“Come and See” หรือชื่อไทย “เอหิปัสสิโก” คืออีกหนึ่งหนังสารคดีไทยสุดน่าจับตามองของปี 2021 นี้ก็ว่าได้ ด้วยความที่หนังเลือกที่จะหยิบประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างพระพุทธศาสนา การเมือง ผ่านเหตุการณ์ของวัดพระธรรมกายเมื่อช่วงปี 2560 ด้วยมุมมองที่เป็นกลาง และสะท้อนประวัติศาสตร์ความเชื่อ และสังคมไทยออกมาได้ตรงไปตรงมา ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เป็นผลงานการกำกับโดย ไก่-ณฐพล บุญประกอบ มือกำกับหนังสารคดีที่เคยมีผลงานอย่าง “2215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว” มาแล้วเมื่อปี 2019
เนื้อหาของหนังจะแบ่งเป็นการนำเสนอสามส่วนด้วยกัน ได้แก่ การสัมภาษณ์เหล่าคนที่ทั้งศรัทธาในวัดพระธรรมกาย คนที่เลิกศรัทธาไปแล้ว รวมถึงสายตาจากเหล่าคนในวงการพุทธศาสนา การนำฟุตเทจข่าวเก่า ๆ มาเล่าผ่านลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีการบุกจับพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในตอนนั้น และฟุตเทจที่ผู้กำกับได้เก็บรวบรวมจากการที่ไปร่วมใช้ชีวิตอยู่กับลูกศิษย์วัด ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
แม้ว่าตัวสารคคดีจะกำกับโดยคนเดียวกับที่เคยทำเรื่อง “2215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว” แต่สำหรับใน “Come and See” กลับมาพร้อมวิธีการเล่าเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่เรื่องก่อนหน้าจะเป็นการนำเสนอเพื่อเชิดชู ยกย่อง และพาคนไทยร่วมย้อนเหตุการณ์สุดประทับใจที่ ตูน Bodyslam ได้วิ่งทั่วประเทศไทยเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือโรงพยาบาล ซึ่งสารคดีค่อนข้างมีความแมส และชัดเจนในตัวเอง
แต่สำหรับใน “Come and See” สารคดีจะนำเสนอในรูปแบบประเด็นปลายเปิด คือการไม่นำเสนอให้คนดูเชื่อไปในทางใดทางหนึ่ง แต่เป็นการตั้งคำถามกับคนดูว่าเมื่อดูสารคดีเรื่องนี้แล้วรู้สึกคิดเห็นอย่างไร หนังก็ไม่ได้นำเสนอในฐานะสารคดีข่าวที่พาย้อนประวัติศาสตร์อย่างละเอียด ใครที่หวังดูเรื่องนี้เพื่อหาสาระความรู้อาจผิดหวังไปพอสมควร นอกจากนี้หนังยังดำเนินเรื่องแบบเนิบช้า เน้นขายความเป็นธรรมชาติของฟุตเทจที่นำเสนอ ดังนั้นตลอดเวลาเกือบ 90 นาทีของสารคดีเรื่องนี้ ผู้ชมจะเหมือนได้ไปร่วมใช้ชีวิตเป็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย และศึกษาความคิดของคนเหล่านั้นแบบลึกซึ้ง อีกหนึ่งความโดดเด่นของสารคดีเรื่องนี้ก็คือการถ่ายภาพ และการตัดต่อ ที่สามารถสะท้อนเรื่องราว และประเด็นของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม หลาย ๆ ชอตสามารถนำเสนอไปควบคู่กับเสียงบรรยายได้อย่างเข้ากัน
ในตัวประเด็นที่โดดเด่น ชัดเจนมาก ๆ ของหนังคือการพูดถึงพระพุทธศาสนากับสังคมไทย ที่มีความเชื่อ ความศรัทธาในแต่ละระดับของแต่ละคนที่ต่างกันไป แต่ด้วยอิทธิพลของวัดพระธรรมกาย และตัวพระธัมมชโย ที่ได้มีอิทธิพลต่อการเผยแพร่ความเชื่อของศาสนา ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องพุทธศาสนาในอีกด้าน ที่ต่างจากคำสอนแบบดั้งเดิม หนังได้พาเราไปเจาะลึกถึงความแตกต่างนั้น ผ่านมุมมองของฝั่งคนที่ศรัทธาในพระธรรมกายอย่างละเอียดลึกซึ้ง โดยไม่รีบให้เราด่วนตัดสินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังนั้นถูกผิดอย่างไร
จุดด้อยของ “Come and See” คือการที่สารคดียังตีประเด็นต่าง ๆ ได้ไม่สุดเท่าที่ควร อาจด้วยความยาวที่จำกัด และประเด็นที่ท้าทายเกินไป โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่พูดถึงช่วงที่พระธัมมชโย ได้หายตัวไป ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งของศิษย์วัดพระธรรมกาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เป็นช่วงที่ยากต่อการเก็บฟุตเทจ รวมถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ชัดเจน ทำให้สารคดีมีช่วงท้ายที่กำกวม ไม่ชัดเจน รวมถึงเรื่องราวด้านอื่น ๆ ของวัดพระธรรมกายที่ไม่ได้ถูกพูดถึงในเรื่องนี้
โดยรวม “Come and See” จัดว่าเป็นอีกหนึ่งหนังสารคดีไทยน้ำดี ที่ไม่ได้มีมาให้ได้ชมบ่อย ๆ เนื่องด้วยความท้าทายในประเด็นของหนัง รวมถึงลีลาการเล่าเรื่องที่ไม่ได้เน้นความแมสเหมือนเรื่องอื่น ๆ ตัวหนังได้พาเราไปร่วมย้อนเหตุการณ์ช่วงที่วัดพระธรรมกายเฟื่องฟูเมื่อปี 2560 อย่างละเอียดอีกครั้ง โดยนำเสนอจากมุมมองทั้งคนที่ศรัทธา และไม่ศรัทธา ต่อตัววัดธรรมกายได้อย่างเป็นกลาง พร้อมทั้งยังเป็นงานที่ดูจบแล้วชวนตั้งคำถามต่อคนดู ถึงศรัทธา ความเชื่อที่เรามีต่อศาสนาพุทธ และเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยม
สามารถรับชม “Come and See” ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix
Cr.ภาพ : Netflix
ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com