รีวิวหนัง Sister Death

รีวิวหนัง Sister Death หนังสยองขวัญ ของ พาโค พลาซ่า

รีวิวหนัง Sister Death หนังสยองขวัญที่เล่นธีมศาสนาคคริสต์ออกมาได้สุดมาก หนังเล่นกับบรรยากาศน่าขนลุกของโบสถ์ได้อย่างคุ้มค่า จังหวะการหลอกที่แม้จะไม่เยอะแต่ก็ทำได้มีชั้นเชิง

รีวิวหนัง Sister Death ถ้าพูดถึงหนังสยองขวัญประจำ Netflix คงจะต้องมีชื่อหนัง Veronica ติดอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งหนัง Sister Death นี้คือภาค Prequel ที่ต่อยอดออกมา โดยจะย้อนเล่าเรื่องราวที่มาของแม่ชีลึกลับ ซึ่งในเรื่องนี้ยังคงได้ พาโค พลาซ่า ผู้กำกับจาก Veronica กลับมารับหน้าที่กำกับอีกครั้ง

รีวิวหนัง Sister Death หนังสยองขวัญ ของ พาโค พลาซ่า

เรื่องราวของ Sister Death จะย้อนไปยังช่วงปี 1949 เมื่อซิสเตอร์นาร์ซิชา (อาเรีย แบดมาร์) แม่ชีฝึกหัดที่ได้ย้ายเข้ามายังโบสถ์เก่าแก่ เพื่อทำหน้าที่สอนหนังสือแก่เด็กๆ แต่ทว่าในระหว่างที่อยู่ในโบสถ์แห่งนี้เธอก็ได้พบก้บเหตุการณ์แปลกๆ ทุกคืน ไม่ว่าจะเก้าอี้ที่ล้มเวลาเดิมหรือเสียงเคาะประตูปริศนา และสัญลักษณ์แฮงแมนที่โผล่มาบนกำแพง นาร์ซิชา เลยต้องหาความจริง จนพบว่าเหตุการณ์ทุกอย่างนี้เธอเชื่อว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากแม่ชีคนเก่าที่หายตัวไปอย่างปริศนา

รีวิวหนัง Sister Death หนังสยองขวัญ ของ พาโค พลาซ่า

 

Sister Death คืองานสยองขวัญที่ค่อนข้างฉีกกรอบของ พาโค พลาซ่า ไปพอสมควร ด้วยความที่หนังเล่าแนว Slow burn ที่ไม่ได้เน้นจังหวะโบ๊ะบ๊ะเหมือนงานเรื่องก่อนๆ ตัวหนังผสมผสานระหว่างสืบสวนสอบสวน เข้ากับสยองขวัญ ได้อย่างลงตัว เคล้าด้วยพาร์ทดราม่าที่สะท้อนภาพการใช้ชีวิตของเหล่าแม่ชีในยุคนั้น ที่มีเรื่องการเมืองภายในเข้ามาเกี่ยวข้อง

รีวิวหนัง SisterDeath หนังสยองขวัญ ของ พาโค พลาซ่า

ด้านความสยองขวัญของหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะการเล่นกับบรรยากาศอันน่าขนลุกของโบสถ์เก่าแก่ ส่วนฉากการหลอกของผีนั้นอาจไม่ได้มีเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นเสียง และการเล่นกับบรรยากาศ แต่พอถึงพาร์ทที่ผีปรากฎตัวหนังก็สามารถสร้างความหลอนผ่านใบหน้า และวิธีการหลอกที่มีชั้นเชิง โดยแทบไม่ต้องใช้จังหวะจัมป์สแคร์ในการเพิ่มความน่ากลัว

ด้านการเล่าเรื่องของ Sister Death ก็สามารถทำได้สนุก ชวนติดตาม หนังพยายามสร้างความรู้สึกให้คนดูเป็นคนนอกเช่นเดียวกับตัวละคร นาร์นิชา ที่ค่อยๆ ค้นพบความจริงทีละน้อยๆ โดยหนังแบ่งเนื้อหาเป็น 3 พาร์ทตาม 3 องก์ของหนังที่ไต่ระดับความเข้มข้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะในองก์ 3 ที่หนังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งความสยอง และการสร้างบทสรุปที่น่าจดจำ 

รีวิวหนัง SisterDeath หนังสยองขวัญ ของ พาโค พลาซ่า

โดยรวม Sister Death คืออีกหนึ่งงานจากเจ้าพ่อหนังสยองขวัญ พาโค พลาซ่า ที่ทำออกมาได้อย่างสนุก หนังสร้างความหลอนผ่านบรรยากาศของโบสถ์โบราณและสร้างความลึกลับ ความน่าขนลุกได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมเคลียร์ข้อสงสัยถึงจุดเริ่มต้นเรื่องราวใน Veronica ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

สามารถรับชม Sister Death ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix
ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/Ze6plKbzkY0

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

 

รีวิวหนัง Thanksgiving

รีวิวหนัง Thanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

รีวิวหนัง Thanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream ที่เล่าเรื่องได้อย่างชวนติดตาม หนังอัดแน่นด้วยความโหด สยดสยอง และตลกร้ายแบบอีไล ร็อธ ช่วงท้ายเต็มไปด้วยความระทึก หักมุมแบบที่คาดเดาไม่ได้

รีวิวหนัง Thanksgiving ผลงานการกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกครั้งของผู้กำกับสายโหดอย่าง อีไล ร็อธ​ (Hostel) ที่ครั้งนี้เขามาในพลอตที่เล่นกับธีมของวันขอบคุณพระเจ้า โดยเนื้อหาของหนังจะว่าด้วยเมืองเล็กๆ ในวันคืนขอบคุณพระเจ้าคืนหนึ่งที่ตรงกับวัน Black Friday ซุปเปอร์มาร์เก้ตประจำเมืองเลยได้จัดโปรโมชันลดราคาพิเศษในคืนนั้น แต่เทศกาลความสุขก็กลายเป็นความสยองเมื่อคืนนั้นได้เกิดจลาจลที่ทำให้ผู้คนเข่นฆ่ากันเพื่อขิงของถูก

