อลูกออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผู้ชมจะได้เห็นกิจกรรมร่วมกันของทั้งสองตัวละคร ผสมกับวิธีการสอน และเลี้ยงดูลูกของคัลลัม ที่เปี่ยมด้วยความรัก ความอบอุ่น เท่าที่พ่อคนหนึ่งจะมีให้ได้ ในขณะที่ด้านตัวโซฟี ก็มีเรื่องการเติบโตผ่านวัยแฝงอยู่ด้วย

ความพิเศษของ Aftersun คือนี่คือหนังดราม่าที่ซ่อนความโศกเศร้าไว้มากกว่าที่คิดไว้ แบบที่หนังไม่ได้ใส่ฉากขยี้อารมณ์คนดูเท่าไหร่นัก แต่เน้นอาศัยประสบการณ์ และความรู้สึกร่วม ซึ่งหนังได้บอกใบ้กับคนดูถึงภาวะโรคซึมเศร้าของตัวละคร คัลลัม ผ่านหลายฉาก หลายคำพูดที่ตัวละครนี้แสดงออกมาให้คนดูได้ตีความ และรู้สึกถึงความเศร้าภายในใจตัวละครนี้ หนึ่งในโมเมนต์ที่ทรงพลัง และโศกเศร้าที่สุดของหนังเรื่องนี้คือฉากจบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของการอำลาที่เหมือนจะมีความสุข แต่แฝงไปด้วยความหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชมทั้งตัว เมสคอล และโดริโอ ที่ต่างถ่ายทอดบทพ่อลูกออกมาได้เป็นธรรมชาติ มีความสมจริง จนคนดูแทบจะเชื่อว่าทั้งคู่คือพ่อลูกกันจริงๆ ด้าน เมสคอล ถ่ายทอดบทบาทของชายที่ซ่อนความเศร้าเอาไว้ได้ยอดเยี่ยม จนคนดูสามารถสัมผัสถึงความเศร้าผ่านแววตาของเขา ในขณะที่ด้าน โดริโอ ก็ถ่ายทอดบทบาทสาวน้อยได้น่ารัก เป็นธรรมชาติ จนคนดูหลงรักเธอในทุกโมเมนต์

โดยรวม Aftersun นับว่าเป็นหนังดราม่าชั้นเยี่ยม ที่มาพร้อมการเล่าเรื่องสุดเรียบง่าย แต่ฉากจบกลับสามารถขยี้อารมณ์คนดูได้อย่างอยู่หมัด เป็นงานที่อาศัยประสบการณ์ และความรู้สึกร่วมกับคนดู ยิ่งหากใครที่เคยมีประสบการณ์สูญเสียคนในครอบครัว อาจเสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

สามารถรับชม Aftersun ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิว Missing: หนังที่ยกระดับคุณภาพ ความสนุก ความเข้มข้น

Missing คือหนังสืบสวน ระทึกขวัญ ที่แล่าแบบ Found-footage จากทีมผู้สร้าง Searching โดยครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นงานภาคต่อของ Searching ที่เนื้อหาไม่ได้เชื่อมกับภาคแรกก็ว่าได้ เพราะ Missing มาพร้อมการเล่าเรื่องผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ของตัวละครเกือบตลอดทั้งเรื่องผมกับการสืบหาคนหาย ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ

เรื่องราวของ Missing จะว่าด้วย จูน (สตอร์ท รีด) หญิงสาววัย 18 ปี ที่กำลังปรับตัวเมื่อ เกรซ (นีอา ลอง) แม่ของเธอกำลังคบหากับแฟนใหม่ ซึ่งทั้งสองก็ได้มีแพลนไปเที่ยวกันสองต่อสองที่โคลัมเบีย แต่ทว่าเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อในวันที่แม่ของจูน จะต้องเดินทางกลับบ้าน แต่จูนพบว่าแม่และแฟนหนุ่มได้หายตัวไปอย่างปริศนาที่คอลัมเบีย จูนเลยต้องทำการตามหาแม่ของเธอผ่านคอมพิวเตอร์ของเธอ จนนำมาสู่การค้นพบความจริงสุดช็อค

การเล่าเรื่องของ Missing เรียกได้ว่ายังมาพร้อมการดำเนินเรื่องเหมือนใน Searching ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว คนหาย และการใช้เทคโนโลยีในการตามหาคน โดยเสน่ห์ที่ทำให้ Missing ต่างจาก Searching คือบริบทที่สลับกัน จากพ่อตามหาลูก สู่ลูกตามหาแม่แทน ซึ่งหนังได้เล่นกับช่องว่างระหว่างวัย ของตัวละครมาเป็นลูกเล่นการเล่าเรื่อง

ผู้ชมจะได้เห็นการใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบหาความจริงของเด็กรุ่นใหม่ ที่เต็มไปด้วยความคล่องแคล่ว  สามารถปะติดปะต่อ และใช้อุปกรณ์ต่างๆ ชาญฉลาด จนทำให้การสืบสวนในเรื่องนี้ดูเพลิน และชวนติดตามว่าตัวละครจะหาวิธีแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง

นอกจากนี้พาร์ทสืบสวนใน Missing ยังยกระดับความเข้มข้น ความระทึก ด้วยการสับขาหลอกคนดูหลายตลบ จนคาดเดาไม่ได้ว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไรต่อไป มีการเพิ่มลูกเล่นด้วยการใช้การรายงานข่าวของสื่อมวลชน มาผสมผสาน เพิ่มสีสันให้การเล่าเรื่องมีมิติมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของพาร์ทดราม่าใน Missing ก็ยังถือว่าทำออกมาได้ดี หนังสามารถถ่ายทอดความรักของแม่ลูก ออกมาได้อย่างชวนประทับใจ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีในการนำเสนอความสัมพันธ์ของคนต่างวัย ที่ทำออกมาได้อย่างร่วมสมัย และสมจริงมากๆ

โดยรวม Missing คืองานสืบสวน ระทึกขวัญ ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้ Searching โดยหนังยังสามารถสร้างสรรค์ความระทึกที่แปลกใหม่ และยังเคล้าด้วยดราม่าที่กำลังดี ใครที่ชอบหนังสืบสวน เนื้อหาหักมุม เดาทางไม่ถูกไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม Missing ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Fast X: อีกหนึ่งภาคต่อที่ทะเยอทะยาน

หนังภาคที่ 10 ของแฟรนไชส์ Fast ที่ครั้งนี้ถือว่าเป็นภาคเปิดของไตรภาคสุดท้ายของหนังชุดนี้ โดยในภาคนี้หนังได้ หลุยส์ เลทเทอร์เรียร์ (The Transporter) มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้ทีมนักแสดงชุดใหม่ที่มาเสริมทัพให้หนังชุดนี้ นำโดย เจสัน โมมัว (Aquaman), บรี ลาร์สัน (The Marvels) และ อลัน รัชสัน (ซีรีส์​ Jack Reacher)

เรื่องราวในภาคนี้หนังจะพูดถึง ดันเต้ (เจสัน โมมัว) ลูกชายของ เรเยส (โจคิม เดอ อัลเมดา) วายร้ายจากหนังภาค 5 ที่ได้เคียดแค้นกลุ่มของ ดอม (วิน ดีเซลล์) ที่ได้ร่วมกันขโมยตู้เซฟพ่อของเขา และเป็นสาเหตุที่พ่อของเขาต้องตาย โดย ดันเต้ ได้วางแผนร้ายในการเอาคืนกลุ่มของ ดอม ด้วยวิธีที่ร้ายกาจ และเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ดอม จึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัวของเขาจากวายร้ายผู้นี้

Fast X เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหนัง Fast ภาคที่ทะเยอทะยาน และบันเทิงมากที่สุดภาคหนึ่งเลยก็ว่าได้ หนังแทบจะไม่เปิดโอกาสให้คนดูได้พักหายใจ เพราะตลอด 140 นาทีของหนัง อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชัน ทั้งการขับรถไล่ล่าสุดระทึกในกรุงโรม ที่ใส่มาตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง พร้อมซีเควนซ์ไล่ล่าที่ยาวนานร่วม 30 นาที รวมถึงฉากต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ ที่ใส่มาเป็นระยะๆ ให้คนดูได้ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง

ฉากแอ็คชัน เรียกได้ว่าทำออกมาค่อนข้างดี แม้ภาพของหนังจะลอยบ้าง แต่ในด้านความเวอร์วัง หนังภาคนี้ทำออกมาได้อย่างจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นฉากซิ่งรถไล่ล่า และต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างพลิ้วไหว ฉีกกฎฟิสิกส์ โดยเฉพาะรถ 1970 Dodge Charger ที่เป็นรถไฮไลท์ของเรื่องพอๆ กับคาแรคเตอร์สุดแกร่งของ วิน ดีเซลล์

ปัญหาของ Fast X ยังคงเป็นปัญหาที่หนังแอ็คชันส่วนใหญ่มักเจอ คือเรื่องบท ซึ่งบทของภาคนี้ค่อนข้างดรอป และแย่กว่าภาคที่ผ่านๆ มา ด้วยความที่หนังพยายามรีบเดินเรื่อง จนไม่ได้สนใจเนื้อหาที่เป็นพาร์ทดราม่าระหว่างทาง ทำให้การกระทำของตัวละครในภาคนี้ขาดความสมเหตุสมผล หลายตัวละครเก่าที่กลับมาในภาคนี้ล้วนขาดเสน่ห์ดั้งเดิมที่เคยมี รวมทั้งการตัดต่อของหนังที่เต็มไปด้วยจังหวะที่ขาดๆ เกินๆ จนหนังขาดความสมู้ท

โดยรวม Fast X เป็นอีกหนึ่งภาคจากหนังตระกูล Fast ที่ทำออกมาได้สนุก บันเทิง ตามมาตรฐานของหนังแอ็คชันสูตรสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นฉากบู๊ที่เวอร์วังอลังการแบบไม่สนบท หรือความสมเหตุสมผลใดๆ ใครที่ชอบหนังแอ็คชันเดือดๆ หรือเป็นแฟนหนังแฟรนไชส์นี้ นี่คืออีกภาคที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Fast X ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Fall: หนังระทึกขวัญ ที่เล่นกับความสูง ความเสียว ได้อย่างถึงอารมณ์

หนังระทึกขวัญ แนวจำกัดพื้นที่ จำกัดตัวละคร มักเป็นหนังที่มาพร้อมสูตรเดิมๆ ที่เน้นสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู ให้อยากร่วมเอาใจช่วยตัวละคร ที่ส่วนใหญ่เพียงเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนสถานการณ์ แต่พลอตส่วนใหญ่มักคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็น Shallows, 148 Hours, Gold เป็นต้น ล่าสุดเมื่อปี 2022 ก็ได้มี Fall หนังระทึกขวัญ ผลงานการกำกับของ สก้อตต์ มานน์ (Hetst) ที่มาพร้อมการเอาชีวิตรอดที่สูง และเสียวที่สุด

หนังว่าด้วยเรื่องราวของ เบ้คกี้ (เกรซ แคโรไลน์ เคอร์รีย์) และไชโลห์ (เวอร์จิเนีย การ์ดเนอร์) สองเพื่อนซี้ที่หลงไหลการปีนเขา และการผจญภัย ที่วันหนึ่ง ไซโลห์ ได้ชวน เบ้คกี้ เดินทางไปขึ้นเสาสงสัญญาณที่มีความสูงถึง 2,000 ฟุต ซึ่งในขณะนั้น เบ้คกี้ ยังเสียใจจากการสูญเสียคนรักจากอุบัติเหตุปีนเขา และเพื่อเป็นการมูฟออน ทั้งสองเลยเลือกที่จะปีนเสาสงสัญญาณนี้ แต่ทว่าเรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นเมื่อบันไดลิงของเสาได้หักลงหลังจากที่ทั้งสองขึ้นไปถึงที่หมาย จนทั้ง เบ้คกี้ และไซโลห์ ต่างต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากความสูงเฉียดฟ้านี้ให้ได้

แม้ว่าโดยภาพรวมของ Fall น่าจะไม่ต่างจากหนังเอาชีวิตรอดเรื่องอื่นๆ ที่เปลี่ยนแค่เซ้ตติ้ง แต่ความเป็นสูตรสำเร็จของ Fall ก็ถือว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก หนังพาคนดูไปสัมผัสกับความสูง ความเสียว ในตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงของหนัง พร้อมสร้างสถานการณ์ให้ตัวละครต้องแก้ปัญหา และได้ลุ้นตลอดเวลา

จุดเด่นของหนังคือการเล่นกับความสูงที่พร้อมเกิดอะไรได้ทุกรูปแบบ และอันตรายจากธรรมชาติมากมาย เช่น พายุ อีแร้ง ประกอบกับเงื่อนไขของหนังเอาชีวิตรอด ที่ตัวละครจะต้องเผชิญกับภาวะขาดน้ำ ขาดอาหาร ทำให้นอกจากคนดูจะได้ลุ้นให้ตัวละครรอดจากความสูงแล้ว ยังได้ลุ้นกับวิธีการให้ตัวเองรอดชีวิตของตัวละคร

หนังสามาราถเล่นกับมุมกล้อง และงานโปรดักชันที่ถ่ายทอดความสูงของเสาสัญญาณ​ ออกมาได้อย่างสมจริง มีการเก็บดีเทลล์ของโลเคชันที่ละเอียด ทำให้คนดูรู้สึกไม่ปลอดภัยร่วมไปกับตัวละคร นอกจากนี้จังหวะการเล่าเรื่องก็ทำได้อย่างมีชั้นเชิง

นอกจากนี้หนังยังมีการสลับระหว่างพาร์ทระทึกขวัญ และดราม่า ที่ลงตัว ซึ่งพาร์ทดราม่าของหนังก็เล่นกับมิตรภาพของทั้งสองตัวละคร ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมาย ที่เป็นจุดพลิกผัน เพิ่มสีสันให้เรื่องมีมิติมากขึ้นนอกจากแค่เรื่องเอาชีวิตรอด ทั้งนี้ของขอชื่นชมเคมีการแสดงของสองนักแสดงนำที่ต่างรับส่งอารมณ์กันได้อย่างยอดเยี่ยม

โดยรวม Fall เป็นหนังระทึกขวัญ เอาชีวิตรอดที่ดูสนุกเรื่องหนึ่ง หนังสามารถหยิบพลอตเอาชีวิตรอด มาเล่นกับความสูงได้อย่างชาญฉลาด และเต็มไปด้วยฉากที่คนดูได้ลุ้น ได้หวาดเสียวจนตัวเกร็งราวกับร่วมติดเสาไปกับตัวละคร

สามารถรับชม Fall ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Flash: อีกหนึ่งงานสุดทะเยอทะยานของ DC ที่แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ได้ใจแฟนบอยไปแบบเต็มไป

หนึ่งในโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ของปี 2023 จาก DC ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกเลื่อนฉายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดหนังก็ได้เข้าฉายอย่างเป็นทางการ โดย The Flash เป็นผลงานการกำกับโดย แอนดี้ มุชเชติ (It) พร้อมนำทีมแสดงโดย เอสรา มิลเลอร์ (Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald) ,ไมเคิล คีตัน (ซีรีส์ Dopesick), เบน เอฟเฟล็ก (Gone Girl) และ ไมเคิล แชนนอน (Man of Steel)

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ แบร์รี หรือเดอะ แฟลช (เอสรา มิลเลอร์) หลังจากที่เขาได้พลังให้เป็นมนุษย์ที่รวดเร็วที่สุด และได้เป็นสมาชิกของ จัสติก ลีก เขาก็ได้ทำภารกิจช่วยผู้คนมากมาย จนกระทั่งวันหนึ่ง แบร์รี่ได้พบว่าพลังของเขานั้น สามารถเดินทางย้อนเวลาได้ ทำให้เขาตัดสินใจย้อนเวลากลับไปปกป้องแม่ของเขาจากการถูกฆ่า แต่ทว่าการแก้ไขอดีตนั้นทำให้แบร์รี่ได้หลุดไปยังโลกอีกมัลติเวิร์ส ทำให้เขาต้องหาทางปกป้องโลก และตัวเองในมัลติเวิร์สนี้ และหาทางกลับสู่โลกเก่าที่เขาเดินทางมา

The Flash คือหนัง DC ที่มาพร้อมสไตล์หนังฮีโร่บล็อกบัสเตอร์สูตรสำเร็จ ที่ยังเน้นขายความเป็นฮีโร่ปกป้องโลกอยู่ เพียงแต่ในเรื่องนี้หนังได้เพิ่มเรื่องราวของตัวแบร์รี เข้าไปมากขึ้น ซึ่งเส้นเรื่องของแบร์รีนี้เองที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนหนังเรื่องนี้ และทำให้คนดูได้เห็นมุมที่เราไม่เคยเห็นของตัวละครนี้

งานโปรดักชันของหนังทำออกมาได้ดีเยี่ยม ทีมสร้างสามารถสร้างมัลติเวิร์สในรูปแบบของ DC ที่ต่างจากของ Marvel โดยสิ้นเชิง ฉากที่เป็นจุดขายคือฉากใช้พลังของ เดอะแฟลช ที่เต็มไปด้วยลูกเล่น และท่าไม้ตายที่ชวนตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่เคยได้เห็นใน Justice League รวมทั้งฉากการต่อสู้ของเหล่าฮีโร่ ที่ในเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ตื่นตาตื่นใจ และยิ่งใหญ่สุดๆ

หนึ่งในไฮไลท์ของหนัง The Flash คือการที่หนังเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์สำหรับแฟนหนัง DC โดยเฉพาะการปรากฎตัวของไมเคิล คีตัน ในบทแบทแมน ที่เต็มไปด้วยโมเมนต์ชวนนึกถึงอดีต และแฟนเซอร์วิสของแบทแมนฉบับ 90 นอกจากนี้หนังยังซ่อนเซอร์ไพรส์ลับอีกเพียบที่ไม่ได้เผยให้เห็นในตัวอย่างไหน ที่รับรองได้ว่าถูกใจแฟนหนังอย่างแน่นอน

การแสดงในเรื่องนี้ ต้องขอชื่นชม เอสรา มิลเลอร์ ที่ถ่ายทอดเป็น เดอะ แฟลช ได้อย่างยอดเยี่ยม ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นเขาแสดงถึงสองบทบาท ที่เต็มไปด้วยคาแรคเตอร์ที่ทั้งเกรียน และเคล้าดราม่า ในพาร์ทตลก มิลเลอร์สามารถทำให้คนดูขำไปกับมุกตลกใบหน้า และตลกเจ็บตัวมากมาย ในขณะที่พาร์ทดราม่า เขาก็แสดงออกมาได้ถึงอารมณ์ไม่แพ้กัน

โดยรวม The Flash คืองานจาก DC ที่แฟนๆ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หนังเต็มไปด้วยความสนุก ความบันเทิงแบบหนังฮีโร่ที่ทุกคนจะเพลิดเพลินไปกับหนังได้ พร้อมด้วยเซอร์ไพรส์มากมายที่แฟน DC จะต้องกรี๊ดแตก และยังเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสู่หนัง DC ยุคใหม่ที่ชวนติดตามอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Flash ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง