รีวิวหนัง Cinderella: ตำนานความรักรองเท้าแก้ว

cinderella

เวอร์ชั่นใหม่ ที่เน้นมิวสิคคัล เล่าเรื่องร่วมสมัย และจัดเต็มด้วยเพลงเพราะตลอดทั้งเรื่อง แต่กลับแป้กในด้านบท และความแปลกใหม่โดยสิ้นเชิง

นิทานปรัมปราคลาสสิก เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบยอดนิยมสำหรับฮอลีวูดที่มักจะหยิบมาสร้างเป็นหนัง ไม่ว่าจะเป็น Snow White, Hanzel & Gretel ล่าสุด Cinderella ก็ได้ถูกหยิบมาสร้างเป็นหนังอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อปี 2015 พึ่งมีเวอร์ชั่นของ Walt’s Disney ไป โดยครั้งนี้เป็นผลงานสร้างของ Sony Pictures ที่ได้ฉายลงบนสตรีมดังอย่าง Amazon Prime

ตัวเนื้อหาในเวอร์ชั่นนี้ก็ไม่ได้ต่างจากฉบับดั้งเดิม คือยังเป็นการพูดถึง เอลล่า หรือซินเดอเรลล่า (รับบทโดย คามิเลีย คาเบลโล) หญิงสาวกำพร้าที่ต้องอาศัยอยู่ในบ้านของแม่เลี้ยงใจร้าย วันหนึ่งพระราชาของเมือง(เพียช บอชแนน) ได้ประกาศที่จะจัดงานเต้นรำเพื่อคัดเลือกหญิงสาวที่จะมาเป็นคู่ครองของเจ้าชายเพื่อสืบราชวงศ์ต่อไป ด้าน เอลล่า ที่ได้พบกับเจ้าชายที่ปลอมตัวโดยบังเอิญ และได้ถูกเชิญไปยังงานเต้นรำ จนนำมาสู่เรื่องราวความรักสุดโรแมนติก

ตัวหนังในเวอร์ชั่นนี้ ได้มีการปรับเนื้อหา การนำเสนอ ให้มีความร่วมสมัยมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นคาแรคเตอร์ของ เอลล่า และเจ้าชายที่มีความเป็นวัยรุ่นแบบยุคนี้ รวมถึงเพลงประกอบที่มีการนำเพลงป้อป ที่โด่งดังในอดีต และเพลงป้อปปัจจุบันมาทำการคัฟเวอร์ใหม่ ในรูปแบบมิวสิคคัล ด้านโปรดักชั่น อาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการหากเทียบกับของ Disney แต่ความพิเศษของเวอร์ชั่นนี้คือการนำเสนอแบบมิวสิควีดีโอ ที่จะเน้นความสวยงามในด้านบรรยากาศ และตัวนักแสดง เรียกได้ว่าใครที่ชอบเพลงป้อปสากล ดูเรื่องนี้น่าจะเพลิดเพลินไม่น้อย

แต่กระนั้น นอกเหนือจากส่วนที่กล่าวไป หนังเรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากพอสมควร ในส่วนที่เห็นได้ชัดคือการพยายามทำให้ตัวเองเป็นมิวสิคคัลเกินไป จนลืมสนใจบทของหนัง ทำให้หนังที่เต็มไปด้วยเพลงเพราะ แต่ตัวละครกลับไร้มิติ และน้ำหนัดของการกระทำ หลาย ๆ ช่วงที่เป็น Conflict (ความขัดแย้ง) ของเรื่อง หนังก็ใช้เพลงแทรกในการเล่าเรื่อง ก่อนที่สุดท้ายปมเหล่านั้นก็ถูกเคลียร์ลงอย่างง่ายดาย ไร้เหตุผล

นอกจากนี้ หากย้อนดูเวอร์ชั่นของ Disney ที่ว่าโลกสวยแล้ว ในเวอร์ชั่นนี้กลับโลกสวยยิ่งกว่า ตัวละครทุกตัวในเรื่องมีความใจดี ความเอ็นดู รวมทั้งด้านอุปสรรคของตัวละคร ก็ดูแทบจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ทุกอย่างคลี่คลายได้โดยง่ายจนไม่สมเหตุสมผล จนหนังแทบจะไร้แก่นสารใด ๆ นอกไปจากการร้องเพลง

ด้านการแสดงของ คามิลา คาเบลโล ที่ประเดิมงานแสดงครั้งแรก ก็ถ่ายทอดบทบาทออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แม้ว่าเธอจะสามารถนำเสนอความน่ารัก สดใส ของเอลล่า ออกมาได้มีชีวิตชีวา และมีเสียงร้องที่ไพเราะมาก ๆ ก็ตาม ในด้านด้านพาร์ทอารมณ์ เธอกลับถ่ายทอดออกมาดูประดิษฐ์เกินไป จนไม่เป็นธรรมชาติ ในขณะที่บทของ เพียช บอชแนน ที่ดูน่าจะมืออาชีพสุดในเรื่อง หนังก็ให้พื้นที่ของตัวละครนี้เพียงน้อยนิด พร้อมทั้งยังไม่สามารถใช้ความสามารถด้านการแสดงของ บอชแนน ได้เต็มที่ เลยเป็นอีกส่วนที่ดูแล้วเสียดายของมาก ๆ ในหนังเรื่องนี้

โดยรวม Cinderella เวอร์ชั่น 2021 เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือแตกต่างไปจากเวอร์ชั่นก่อน ๆ สิ่งเดียวที่หนังทำได้ดีคือการรวมคนเสียงดี และคณะนักร้องประสานเสียง มาทำหน้าที่ขับร้องเพลงในเรื่อง (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงที่เราคุ้นหู) มาคัฟเวอร์ เพิ่มความไพเราะขึ้นกว่าเดิม แต่ในด้านคุณค่า หรือเนื้อหาสาระกลับแทบไม่มีอะไรให้น่าค้นหา

สามารถรับชม Cinderella ได้แล้ววันนี้ที่ Amazon Prime

Cr.ภาพ : Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง The Voyeurs : หนังสไตล์ Rear Windows

The Voyeurs หนังสไตล์ Rear Windows

ที่มาพร้อมความแรงแบบติดเรท พร้อมทั้งนำเสนอเรื่องความรัก และเซ็กซ์ออกมาได้ชวนติดตาม การแสดงของ ซิดนีย์ สวีย์นี่ เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าจดจำที่สุด

The Voyeurs หนังดราม่า ระทึกขวัญ เรื่องล่าสุดจาก Amazon Prime ผลงานการกำกับ และเขียนบทของ ไมเคิล โมฮาน (ซีรีส์ Everything Sucks!) โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ฟิปป้า (ซิดนีย์ สวีย์นี่) และ โธมัส (จัสติค สมิธ) สองคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ที่ได้ย้ายมาอาศัยในอพาร์ทเมนต์กลางเมืองใหญ่ แต่หลังจากที่ย้ายเข้ามาอาศัยได้ไม่นาน ทั้งคู่ก็ได้มองหน้าต่างห้อง และได้พบกับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม ที่เป็นช่างภาพถ่ายแบบ กำลังมีเซ็กซ์กันอย่างเร่าร้อน จากนั้นทั้ง ฟิปป้า และ โธมัส ก็เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ทำให้ทั้งคู่ทำการถลำลึกการแอบส่องเพื่อนบ้าน จนมันได้นำมาสู่โศกนาฎกรรมที่ไม่มีวันลืม

หากยังจำกันได้ เมื่อต้นปีได้มีหนังระทึกขวัญอย่าง The Woman in the Window เข้าฉายบน Netflix ไป ซึ่งสำหรับ The Voyeurs ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่มาในทิศทางเดียวกันคือ ทั้งสองเรื่องต่างทำมาเพื่อเคารพหนังในตำนานอย่าง Rear Windows ของ อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก โดยใน The Voyeurs หนังค่อนข้างมีความใกล้เคียงกว่า ด้วยการที่ตลอดทั้งเรื่องของหนัง มันว่าด้วยเรื่องการแอบส่องเพื่อนบ้าน แบบเน้น ๆ ซึ่งหนังก็ได้ทำหน้าที่ในการพาคนดูไปร่วมแอบมองเพื่อนบ้านไปกับตัวละคร แต่จะมีการเปลี่ยนประเด็นจากที่เดิมทีใน Rear Windows พูดถึงเรื่องการฆาตกรรม แต่ในเรื่องนี้กลับเล่าเรื่องเซ็กซ์ และความสัมพันธ์แบบคู่รักแทน

หนังใช้เวลาช่วงต้นเรื่องในการปูเรื่องถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร พร้อม ๆ กับการพาตัวละคร และคนดู ค่อย ๆ ไปร่วมส่องเพื่อนบ้าน ความสนุกของมันคือการถลำลึกของตัวละคร ที่แทบจะคาดเดาไม่ได้ว่ามันจะไปสิ้นสุดเมื่อไหร่ หรือแบบไหน เพราะหนังได้สร้างเงื่อนไข และเหตุผลการส่องเพื่อนบ้านในเรื่องนี้คือการสร้างความบันเทิง และความสุขให้ตัวเองจนกลายเป็นการเสพติด และความบันเทิงของหนังก็คือการที่มันได้สร้างสถานการณ์ที่ทดสอบศีลธรรมแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มาให้ได้ลุ้น ได้ระทึกเป็นระยะ ๆ จนทำให้หนังไม่น่าเบื่อเกินไป พร้อมทั้งยังมีการสับขาหลอกในช่วงท้าย ที่ทั้งพีค และเกินจะคาดเดาไว้อีกด้วย

นอกจากความบันเทิงจากการแอบส่องที่ชวนระทึกแล้ว อีกจุดขายของ The Voyeurs คือฉากเลิฟซีน ที่ทำออกมาได้แซ่บ ไม่แพ้หนังอีโรติค โดยฉากเลิฟซีนในเรื่องนี้ ต่างก็ทำหน้าที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตัวละครในเรื่องด้วยเช่นกัน โดยหนังพยายามพูดเปรียบเปรยถึงความสำคัญระหว่างเซ็กซ์และความรัก ที่มันนำพามาสู่เรื่องราวทั้งหมดในเรื่องนี้ ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมการแสดงของ ซิดนีย์ สวีย์นี่ (ซีรีส์ Euphoria) ที่เธอสามารถแบกหนังไว้ ในเรื่องนี้ สวีย์นีย์ ได้เล่นบทเลิฟซีนที่แรงที่สุด เช่นเดียวกับพาร์ทดราม่า ที่เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

ในส่วนของข้อเสียของ The Voyeurs คือการที่หนังไปเสียเวลากับส่วนที่ไม่จำเป็นในช่วงต้นเรื่อง และกลางเรื่อง ทำให้บางช่วงของหนังดูย้วย ดูเนือย และมันได้ส่งผลให้ช่วงท้ายที่ควรจะเป็นช่วงพีคของเรื่อง ทำออกมาได้ไม่สุดเท่าที่ควร นอกจากนี้ด้านมิติ และความสมเหตุสมผลบางอย่างของหนังก็ยังดูเบาบาง ขาดน้ำหนัก

The Voyeurs ยังถือว่าเป็นหนังที่พยายามทำมาเพื่อเคารพ Rear Windows ที่อาจทำออกมาไม่ถึงขั้น เมื่อเทียบกับต้นฉบับ แต่ก็ถือว่านี่เป็นหนังที่สามารถเล่นกับการแอบส่องเพื่อนบ้าน ออกมาได้สนุก มีรสชาติมากกว่า The Woman in the Window กว่าหลายเท่า โดยเฉพาะการถ่ายทอดชีวิตคู่ และเรื่องเซ็กซ์ ที่หนังตีความออกมาได้ชัดเจน เข้มข้น สมกับความเป็นหนังเรท 18+ ใครชอบหนังระทึกขวัญ เนื้อหาแรง ๆ มีพาร์ทหักมุมที่เกินคาดเดา นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Voyeurs ได้แล้ววันนี้ที่ Amazon Prime

Cr.ภาพ : Amazon Prime

ติดตามบทความ ซีรีย์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง “The Tomorrow War” : หนังแอคชั่น ฟอร์มยักษ์ จัดเต็มด้วยงานโปรดักชั่นสุดอลัง

the tomorrow warH

อีกหนึ่งผลงานหนังแอคชั่น ไซไฟ ฟอร์มยักษ์ ผลงานการสร้างโดย Paramount Pictures และ Skydance ทุนสร้างถึง 200 ล้านเหรียญฯ ที่ภายหลังถูกซื้อสิทธิฉายโดย Amazon Prime หนังกำกับโดย คริส แมคเคย์ (The Lego Batman) เขียนบทโดย แซชดีน (24 Hours to Live)

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของโลกในปี 2022 เมื่อวันหนึ่งระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศ ได้มีลำแสงประหลาดปรากฎขึ้น พร้อมกลุ่มคนที่บอกว่าตนนั้นมาจากโลกอนาคตที่มนุษย์นั้นได้เกิดสงครามกับกองทัพเอเลี่ยน จนทำให้มนุษยชาติกำลังจะสูญสิ้น พวกเขาเลยเดินทางย้อนอดีตมาเพื่อขอร้องให้เหล่ามนุษย์จากปัจจุบัน เดินทางไปอนาคตเพื่อร่วมสงครามเพื่อปกป้องมนุษยชาติ

แดน ฟอร์เรสเตอร์ (คริส แพรตต์) อดีตหน่วยรบพิเศษผู้หลงไหลในวิทยาศาสตร์ ที่หันมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในครอบครัว จนเขาได้รับหมายเรียกให้ร่วมไปทำสงครามกับเอเลี่ยนในโลกอนาคต โดย แดนได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเพื่อทำภารกิจเสี่ยงตาย และหาหนทางที่จะกำจัดกองทัพเอเลี่ยนให้หมดสิ้นไปจากโลก

The Tomorrow War ถือว่าเป็นหนังแอคชั่นที่เน้นเพื่อดูเอามันส์อีกเรื่องก็ว่าได้ หนังชวนให้เรานึกถึง Army of the Dead ที่ฉายบน Netflix ไปเมื่อเดือนที่แล้ว โดยทั้งสองเรื่องมาตามสูตรสำเร็จใน Gerne ของตัวเอง ใน Army of the Dead หนังมาตามสูตรหนังซอมบี้ที่ไม่ได้มีอะไรใหม่มาก และใน The Tomorrow War หนังก็มาตามสูตรของหนังสงคราม ไซไฟ ระทึกขวัญ ที่ให้อารมณ์แบบ Edge of Tomorrow หรือ War of the World

ความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้คืองานโปรดักชั่นที่ทำออกมาได้ยิ่งใหญ่ อลังการ ฉากแอคชั่นในเรื่องทำออกมาได้ดุดัน เข้มข้น ให้อารมณ์เหมือนกำลังเล่นเกม Shooting มันส์ ๆ พร้อมฉากระเบิดภูเขา เผากระท่อมที่จัดเต็มยิ่งกว่า Army of the Dead แต่ส่วนที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ไม่แพ้กันคือการสร้างสรรค์ตัวเอเลี่ยนในเรื่องที่มีหน้าตาที่อัปลักษณ์ และมีความเท่ ความสยองผสมกันในตัว ซึ่งตัวเอเลี่ยนก็มีคาแรคเตอร์ของตัวเองที่โดดเด่น ชวนจดจำแบบไม่ซ้ำใคร

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าจดจำมาก ๆ ของ The Tomorrow War คือการแสดงของคริส แพรตต์ ในบทแอคชั้นแบบจริงจังอีกครั้งของเขา ในเรื่องนี้แพรตต์ สามารถเอาคนดูอยู่ได้ทั้งเรื่อง ด้วยมาดของตัวละครที่จริงจัง ขึงขัง เหมือนบทของเหล่าแอคชั่นสตาร์คนอื่น ๆ แม้ว่าบทจะไม่ได้มีพาร์ทดราม่าที่หนักแน่น จริงจังมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นอีกบทบาทที่น่าจดจำของนักแสดงหนุ่มผู้นี้ อีกบทบาทที่ไม่พูดคงไม่ได้คือ เจเค ซิมมอนส์ ที่ในเรื่องนี้แม้เขาจะไม่ได้บทเยอะมาก แต่ทุกครั้งที่ตัวละครของเขาปรากฎก็ล้วนแต่น่าจดจำ โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่ ซิมมอนส์ ได้กลายเป็นตัวละครขโมยซีนคนอื่น ๆ ไปได้อย่างยอดเยี่ยม

ข้อเสียของ The Tomorrow War คือการที่หนังพยายามใส่ประเด็นใหญ่ ๆ ลงไปเยอะไปตัว ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางข้ามเวลา การสูญสิ้นของมนุษยชาติ แต่ด้วยความที่หนังต้องการขายพาร์ทปฎิบัติการณ์ ทำให้ประเด็นเหล่านั้นกลับทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร หนังเล่าแบบรวบรัด และทิ้งขว้างส่วนเหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย รวมถึงบทของหนังที่ยังพยายามเพลย์เซฟ ด้วยการเล่าแบบสูตรสำเร็จ ที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือน่าจดจำนัก

โดยรวม The Tomorrow War ถือว่าเป็นหนังแอคชั้นน้ำดีอีกเรื่องของปีนี้ แม้หนังจะยังมาตามสูตรสำเร็จอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นหนังที่เต็มไปด้วยฉากแอคชั่นสุดมันส์ระหว่างคน และเอเลี่ยน พร้อมฉากระเบิดสุดอลัง ใครที่มองหาหนังแอคชั่นสนุก ๆ นี่เป็นของดีประจำปีนี้ที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Tomorrow War ได้แล้ววันนี้ที่ Amazon Prime

Cr.ภาพ : Rotten Tomatoes , IMDB

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

รีวิว The Woman in the Window

รีวิว The Woman in the Window

รีวิว The Woman in the Window: หนังระทึกขวัญ ที่พยายามเป็น Rear Window เวอร์ชั่นปัจจุบัน แต่บทกลับเต็มไปด้วยปัญหา การเล่าเรื่องที่น่าเบื่อ

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ โจ ไรท์ (Atonement, Darkest Hour) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ เอเจ ฟินน์ ที่เดิมทีถูกวางกำหนดฉายโรงตั้งแต่ปี 2019 แล้ว

แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 จนหนังถูกเลื่อน และดองไว้จนคนลืม ทำให้ค่าย 20th Century Studios ต้องขายสิทธิ์หนังเรื่องนี้ให้ Netflix แทน

รีวิว The Woman in the Window

ตัวหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ แอนนา ฟอกซ์ (เอมี่ อดัมส์) หญิงสาวที่ป่วยเป็นโรคแพนิค หวาดกลัวการเข้าสังคม ทำให้เธอต้องอาศัยอยู่แต่ภายในบ้านตัวเองเท่านั้น จนวันหนึ่งเธอก็ได้พบกับ เจน (จูลี่แอนน์ มัวร์) เพื่อนบ้านวัยกลางคน ที่เข้ามาทักทายเธออย่างเป็นกันเอง

แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน แอนนา ที่กำลังส่งเพื่อนบ้านก็ได้พบว่า เจน ได้ถูกสามีของเธอลงมือฆาตกรรม แอนนา ได้พยายามแจ้งตำรวจ ได้ทำหน้าที่ในฐานะพยานเพื่อเอาผิดสามีของเจน แต่ด้วยอาการป่วยทางจิตของเธอทำให้ไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เธอเล่า แอนนาเลยต้องลงมือหาความจริงของคดีนี้ เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นคือเรื่องจริง

รีวิว The Woman in the Window

จากพลอต และเงื่อนไขของหนัง ทำให้ใครที่เป็นคอหนังระทึกขวัญพอจะเดาได้ว่าหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง Rear Window อีกผลงานขึ้นหิ้งของ อัลเฟร็ด ฮิตช์ค้อก ซึ่งแน่นอนว่าใน The Woman in the Window ก็เต็มไปด้วยการอ้างอิงงานดังกล่าวของฮิตช์ค้อก ทั้งการใส่ฉากของ Rear Window มาเป็นอีสเตอร์เอ้กในตอนเปิดเรื่อง

การที่ตัวเองชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน และการถ่ายทอดจากมุมมองหน้าต่างห้องของแอนนา ที่เราจะได้เห็นชีวิตเพื่อนบ้านจากหน้าต่างห้องแต่ละคน

รีวิว The Woman in the Window

ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ และทำให้หนังเรื่องนี้ต่างจาก Rear Window คือการอิงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันที่มีทั้งเทคโนโลยี สมาร์ทโฟน ที่สามารถเป็นตัวช่วยสำคัญของเรื่อง และความเป็นหนังจิตวิทยา มากขึ้น(จากที่ใน Rear Window มีเพียงสืบสวน/ระทึกขวัญ)

ความสนุกของเรื่องนี้คือลูกเล่นการสับขาหลอกของหนังให้เราไม่สามารถเชื่อใจตัวละครในเรื่องได้ แม้แต่นางเอกอย่างแอนนาเอง ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมการแสดงของ เอมี่ อดัมส์ ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่ป่วยทางจิต มีปมบางอย่างที่ไม่สามารถมูฟออนได้สมจริง ทั้งจากรูปลักษณ์ที่เธอสลัดภาพสวย เซ้กซี่ออกจนหมดสิ้น พร้อมทั้งการถ่ายทอดอารมณ์ที่ชวนกดดัน น่าสงสาร จึงไม่ปฎิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า เอมี่ อดัมส์คือคนที่ช่วยแบกหนังไว้ได้อย่างแท้จริง

รีวิว The Woman in the Window

อย่างไรก็ตามแม้ว่า The Woman in the Window จะพยายามผลักดันให้ตัวเองเป็น Rear Window มากแค่ไหนก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็กลับหาได้เทียบเคียงงานดังกล่าวไม่ หนังเต็มไปด้วยการไปไม่สุด และจุดด้อยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวน/ระทึกขวัญของหนัง ที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เท่าที่ควร

เนื่องจากก่อนหน้าที่จะฉายหนังได้ถูกสตูดิโอ ให้ถ่ายทำซ่อมหลายครั้งจนเสียเค้าโครงเดิมไปพอสมควร ส่วนหนึ่งของปัญหาที่เห็นได้ชัดคือหนังไปเสียเวลาอธิบายชีวิตของแอนนา มากเกินไป ทำให้ส่วนที่น่าจะทำให้หนังสนุกอย่างการตามล่าความจริง การใส่เหตุการณ์ตื่นเต้น ลุ้นระทึก ถูกเล่ามาแบบขอไปที จนหนังขาดความน่าติดตาม

อย่างไรก็ตามแม้ว่า The Woman in the Window จะพยายามผลักดันให้ตัวเองเป็น Rear Window มากแค่ไหนก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็กลับหาได้เทียบเคียงงานดังกล่าวไม่ หนังเต็มไปด้วยการไปไม่สุด และจุดด้อยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวน/ระทึกขวัญของหนัง ที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เท่าที่ควร เนื่องจากก่อนหน้าที่จะฉายหนังได้ถูกสตูดิโอ ให้ถ่ายทำซ่อมหลายครั้งจนเสียเค้าโครงเดิมไปพอสมควร

รีวิว The Woman in the Window

ส่วนหนึ่งของปัญหาที่เห็นได้ชัดคือหนังไปเสียเวลาอธิบายชีวิตของแอนนา มากเกินไป ทำให้ส่วนที่น่าจะทำให้หนังสนุกอย่างการตามล่าความจริง การใส่เหตุการณ์ตื่นเต้น ลุ้นระทึก ถูกเล่ามาแบบขอไปที จนหนังขาดความน่าติดตาม

โดยรวม The Woman in the Window ถือว่าเป็นผลงานที่น่าผิดหวังอีกเรื่องของ 20th Century Studios แบบเดียวกับที่ The New Mutants เคยประสบ ทั้งการโดนเลื่อนฉายจนถูกลืม และการถ่ายซ่อมที่ทำให้เสียโครงสร้างเดิมของหนัง ทำให้แทนที่หนังเรื่องนี้จะสามารถถูกยกให้เป็น Rear Window ฉบับโจ ไรท์ ได้ แต่ท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้กลับสอบตกทั้งความเป็นหนังจิตวิทยา หนังสืบสวน และหนังระทึกขวัญที่ดี แม้ว่าจะมีทีมนักแสดงที่น่าจะช่วยผลักดันเรื่องก็ตาม

รีวิว The Woman in the Window
ภาพจากหนง Rar Window

ปล. Rear Window คือหนังผลงานการกำกับของ อัลเฟร็ด ฮิตช์ค้อก ที่ฉายเมื่อปี 1954 หนังว่าด้วยเรื่องราวของชายขาหักที่ต้องอยู่แต่ในอพาร์ทเมนต์ของตัวเอง และใช้เวลาในการส่องเพื่อนบ้าน จนวันหนึ่งเขาได้เห็นว่าเพื่อนบ้านของเขาคนหนึ่งได้ลงมือฆาตกรรมภรรยาของตัวเอง หนังเรื่องนี้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังระทึกขวัญที่ดีที่สุดอีกหนึ่งเรื่อง ด้วยเทคนิคการนำเสนอที่แปลกใหม่ และการเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม โดยสามารถรับชม Rear Window พร้อมซับไทยได้แล้ววันนี้ที่ Amazon Prime

Cr. ภาพ: Rotten Tomatoes

#ซีรีส์ หนัง #News-entertainments.com

รีวิวซีรีส์ Invincible: อนิเมชั่นฮีโร่ที่ผสมผสานความเป็น Marvel และ DC

Invincible อนิเมชั่นฮีโร่

Invincible อนิเมชั่นฮีโร่ที่ผสมผสานความเป็น Marvel และ DC ได้อย่างลงตัว พร้อมจัดเต็มความโหดระดับเรท R

นับตั้งแต่ปี 2019 มาเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ก็ว่าได้ เพราะหลังจากความสำเร็จของ Marvel ใน Avengers : Endgame และการกลับมาผงาดอีกครั้งของ DC ทำให้หลังจากนั้นเหล่าสตูดิโอผู้สร้างหนัง ก็หันมาทำซีรีส์ หรือแฟรนไชส์ฮีโร่ของตัวเอง

ทั้ง Netflix ที่มี The Umbrella Academy และ Jupiter’s Legacy ส่วน Amazon Prime ก็มี The Boys พร้อมทั้งล่าสุดซีรีส์อนิเมชั่นแนวซุปเปอร์ฮีโร่สุดมันส์เรื่อง Invincible

โดย Invincible จะว่าด้วยเรื่องราวของ มาร์ค เกรย์สัน เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกชายของ โนแลน หรือ ออมนิแมน ฮีโร่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก วันหนึ่ง มาร์คที่ได้เติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นก็ได้เริ่มมีพลังพิเศษของตัวเอง ทำให้เขาตัดสินใจจะขอฝึกวิชากับ ออมนิแมน และกลายเป็นฮีโร่คนใหม่ที่มีขื่อว่า “อินวินซิเบิล” แต่หลังจากที่มาร์ค ได้กลายมาเป็นฮีโร่ เขาก็ต้องเผชิญกับศัตรูที่เก่งกาจมากมาย พร้อมทั้งต้องสูญเสียชีวิตเด็กวัยรุ่นไฮสกูลไป ส่วนด้าน ออมนิแมนพ่อของเขาก็ได้มีความลับอันดำมืดบางอย่างซ่อนไว้อยู่

Invincible อนิเมชั่นฮีโร่

ซีรีส์เรื่องนี้เป็นงานที่ดัดแปลงมาจากคอมมิค ของ Image Comics ที่สร้างสรรค์โดย โรเบิร์ต เคิร์กแมน ผู้สร้างซีรีส์ The Walking Dead โดยในฉบับซีรีส์นี้ เคิร์กแมนก็มารับหน้าที่ร่วมสร้างสรรค์เช่นกัน

พร้อมได้ทีมพากย์คุณภาพนำทีมโดย สตีเฟน ยวน (Minari), เจเค ซิมป์มอน (Whiplash), ซานดรา โอ (ซีรีส์ Killing Eve) และ ซาชารี่ ควินโต (Star Trek)

ความพิเศษของซีรีส์เรื่องนี้คือการผสมผสานความหลากหลายของหนังฮีโร่มารวมไว้ด้วยกัน ทั้งทีมฮีโร่ที่อิงคาแรคเตอร์มาจาก Justice League การเล่าเรื่องของตัวเอกที่เป็นวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเองที่ให้อารมณ์เหมือน Spider-Man พาร์ทสืบสวน การเมืองสุดเข้มข้นที่ชวนนึกถึง Watchmen ซึ่งใน Invincible ก็สามารถผสมผสานสิ่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างกลมกล่อมลงตัว

Invincible อนิเมชั่นฮีโร่

อีกหนึ่งจุดเด่นของซีรีส์คือการที่มันเล่าแบบอนิเมชั่น ที่สามารถเติมเต็มวิสัยทัศน์ของผู้สร้างได้อย่างเต็มที่ ทำให้ฉากแอคชั่นในซีรีส์ออกมาจัดเต็ม ทั้งความมันส์ ความอลังการ หรือการเล่นใหญ่แบบไม่ต้องกั้ก ที่เหนือกว่านั้นคือซีรีส์ได้จัดเต็มความโหด ดิบ แบบเรท r ออกมาได้เกินคาดหมายมาก ซีรีส์เต็มไปด้วยฉากเข่นฆ่าของฮีโร่ ที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาได้สยดสยอง แปลกตา ไม่ซ้ำใคร และมันทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ชมที่เป็นเด็กอย่างยิ่ง

ด้านบทของซีรีส์ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน บทได้สร้างมิติตัวละคร ที่แม้ว่าจะมีเยอะมาก ๆ แต่ทุกตัวละครในเรื่องก็มีคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำ รวมถึงการนำเสนอพาร์ทดราม่า และพาร์ทโรแมนติก ที่เข้ามาสอดแทรกเป็นระยะ ๆ ก็ช่วยทำให้ซีรีส์มีหลายรสชาติ หลายสีสัน โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ที่เป็นเนื้อหาสำคัญของเรื่อง ก็สามารถทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้อย่างน่าชื่นชม

โดยรวม Invincible ถือว่าเป็นอีกซีรีส์แนวฮีโร่น้ำดี ที่น่าจะถูกใจใครที่ชอบหนังแนวนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉากแอคชั่นสุดมันส์ ฉากฆ่ากันสุดโหด และเนื้อหาที่น่าติดตาม และด้วยความที่ซีรีส์ได้รับเสียงตอบรับที่ดี มันก็ทำให้ล่าสุดทาง Amazon ได้ประกาศอนุมัติสร้างซีซั่นที่ 2-3 แล้ว

ส่วนใครที่สนใจ สามารถรับชมซีซั่น 1 ครบทั้ง 8 Ep. พร้อมซับไทยได้แล้ววันนี้ที่ Amazon Prime

#Invincible #Marvel #DC #Amazon Prime #ซีรีส์ หนัง #news-entertainments.com

Cr.ภาพ: IMDB

รีวิว Tom Clancy’s Without Remorse:

Tom Clancy’s Without Remorse

รีวิว Tom Clancy’s Without Remorse: หนังแอคชั่น อารมณ์สุดระทึก แต่พลอตเรื่องกลับสูตรสำเร็จ และมิติตัวละครที่ไม่น่าจดจำ

ผลงานที่ดัดแปลงมาจากนิยายดังของ ทอม แครนซี่ กับเรื่องราวที่พูดถึงจุดเริ่มต้นของหน่วย Rainbow Six ที่ได้ทีมสร้างระดับคุณภาพไม่ว่าจะเป็น สเตฟาโน่ โซลิมา (Sicario: Day of the Soldado) และได้ เทย์เลอร์ เชอร์ริแดน (Wind River) มาร่วมเขียนบท

โดยเดิมทีตอนแรกมีกำหนดวางฉายโรง แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หนังเรื่องนี้ต้องถูกถอดจากโรง และฉายบนสตรีม Amazon Prime แทน

Tom Clancy’s Without Remorse

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ จอห์น เคลลี่ (ไมเคิล บี จอร์แดน) เจ้าหน้าที่หน่วยซีลมือฉมัง ที่วันหนึ่งเขาต้องสูญเสียครอบครัว จากการถูกฆาตกรรม หลังจากนั้น เคลลีก็พบว่ากระบวนการความยุติธรรม ไม่สามารถเอาคนผิดมาลงโทษได้ ทำให้ เคลลี่ ต้องรับหน้าที่เป็นศาลเตี้ยคอยตามล่าคนที่ทำลายครอบครัวเขา ก่อนที่เขาจะพบว่าเบื้องหลังเรื่องทั้งหมด เกิดจากความต้องการทำสงครามระหว่างอเมริกา และรัสเซีย ที่มีพลเรือนอย่างเขาเป็นเหยื่อ และเครื่องมือ

ตัวหนังเรียกได้ว่าทำมาเพื่อเอาใจแฟนเกมแนว Shooting หรือคนที่ชอบหนังแอคชั่น ปฎิบัติก่รณ์โดยเฉพาะ ตลอดทั้งเรื่องหนังเต็มไปด้วยฉากการทำภารกิจที่ตื่นเต้นสมจริง แม้ว่าจะไม่ได้เน้นฉากไล่ล่า หรือฉากวินาศสันตะโรมาก แต่จะเน้นไปที่ฉากยิงกันแบบเท่ ๆ ดุเดือด เหมือนที่ผู้กำกับเคยทำไว้ใน Sicario: Day of the Soldado ใครชอบหนังสไตล์พูดน้อยต่อยหนักน่าจะถูกใจไม่มากก็น้อย

กระนั้นปัญหาสำคัญของหนังเรื่องนี้คือบทหนังที่ไม่สามารถให้ความสมเหตุสมผล และน้ำหนักการกระทำของตัวละครเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่เดิมทีในเวอร์ชั่นหนังสือหนังถ่ายทอดพาร์ทการล้างแค้นออกมาได้เข้มข้น แต่ในหนังกลับเลือกที่จะปรับบริบทตัวละครใหม่ จนทำให้มิติตัวละครหายไปอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้หนังก็ยังมาพร้อมบทแบบสูตรสำเร็จของหนังแอคชั่น ผสมการเมือง ที่มักจะมีการแถแบบเดิม ๆ ที่คนที่ดูหนังแนวนี้มาบ่อยน่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก

อีกส่วนที่น่าเสียดายคือหนังค่อนข้างเล่นกับฉากกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ พร้อมโทนภาพที่มีสีเข้ม ๆ หม่น ๆ ทำให้ฉากแอคชั่นหลาย ๆ ฉากของเรื่องมีโทนภาพที่มืด จนทำให้มองไม่เห็น จนคนดูไม่สามารถมีอารมณ์ร่วมกับหนังได้เท่าที่ควร

Tom Clancy’s Without Remorse

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม ไมเคิล บี จอร์แดน ที่ยังสามารถรับบทชายผู้มีความแค้นออกมาได้หนักแน่น ทรงพลัง เป็นตัวละครสไตล์พูดน้อยต่อยหนัก ไม่ต่างจากผลงานเรื่องก่อน ๆ เช่นบท คิลมองเกอร์ ใน Black Panther แต่ที่ค่อนข้างน่าเสียดายคือบทของ กาย เพียร์ช ที่หนังไม่สามารถใช้งานตัวละครของเขาได้อย่างคุ้มค่าเท่าที่ควร

โดยรวม Tom Clancy’s Without Remorse ถือว่าเป็นหนังแอคชั่น ระทึกขวัญ ที่ค่อนข้างน่าจะถูกใจคนชอบหนังปฎิบัติการณ์ หรือใครที่เป็นแฟนเกมที่ดัดแปลงจากนิยายของ ทอม แคลนซี่ แต่หากใครที่ดูเอาเนื้อหาอาจผิดหวังอีกเรื่องของปีนี้ ทั้ง ๆ ที่ตอนปล่อยตัวอย่างหนังทำออกมาได้เข้มข้น น่าดูมาก แต่ทว่าในหนังจริงหนังเต็มกลับทำหน้าที่ไม่สุด โดยเฉพาะด้านบท ที่ค่อนข้างสูตรสำเร็จ ไม่มีอะไรให้น่าจดจำหรือพูดถึงอย่างไรก็ตามหนังก็ยังมีเอนด์เครดิต 1 ตัวที่น่าจะเซอร์ไพรส์แฟนเกมชุด Rainbow Six พร้อมทั้งทิ้งความหวังว่าเราอาจได้เห็นภาคต่อไปของหนังเรื่องนี้ในอนาคต

Tom Clancy’s Without Remorse
ตัวอย่าง Without Remorse

#Without Remorse #Tom Clancy’s Without Remorse #Amazon Prime #ซีรีส์ หนัง #news-entertainments.com