รีวิวหนัง Thanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

หลังจากคืนดังกล่าวผ่านไป 1 ปี เหล่าวัยรุ่นที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นที่กำลังเตรียมตัวกับเทศกาลขอบคุณพระเจ้าอีกครั้ง แม้จะมีบาดแผลในอดีตคอยติดตาม แต่ทว่าเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อได้มีฆาตกรต่อเนื่องสวมหน้ากากไล่ฆ่าคนที่อยู่ในเหตุจลาจลปีที่แล้ว ทำให้เหล่าวัยรุ่นที่รอดชีวิตและตำรวจต้องตามหาตัวคนร้ายก่อนที่คนร้ายจะเล่นงานมาถึงตน 

รีวิวหนัง Thanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

แม้จะเรียกได้ว่าเป็นหนังไล่เชือด แต่บริบทของ Thanksgiving ค่อนข้างมีความฉีกแนว และเป็นตัวของตัวเอง ทั้งนี้เพราะลายเซ็นการกำกับของ อีไล ร็อธ ที่มีความชัดเจน ตั้งแต่ความกวน ความตลกร้ายในฉากเปิด ที่มีทั้งความโหด ความตลก และเป็นการเปิดเรื่องที่ไม่เหมือนหนังสยองขวัญเรื่องไหนๆ 

รีวิวหนังThanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

ตัวหนังจะเล่าแบบหนังไล่ฆ่า ผสมสืบสวนสอบสวน ที่ให้บริบทชวนนึกถึง Scream ที่ตัวละครหลักทั้งหมดจะต้องร่วมกันเอาชีวิตรอดและตามหาคนร้าย โดยหารู้ไม่ว่าฆาตกรแฝงอยู่ในกลุ่ม ความสนุกของหนังจึงไม่ใช่แค่การลุ้นไปกับวิธีการฆ่า แต่ยังรวมไปถึงการหาตัวคนร้ายและการสับขาหลอกของหนังที่ทำได้อย่างเหนือชั้น

รีวิวหนังThanksgivingหนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

ในด้านความสยดสยอง ความระทึกหนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี แม้จะไม่ได้เป็นหนังที่เน้นจังหวะโบ๊ะบ๊ะตลอดทั้งเรื่อง แต่เมื่อถึงฉากที่ตัวละครต้องเผชิญหน้าฆาตกร ก็สามารถบีบอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะฉากการฆ่าในหนังที่มีความโหดร้ายขั้นสุด ทั้งการตัดคอ หรือมีฉากไส้ทะลัก ที่ชวนขนลุก โดยเฉพาะในองก์3 ของหนังที่ทำได้อย่างลุ้นระทึกดีเยี่ยม

โดยรวม Thanksgiving คืออีกหนึ่งหนังสยองขวัญน้ำดีแห่งปี 2023 หนังมีองค์ประกอบที่หนังไล่เชือดที่ดีควรมี เดินเรื่องได้สนุก เต็มไปด้วยลูกบ้าและความกวนที่ชวนขำแบบไม่ซ้ำใคร ที่สำคัญนี่คืออีกหนึ่งงานที่พร้อมประกาศตัวเองสู่ความเป็นแฟรนไชส์หนังสยองขวัญชุดใหม่ในอนาคตอย่างแน่นอน

สามารถรับชม Thanksgiving วันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes
ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/KbU50SdL8zA

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง M3gan

รีวิวหนัง M3gan หนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

รีวิวหนัง M3gan หนังระทึกขวัญที่แม้ว่าพลอตจะชวนให้นึกถึง Chucky แต่การหยิบประเด็น AI มาถ่ายทอดสามารถเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม คาแรคเตอร์ของเมแกน มีความหลอน เฮี้ยนในแบบที่ไม่เหมือนใคร

รีวิวหนัง M3gan คือหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ ไอเดียบรรเจิดจากผลงานการเขียนบทโดย เจมส์ วาน (The Conjuring) และ อะคีลา คูเปอร์ (Malignant) ที่หยิบประเด็นของ AI และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มานำเสนอ พร้อมได้ เจอราร์ด จอห์นสโตน (Housebound) ที่ผันตัวมากำกับหนังใหญ่เป็นครั้งแรก

รีวิวหนัง M3gan หนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

เรื่องราวของ M3gan จะว่าด้วย เคดี้ (วีโอเลต แมคโกรว์) เด็กสาวที่ต้องสูญเสียพ่อและแม่ไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เธอต้องย้ายมาอาศัยอยู่กับ เจมม่า (อลิสสัน วิลเลียม) น้าสาวของเธอ ที่ทำงานเป็นนักพัฒนาของเล่นอัจฉริยะที่ใช้ระบบ AI ในการทำงาน ซึ่งหนึ่งในโปรเจกต์ล่าสุดของเธอคือการสร้างหุ่นยนต์เด็กผู้หญิงที่ชื่อว่า ‘เมแกน’ ขึ้นมา โดยเธอได้ทดลองให้ เมแกน ได้เป็นเพื่อนกับ เคดี้ เพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ แต่ทว่าเมื่อยิ่งสนิท เมแกนยิ่งเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ จนนำมาสู่โศกนาฎกรรมและความสยองที่ไม่มีใครคาดคิด

รีวิวหนัง M3gan หนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

แม้ว่าพลอตเรื่องและหน้าหนังของ M3gan จะชวนให้นึกถึง Chucky จากหนัง Child’s Play อยู่พอสมควร แต่เนื้อหาข้างในของ M3gan เรียกได้ว่าไปคนละทางอยู่พอสมควร โดยในเรื่องนี้หนังพยายามปรับตัวให้เป็นหนังสยองขวัญยุคใหม่ที่เล่นกับประเด็นของ AI เป็นจุดขาย หนังจะพาเราไปสำรวจการสร้างสิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน รวมถึงการเรียนรู้ของ AI ที่มีความฉลาดล้ำเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ 

หนังไม่ได้เน้นขายความระทึก หรือความสยดสยองเป็นจุดขายมากนัก แต่หนังจะเน้นขายไปที่พา์ทดราม่าเป็นส่วนใหญ่ โดยเนื้อหาจะโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่าง เคดี้ เจมม่า และเมแกน ที่ค่อยๆ มีพัฒนาการที่ชวนติดตามตลอดทั้งเรื่อง หนังสามารถสะท้อนความละมุนของเด็กหญิงได้อย่างงดงาม ก่อนจะค่อยๆ แผลงความน่ากลัวทีละน้อย จนทำให้ช่วงท้ายของหนังเต็มไปด้วยโมเมนต์ที่ชวนลุ้นแบบนั่งไม่ติดเก้าอี้ 

รีวิวหนังM3gan หนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

ด้านความโหดของหนังถือว่าไม่ได้โหดร้าย หรือสยดสยองมาก อาจมีฉากวิธีการตายที่น่ากลัวบ้าง แต่หนังก็เลี่ยงฉากการเห็นศพ หรือภาพที่ทารุณออกไป สิ่งที่สร้างความสยองให้หนังคือความเก่งกาจของเมแกน ทั้งความฉลาด และความสามารถ อึด ถึก ทน ที่เกินกว่ามนุษย์จะหยั่งถึง จนทำให้เมแกน เปรียบเสมือนปีศาจร้ายที่ทรงพลัง พร้อมทั้งชวนให้คนดูอยากติดตามว่าเหล่าตัวเอกของเรื่องจะปราบเมแกนได้อย่างไร

รีวิวหนังM3ganหนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

จุดด้อยของ M3gan คือการที่หนังยังเลือกเล่าเรื่องตามสูตรหนังระทึกขวัญสไตล์ Blumhouse และหนังเจมส์ วาน ที่คอหนังคุ้นเคย การเดินเรื่องสามารถเดาทิศทางได้ไม่ยาก ทั้งจังหวะการหลอก หรือการเดาทิศทางเนื้อหาของเรื่อง ที่ไม่ได้สร้างเซอร์ไพรส์ หรือความน่าจดจำมากนัก

โดยรวม M3gan คือหนังระทึกขวัญ ที่พยายามเล่นประเด็น AI ให้ออกมาสยดสยอง ซึ่งหนังถือว่าสอบผ่านในความเป็นหนังบันเทิง ที่เน้นดูสนุก สร้างความลุ้นระทึกได้พอสมควร แม้จะไม่ได้แปลกใหม่มาก แต่คอหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญน่าจะชื่นชอบไม่มากก็น้อย

สามารถรับชม M3gan ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes
ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/hym39__JBYQ

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Sick of Myself: หนังสยองขวัญ ตลกร้าย

รีวิวหนัง Sick of Myself: หนังสยองขวัญ ตลกร้าย

Sick of Myself คือผลงานหนังสยองขวัญอินดี้ สัญชาตินอร์เวย์ กำกับ และเขียนบทโดย คริสตอฟเฟอร์ บอร์กลี ที่ประเดิมหนังขนาดยาวเป็นเรื่องแรก โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ซิกเนอ หญิงสาวที่กำลังคบหากับ โธมัส ศิลปินหนุ่มที่ชีวิตกำลังไปได้ดีในสายอาชีพนี้ แต่ทว่าชื่อเสียง และความสำเร็จของโธมัส ก็ทำให้ ซิกเนอ เกิดความอิจฉา และน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนไม่ได้รับความสนใจจากผู้คน ทำให้เธอตัดสินใจสั่งยาขนาดแรงขนิดหนึ่งมากิน เพื่อให้เธอเกิดอาการผิวหนังพุพอง ซึ่งเธอเชื่อว่ามันจะทำให้ โธมัส กลับมาสนใจเธออีกครั้ง แต่ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่ออาการผิวหนัง และร่างกายของเธอกลับแย่ลงเรื่อยๆ จนนำมาสู่เหตุการณ์มากมายที่เธอไม่เคยคาดคิด

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนังสยองขวัญ แต่ Sick of Myself กลับเป็นหนังมีความเป็นดราม่า ตลกร้าย มากกว่า หนังไม่ได้โฟกัสไปที่ความน่ากลัวด้านรูปร่างหน้าตาของซิกเนอ เป็นแก่นของเรื่องทั้งหมด แต่จะเป็นการพูดถึงชีวิตของผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว และอยากให้ผู้คนสนใจเธอตลอดเวลา ซึ่งการกระทำของเธอในเรื่องก็นำมาสู่เหตุการณ์มากมายในหนัง 

แม้จะเป็นงานอินดี้ ที่เล่าเรียบง่าย ไม่ได้มีทุนสูง แต่ Sick of Myself กลับสามารถดำเนินเรื่องได้อย่างสนุก ตลอด 90 นาทีของหนังสามารถเล่าออกมาได้ชวนติดตาม ไม่ว่าจะเป็นมุกตลกร้ายที่หนังเล่าออกมาได้อย่างชวนขำ และการถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตัวละครที่เป็นธรรมชาติ รวมทั้งการนำเสนอที่ไม่ได้ลึกเกินไปจนถึงกับดูยาก ทำให้หนังเรื่องนี้เหมาะกับคนดูแทบทุกกลุ่ม ที่ชื่นชอบหนังดราม่า ตลกร้าย

ด้านความสยองขวัญ หนังมาพร้อมการออกแบบใบหน้าของตัวนางเอกที่มีความน่ากลัว มีความผิดรูป ที่มีเมคอัพสมจริง นอกจากนี้หนังยังค่อยๆ ถ่ายทอดอาการป่วยของตัวละครที่แย่ลงเรื่อยๆ แบบที่คนดูเห็นภาพชัดเจน ซึ่งในพาร์ทสยองขวัญนี้ หนังก็ได้แฝงแง่คิดที่สะท้อนให้เห็นถึงผลของการกระทำต่างๆ ได้อย่างแนบเนียน และชาญฉลาด

โดยรวม Sick of Myself คือหนังอินดี้ ฟอร์มเล็ก ที่ดูง่าย สนุกกว่าที่คิด หนังนำเสนอเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงที่ต้องการเป็นคนเด่น จนนำมาสู่เหตุการณ์ที่ชวนสยอง และมอบบทเรียนราคาแพง ใครที่ชอบหนังฟอร์มเล็ก แต่คุณภาพอัดแน่นขอแนะนำ

สามารถรับชม Sick of Myself ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวซีรีส์ One Piece season 1: งานดัดแปลงจากมังงะที่ทำออกมาได้ถูกใจแฟนบอยสุดๆ

รีวิวซีรีส์ One Piece season 1: งานดัดแปลงจากมังงะที่ทำออกมาได้ถูกใจแฟนบอยสุดๆ

One Piece คือหนึ่งในผลงานซีรีส์ Netflix ที่ปีนี้ผู้คนรอคอยมากที่สุด เพราะนี่คืองานที่ดัดแปลงมาจากมังงะสุดฮิตแห่งยุค ซึ่งตัวซีรีส์เวอร์ชันคนแสดงนี้ ก็ได้ เออิจิโระ โอดะ ผู้เขียนการ์ตูนเรื่องนี้มารับหน้าที่ดูแลงานสร้าง และเป็นซีรีส์ Netflix ที่ทุ่มทุนสร้างที่สูงที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง

เนื้อหาของ One Piece จะว่าด้วยยุคสมัยที่เต็มไปด้วยโจรสลัด ซึ่งทุกคนล้วนมีจุดหมายคือสมบัติวันพีช ที่ราชาโจรสลัดได้ทิ้งเอาไว้ มังดี้ ดี ลูฟี่ (อินากิ โกดอย) เด็กหนุ่มที่มีความฝันที่จะเดินทางสู่แกรนด์ไลน์ เพื่อเป็นราชาแห่งโจรสลัดคนต่อไป ที่ได้ออกเดินทางเพื่อรวบรวมลูกเรือ ซึ่งระหว่างทางเขาก็ได้พบกับเหล่าผองเพื่อนที่เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกโจรสลัดหมวกฟางร่วมกับเขา พร้อมทั้งเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูมากมาย ทั้งกลุ่มโจรสลัดด้วยกันเอง ไปจนถึงกองทัพเรือ จนนำมาสู่การผจญภัยสุดยิ่งใหญ่

One Piece เรียกได้ว่าเป็นงานไลฟ์แอ็คชัน ที่ดัดแปลงเนื้อหาจากการ์ตูนต้นฉบับ ที่สนุกลงตัว โดยซีรีส์เลือกที่จะเล่าเรื่องโดยไม่เดินตามมังงะแบบเป๊ะๆ แต่จะเป็นการตีความเรื่องราวแบบใหม่ ที่ทำให้เนื้อหาในพาร์ทแรกของเรื่องเหลือเพียง 8 ตอนเท่านั้น แต่จะไม่ทำลายเนื้อหาหลักใดๆ ของเวอร์ชันการ์ตูน

ความโดดเด่นแรกของซีรีส์เรื่องนี้คืองานโปรดักชัน ที่สามารถถ่ายทอดไอเดียดั้งเดิมจากหนังสือการ์ตูน ให้ออกมาเป็นภาพที่สมจริง มีการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะอีสเตอร์เอ้กที่ซ่อนไว้เต็มไปหมดตลอดการดำเนินเรื่อง นอกจากนี้สิ่งที่ซีรีส์ทำใด้ดีมากๆ คือฉากการต่อสู้ ที่ทำออกมาได้สนุก เร้าใจ มีฉากท่าไม้ตายชองตัวละครที่คงความเป็นต้นฉบับดั้งเดิมได้อย่างยอดเยี่ยม ราวกับว่าคนดูได้ดูซีรีส์ฮีโร่ แฟนตาซี แบบที่หนังฮอลีวูดยุคนี้ชอบทำ

ด้านงานบทของ One Piece เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ดี ตัวซีรีส์มีการปรับเนื้อหาของการผจญภัย เพื่อให้ไม่ยืดยาวจนเกินไป แม้ว่าจะมีตัวละครในเรื่องจะไม่ได้มีครบทุกคนตามที่หวัง แต่ทำให้การเล่าเรื่องแต่ละพาร์ทมีความกระชับมากขึ้น ทำให้คนดูได้เห็นเนื้อหาที่ไม่เหมือนต้นฉบับ ยิ่งการพูดถึงเรื่องความฝัน การต้นหาตัวตน และมิตรภาพ ซึ่งหลายฉากก็ยังสามารถทำเอาคนดูน้ำตารื้อได้ไม่มากก็น้อย

ในด้านข้อเสียของซีรีส์ คือการเคารพต้นฉบับจนเกินไป ทำให้คอสตูมของแต่ตัวละครออกมาดูเหมือนฉบับการ์ตูน จนทำให้หลายตัวละคร ออกมาดูคอสเพลย์ จนบางตัวละครดูตลก และดูฝืนที่จะทำจนเกินไป นอกจากนี้เพื่อให้ซีรีส์มีความยาวเพียง 8 ตอน แต่ยังต้องตัดทอนเนื้อหาของบางตัวละคร จนทำให้เสน่ห์แบบที่มีในต้นฉบับหายไปพอสมควร 

แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นเป็นซีรีส์ไลฟ์แอ็คชันที่ดีที่สุด แต่ One Piece ก็ถือว่าเป็นงานดัดแปลงที่ทำได้คุ้มค่าการรอคอย ไม่ว่าจะเป็นการเคารพต้นฉบับที่สร้างความตื่นตา ตื่นใจให้ทั้งคนที่เป็นแฟนบอย และคนที่ไม่เคยดูเรื่องนี้สามารถเพลิดเพลิน และเอนจอยไปกับเนื้อเรื่องได้ และเชื่อว่านี่จะเป็นซีรีส์ขนาดยาวของ Netflix ที่จะมีให้ได้ชมกันไปอีกหลายซีซั่นไปอีกต่อจากนี้

สามารถรับชมซีรีส์ One Piece season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Heart of Stone: หนังแอ็คชันสายลับสูตรสำเร็จ

รีวิวหนัง Heart of Stone: หนังแอ็คชันสายลับสูตรสำเร็จ

Heart of Stone คือหนังแอ็คชัน สายลับ เรื่องล่าสุดจาก Netflix ผลงานการกำกับโดย ทอม ฮาร์เปอร์ (The Aeronauts) พร้อมได้ทีมนักแสดงชั้นแนวหน้ามาร่วมแสดงนำ ไม่ว่าจะเป็น กัล กาดอท (Wonder Woman), เจมี่ ดอร์แมน (Fifty Shades of Grey), อาเลีย บาตต์ (RRR) และ มาธิอัส ชเวกโฮเฟอร์ (Army of the Dead)

เรื่องราวของ Heart of Stone จะว่าด้วย ราเขล สโตน (กัล กาดอท) สายลัยสาวจากหน่วยงานลับ ที่ได้ส่งเธอเข้าไปแฝงตัวในทีมสายลับของ MI6 อีกที เพื่อช่วยเหลือในการทำภารกิจ แต่ทว่าในภารกิจหนึ่ง ราเชล ได้พบถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง จนทำมาสู่การค้นพบความจริงว่า ได้มีกลุ่มผู้ร้ายที่หวังขโมยเทคโนโลยี AI ที่องค์กรของเธอใช้ และนำไปใช้ในการทำลายโลก ราเชล เลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดแผนการร้ายนี้

มองภาพรวม Heart of Stone แทบไม่ต่างอะไรจากหนังสายลับยุคนี้ ที่พยายามเล่ยประเด็นเรื่องของ AI ที่ได้กลายเป็นอาวุธอันทรงพลัง นอกจากนี้หนังยังมีการเล่นกับธีมความเป็นหนังสายลับ ที่มีการหักเหลี่ยม การแฝงตัว เพื่อสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู ส่วนที่น่าจะทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์โดดเด่นขึ้นมาบ้างคือการเลือกให้ตัวละครหญิงเป็นตัวเอกของเรื่อง

ความโดดเด่นของหนังคือฉากแอ็คชัน เป็นอีกครั้งที่ Netflix พยายามเล่นท่ายากด้วยการผสมผสานลูกเล่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเป็นตัวช่วยในกาทำภารกิจ มีการใช้มุมมองบุคคลที่ 1 มาเพิ่มอรรถรส เหมือนว่าคนดูกำลังเล่นเกมอยู่ นอกจากนี้หนังยังมีสเกลฉากแอ็คชันอลังการ ทั้งฉากขับรถไล่ล่า ฉากระเบิด ที่คอหนังแอ็คชันน่าจะเอนจอย และเพลิดเพลินกับหนังได้ไม่น้อย

ด้านเนื้อเรื่องของหนัง แทบไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือต่างจากหนังสายลับเรื่องอื่นๆ ตัวหนังเดินเรื่องตามสูตรที่เรียบง่าย คนดูพอสามารถเดาเนื้อหาได้ แม้ว่าหนังจะมีฉากหักมุม และเซอร์ไพรส์ซ่อนอยู่ แต่ก็ไม่ได้สร้างความแปลกใหม่ใดๆ ให้กับคนดูได้ โดยเฉพาะด้านเสน่ห์ของตัวละครในเรื่องที่ขาดหาย ทั้งนางเอก ไปจนถึงตัวร้าย ที่ไม่ได้มีจุดหมาย หรืออุดมการณ์ใดๆ ใ้ห้เราเชื่อ และอยากเอาใจช่วย

ด้าน กัล กาดอท ที่รับบทเป็นสายลับสาว ก็นับว่าเป็นอีกบทบาทที่สามารถขายความสวย เท่ของเธอได้เป็นอย่างดี ตัวหนังพยายามขายบทบาทของเธอให้เหมือน วันเดอร์ วูแมน ฉบับสายลับ ดังนั้นภาพของตัวละคร ราเชล ในเรื่องนี้ ไม่ต่างจากหนังฮีโร่ ที่เน้นความของผู้หญิงเป็นหลัก

โดยรวม Heart of Stone คืองานฟอร์มยักษ์จาก Netflix ที่ตอบโจทย์ในฐานะการดูเอาบันเทิง เอาความมันส์ แบบที่ไม่ต้องหวังความแปลกใหม่ใดๆ และมีการทิ้งประเด็นเพื่อมีโอกาสว่าในอนาคต หนังชุดนี้อาจมีภาคต่อๆ ไป ให้คอหนังได้ติดตามก็เป็นได้

สามารถรับชม Heart of Stone ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem: อีกหนึ่งอนิเมชันน้ำดีแห่งปี 2023 เป็นการหยิบเรื่องราวนินจาเต่า มาเล่าได้อย่างสนุกสนาน และเปี่ยมด้วยหัวจิตหัวใจ งานภาพสวยงามสะกดสายตาสุดๆ

รีวิวหนัง Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem: อีกหนึ่งอนิเมชันน้ำดีแห่งปี 2023 เป็นการหยิบเรื่องราวนินจาเต่า มาเล่าได้อย่างสนุกสนาน และเปี่ยมด้วยหัวจิตหัวใจ งานภาพสวยงามสะกดสายตาสุดๆ

นินจาเต่า หรือ Teenage Mutant Ninja Turtles คือหนึ่งในอนิเมชันสุดโด่งดัง ที่ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมาได้มีการพยายามนำการ์ตูนเรื่องนี้มาสร้างเป็นหนังมาหลายครั้ง ทั้งภาพยนตร์อนิเมชัน และไลฟ์แอ็คชัน แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีเท่าไหร่นัก จนกระทั่งล่าสุดได้มีการนำเต๋านินจา มาสร้างเป็นหนังอีกครั้งในรูปแบบอนิเมชัน ผลงานการกำกับโดย ไคเลอร์ โรว์ (The Mitchells vs the Machines) และ ไคเลอร์ สเปียร์ (ซีรีสื Amphibia) ร่วมเขียนบทโดย เซธ โลแกน และ อีแวน โกลด์เบิร์ก (Sausage Party)

Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem จะว่าด้วยเรื่องราวของเหล่าแก๊งนินจาเต๋า ที่ประกอบไปด้วย ลีโอนาร์โด, ราฟาเอล, ไมเคิลแองเจโร และ โดนาเทลโล ที่พวกเขาคือเต๋าที่ได้รับสารเคมี ที่ทำให้ร่างกายของพวกเขามีวิวัฒนาการเหมือนมนุษย์ โดยทั้ง 4 ได้รับการเลี้ยงดูโดย สปรินเตอร์ หนูท่อที่ได้ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ให้เต่าทั้ง 4 เพื่อเอาชีวิตรอดจากมนุษย์ และซ่อนตัวอยู่ในท่อเท่านั้น

จนกระทั่งในวันที่ทั้ง 4 เริ่มเติบโต และอยากรู้อยากเห็นโลกภายนอก ทำให้พวกเขาพยายามแหกกฎของสปรินเตอร์ ด้วยการร่วมมือกับ โอนีล สาวน้อยที่อยากเป็นนักข่าว ในการตามล่า ซุปเปอร์ฟลาย แมลงวันที่ได้กลายร่างเป็นวายร้ายที่หวังทำร้ายโลกมนุษย์ เหล่าทีมนินจาเต๋า เลยหวังที่จะปราบซุปเปอร์ฟลาย เพื่อหวังเป็นฮีโร่ในสายตามนุษย์ เรื่องราวการผจญภัย และการเติบโต ก็ได้เริ่มขึ้น

หนัง Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem จะไม่ได้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของนินจาเต๋า แต่จะเป็นการหยิบเนื้อหาของนินจาเต๋า ในอีกมุมหนึ่ง โดยหนังมีส่วนผสมของความเป็นหนัง Coming of age และหนังฮีโร่ ด้วยการพูดถึงเหล่าเต๋านินจา ที่อยากเติบโต และสอดแทรกด้วยเรื่องราวของมิตรภาพของผองเพื่อน

ตัวงานภาพของหนังเรียกได้ว่าเป็นจุดโดดเด่นมากๆ ด้วยการใช้ภาพ 2D ผสม 3D ที่เป็นเทคนิคเดียวกับที่ Spider-Man: Into the Spider-Verse เลือกใช้ ทำให้ภาพของหนังได้สีสันที่สด มีลูกเล่น และการเคลื่อนไหวที่ดูลื่นไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากแอ็คชัน ที่สามารถเล่นใหญ่ จัดเต็ม ดูแล้วเพลิดเพลิน จนแทบละสายตาไม่ได้

ในด้านบทหนังเองก็ทำได้ยอดเยี่ยม ด้วยการผสมผสานความเป็นดราม่า คอเมดี้ และแอ็คชันที่ลงตัว โดยเฉพาะมุกตลกในหนังที่มีการล้อเลียนอนิเมะชื่อดังของญี่ปุ่น โดยเฉพาะ Attact on Titans รวมถึงบรรดาฮีโร่จาก Marvel และ DC ที่หากใครเป็นเนิร์ดหนัง เนิร์ดการ์ตูนอาจเพลิดเพลินกับหนังชุดนี้ไม่น้อย ในขณะที่พาร์ทดราม่าของหนังก็สามารถทำหน้าที่กับคนดูได้ดี มีการถ่ายทอดมิตรภาพของแก๊งเต๋านินจา ที่ซาบซึ้ง กินใจคนดูได้ไม่น้อย

โดยรวม Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem คือการถ่ายทอดเรื่องราวเต๋านินจา ในรูปแบบหนังใหญ่ ที่ทำออกมาได้สนุก ครบรส ทั้งดราม่า ตลก และแอ็คชัน รวมถึงงานภาพที่ทำออกมาได้สวยงามโดดเด่น เรียกได้ว่าเป็นอนิเมชันที่แฟนเต๋านินจาไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem เข้าฉาย 31 สิงหาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆากรรมอิหยังวะ: หนังสืบสวนไทยน้ำดี

รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆากรรมอิหยังวะ: หนังสืบสวนไทยน้ำดี

หนังไทยเรื่องล่าสุด ที่เป็นผลงานการร่วมสร้างระหว่าง Netflix และ Transformation Film ที่ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง (เปนชู้กับผี) มารับหน้าที่กำกับ ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของสตรีมดังที่พูดภาษาอีสาน เกือบตลอดทั้งเรื่อง

ฆาตกรรมอิหยังวะ จะว่าด้วยเรื่องราวของ ทราย (อิษยา ฮอสุวรรณ) สาวขาวอีสานที่ได้พา เอิร์ล (เจมส์ เลเวอร์) สามีชาวอังกฤษ เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดที่หมู่บ้านเล็กในภาคอีสาน ซึ่งในค่ำคืนนั้นเองก็ได้เกิดโศกนาฎกรรมขึ้น จนมีคนตายถึงm 7 ศพ ทำให้ ณวัฒน์ (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) สารวัตรหัวร้อน ผู้เชื่อวว่า เอิร์ล คือคนลงมือฆาตกรรมทั้ง 7 ราย ทำการสอบสวนผู้ต้องสงสัยทุกคนในคืนนั้น จนนำมาสู่การพบความจริงที่สุดแสนจะวายป่วง และเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝัน

หนังมาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ นักในหนังไทย ไม่ว่าจะเป็นความเป็นหนังสืบสวนสอบสวน ผสมความเป็นดาร์กคอเมดี้ นอกจากนี้ยังเป็นงานของ วิศิษฏ์ เลือกกลับมาใช้เทคนิคการทำหนังที่ใช้โทนสีโดดเด่น สะดุดตา ให้อารมณ์เหมือนหลุดเข้าไปในโลกของความฝัน แบบเดียวกับที่เคยทำใน ฟ้าทะลายโจร และหมานคร ซึ่งพอองค์ประกอบเหล่านี้มาอยู่ร่วมกับมันทำให้ได้หนังไทยที่สีสันพลอตเรื่องแปลกตา

ตัวหนังเล่าในรูปแบบหนังสืบสวน ที่เปิดเรื่องมาด้วยปมปริศนา และเล่าตัดสลับระหว่างไทม์ไลน์ปัจจุบัน ที่เป็นการสอบสวนของ สารวัตรณวัฒน์ และไทม์ไลน์คืนเกิดเหตุ ความสนุกของหนังคือการเล่าเรื่องที่ให้คนดูค่อยๆ ประกอบจิ๊กซอว์ และต่อเติมเรื่องราวทั้งหมดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ระหว่างทางมีการสับขาหลอกไปมาให้คาดเดาไม่ได้ ซึ่งหนังสามารถสร้างเซอร์ไพรส์ให้คนดูได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพาร์ทเฉลยเหตุการณ์ทั้งหมด ที่ทำเอาเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง

ด้านความตลก หนังทำออกมาได้มีสีสันไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตัวละครของ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา หรือหม่ำ จ๊กมก ที่เป็นตัวละครที่สำคัญ ที่ช่วยให้หนังเดินหน้าได้อย่างสนุกสนาน สร้างเสียงหัวเราะ และความตื่นเต้นกดดันให้คนดูได้เป็นอย่างดี ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ก็สามารถสร้างความตลกให้หนังได้ไม่แพ้กัน เช่น ตัวละครของ สุนารี ราชสีมา และ สวนีย์ อุทุมมา ที่เป็นสองตัวละครหญิงที่แม้บทจะไม่เยอะ แต่โอเวอร์แอคติ้งของทั้งคู่ก็ทำให้คนดูได้ขำเป็นระยะๆ

นอกจากพาร์ทตลกที่ทำออกมาได้ดีมากแล้ว พาร์ทดราม่า และนัยยะที่หนังแฝงไว้ ก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน หนังสอดแทรกเรื่องราวของการเหมารวม หรือการเหยียดชาติพันธุ์ การแบ่งแยกความเป็นคนนอก คนใน ผ่านทัศนคติ และมุมมองที่ตัวละครมีต่อ เอิร์ล หรือคนต่างชาติ ที่หนังเล่าประเด็นนี้ได้อย่างทรงพลัง

โดยรวม เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ คือหนังสืบสวนไทยน้ำดี ที่นานทีปีหนจะมีมาให้ได้ดู หนังเต็มไปด้วยสีสันที่จัดจ้าน ผสมผสานระหว่างความบันเทิง ดาร์กคอเมดี้ และความระทึกขวัญได้อย่างลงตัว ใครที่อยากดูนหนังไทย บริบท อกาธา คริสตี้ เรื่องนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Oppenhiemer: งานท้อปฟอร์มจากคริสโตเฟอร์ โนแลน นำเสนอชีวประวัติได้ เข้มข้น

รีวิวหนัง Oppenhiemer: งานท้อปฟอร์มจากคริสโตเฟอร์ โนแลน นำเสนอชีวประวัติได้ เข้มข้น

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดจากสุดยอดผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (The Dark Knight) ที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาสร้างหนังชีวประวัต โดยเป็นเรื่องราวของ เจ โรเบิร์ต บิดาแห่งระเบิดนิวเคลียร์ ที่โด่งดังในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยหนังได้คิลเลียน เมอร์ฟี่ (ซีรีส์ Peaky Blinders) พร้อมสมทบด้วยทีมนักแสดงมากฝีมือจากฮอลลีวูดมากมายไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต ดาวน์นีย์ จูเนียร์ (Avengers Endgame), ฟลอเรนซ์ พิวจ์ (Midsommar), เอมิลี่ บรันท์ (A Quiet Place) และ แมตต์ เดม่อน (Air)

เรื่องราวของ Oppenhiemer จะพูดถึงช่วงชีวิตของ ออพเพนไฮเมอร์ (คิลเลียน เมอร์ฟี่) ตั้งแต่ในช่วงที่เขาเริ่มเป็นนักศึกษาฟิสิกส์ และได้โอกาสในการร่วมโครงการแมนฮัตตัน ที่เป็นปฎิบัติการณ์สร้างระเบิดนิวเคลียร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้หนังยังตัดสลับกับเรื่องราวในช่วงที่ ออพเพนไฮเมอร์ขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีที่เขาถูกสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์

Oppenhiemer ค่อนข้างเป็นหนังที่ฉีกกรอบจากความเป็นหนังโนแลนที่คุ้นเคย จากที่เล่าเรื่องแนวภารกิจ ปฎิบัติการ อาชญากรรม แต่ในเรื่องนี้หนังเน้นพูดถึงชีวิตของคนๆ หนึ่ง ที่มีทั้งความเป็นหนังเนิร์ดวิทยาศาสตร์ มีการพูดถึงศัพท์วิชาการที่เข้าใจยาก และในอีกพาร์ท หนังก็พูดถึงบาดแผล และความรู้สึกผิดของตัวละครด้วยเช่นกัน

แม้หนังจะเน้นคุยตลอด 3 ชั่วโมง แต่โนแลน ก็ยังสามารถเอาคนดูได้อยู่หมัด ด้วยวิธีการตัดต่อที่ดุเดือด ไม่มีจังหวะเนิบช้า หรือให้คนดูได้พัก นอกจากนี้หนังยังเลือกตัดสลับสองเส้นเรื่อง สองช่วงเวลา ที่มีอรรถรสที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่พาร์ทแรกหนังเน้นวิทยาศาสตร์ แต่ครึ่งหลังของหนังเต็มไปด้วยการเล่าเรื่อง และบทสนทนาที่มีชั้นเชิง เหนือความคาดหมาย

ในด้านฉากระเบิด ที่เป็นไฮไลท์ของเรื่อง เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ที่ควรชมให้ได้อรรถรสในโรงภาพยนตร์ IMAX เท่านั้น เพราะด้วยเสียง และภาพที่โนแลน ได้ทำให้ผู้ชมเหมือนหลุดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ที่มีทั้งแสง สี เสียงที่สมจริง แบบที่การดูในโฮมเธียเตอร์ ไม่สามารถทำได้

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม คิลเลี่ยน เมอร์ฟี่ ที่ได้เฉิดฉายในบทพระเอกหนังใหญ่เป็นครั้งแรก ซึ่งเขาก็ได้ถ่านยทอดอารมณ์ของตัว ออพเพนไฮเมอร์ ออกมาได้อย่างมีมิติ เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดของตัวละคร และอีกหนึ่งบทบาทที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ โรเบิร์ต ดาวน์นีย์ จูเนียร์ ในบท ลูอิส เสตราส์ ที่เป็นบทสมทบที่สร้างสีสันที่ยอดเยี่ยม และทรงพลังให้หนังเรื่องนี้ไม่น้อย จนทำให้พอคาดเดาได้ว่า ทั้ง เมอร์ฟี่ และดาวน์นีย์ จะได้ชิงรางวัลสาขานักแสดงนำและสมทบในออสการ์ปีหน้า

Oppenhiemer คืออีกหนึ่งงานที่น่าจดจำของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่โดดเด่นทั้งในด้านเทคนิคการสร้าง บทภาพยนต์ และการแสดง เป็นหนังที่มอบ Cinema Experience ที่ยอดเยี่ยม ที่คอหนังไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Oppenhiemer ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์​

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Barbie: งานจากเกรตา เกอร์วิก ที่ขายธีมความเป็นผู้หญิงได้จัดหนักจัดเต็มมาก

รีวิวหนัง Barbie: งานจากเกรตา เกอร์วิก ที่ขายธีมความเป็นผู้หญิงได้จัดหนักจัดเต็มมาก

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของผู้กำกับหญิงมากฝีมือแห่งยุค เกรตา เกอร์วิก (Little Woman) ที่ครั้งนี้เป็นงานที่แมสที่สุดของเธอ ด้วยการดัดแปลงของเล่นผู้หญิงอันโด่งดังตลอดกาลอย่าง บาร์บี้ มาสร้างสรรค์เป็นฉบับไลฟ์แอ็คชัน ที่ได้นักแสดงมากฝีมือมารับบทนำ นำทีมโดย มาร์โก้ ร็อบบี้ (The Suicide Squad), ไรอัน กอสลิง (The Gray Man), เอมม่า แมคคีย์ (ซีรีส์ Sex Education), ซือมู หลิว(Shang-Chi and the Ten Rings) และ วิล ฟาร์เรล (The Shrink Next Door)

เรื่องราวของ Barbie จะว่าด้วยดินแดนสีชมพู ที่อุดมไปด้วยบาร์บี้ และเคน ตุ๊กตาที่ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข เต็มไปด้วยปาร์ตี้ การสังสรรค์ จนกระทั่งวันหนึ่ง หนึ่งใน บาร์บี้ (มาร์โก้ ร็อบบี้) ได้เกิดความคิดถึงเรื่องความตาย จนทำให้ร่างกายของเธอเกิดความผิดปกติ และขาดความร่าเริงสดใสเหมือนก่อน ทำให้เธอ และเคน (ไรอัน กอสลิง) ต้องเดินทางไปยังโลกมนุษย์ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเธอผิดปกติ จนนำมาสู่การผจญภัยสุดมหัศจรรย์ ที่ทั้งสนุก เข้มข้น และเต็มไปด้วยความวายป่วง

Barbie เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ขายธีมของตัวเองได้อย่างแข็งแรง ตั้งแต่การทำการตลาด ไปจนถึงตัวหนัง โดยจุดแรกคือสีชมพู ที่หนังใช้เป็นจุดขายหลัก ตลอดทั้งเรื่องผู้ชมจะได้เห็นความเป็นสีชมพูอยู่ในแทบทุกอย่างของหนัง บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงได้เป็นอย่างดี ส่วนต่อมาคือความสดใสของหนัง ที่เต็มไปด้วยตัวละครที่ร่าเริง สดใส โทนหนังมีความเป็นคอเมดี้ที่ชัดเจน แบบที่คนดูจะเพลิดเพลินไปกับตลอด 2 ขั่วโมงของหนัง

แต่ถึงแม้ว่าหน้าหนังจะเต็มไปด้วยความสดใส ทว่าเนื้อในของหนังของหนังกลับมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านั้น โดยภายใต้ความบันเทิง สนุกสนานของ Barbie สอดแทรกไปด้วยประเด็นดราม่าที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงการค้นหาความเป็นตัวเอง การพูดถึงชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต และที่เหนือกว่านั้นคือประเด็นการเมือง ที่หนังพูดถึงสังคมการปกครองชายเป็นใหญ่ ความขัดแย้งระหว่างผู้ชาย และผู้หญิง

อีกหนึ่งจุดแข็งของหนังคือความตลก ความบันเทิงของหนังที่ใส่มาแบบเต็มเปี่ยม หนังมีมุกล้อเลียนหนังดังๆ สอดแทรกไว้มากมาย รวมถึงการเล่นมุกตลกแบบโอเวอร์แอ็คติ้ง ที่ทำหน้าที่กับคนดูได้ดีแทบทุกฉาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงของ ไรอัน กอสลิง ที่ถ่ายทอดบทเคน ได้รั่ว หลุดโลก สลัดภาพจำจากบทดาร์กๆ ที่ผ่านมาของเขาโดยสิ้นเชิง

ส่วนด้านการแสดงของ มาร์โก้ ร็อบบี้ ก็สามารถมอบหนึ่งในบทบาทที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตการแสดงของเธอ ร็อบบี้ ถ่ายทอดความเป็นบาร์บี้ได้อย่างน่ารัก สดใส สลัดภาพ ฮาร์ลีย์ ควินน์ โดยสิ้นเขิง โดยเฉพาะพาร์ทดราม่า ที่เธอถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนทำเอาคนดูรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้

โดยรวม Barbie เป็นงานที่ผสมผสานความตลก และสาระ ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะธีมหนังที่เต็มไปด้วยสีชมพู และความเป็นผู้หญิง ที่สาวกบารบี้จะต้องหลงรัก ส่วนใครที่ไม่ใช่แฟนบาร์บี้ ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาของหนังได้เช่นกัน

สามารถรับชม Barbie ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Warner Bros.

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง