รีวิว Judas and the Black Messiah

Judas and the Black Messiah

Judas and the Black Messiah หนังดราม่า เนื้อหาเข้มข้น ที่มาพร้อมบทที่ทรงพลัง และการแสดงที่น่าขนลุก

เรียกได้ว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่มาได้ถูกจังหวะ ถูกช่วงเวลามาก ๆ สำหรับ Judas and the Black Messiah อีกหนึ่งหนังตัวเต็งออสการ์ของปีนี้ ที่เข้าชิงไปทั้งสิ้นถึง 6 สาขา โดยความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือการที่หนังเรื่องนี้มันได้พูดถึงการต่อสู้ระหว่างชนชั้นล่าง คนผิวสี และอำนาจรัฐที่มีความอยุติธรรมซ่อนอยู่

ซึ่งหากมองภายนอกมันอาจเป็นเหมือนหนังที่ว่าด้วยความขัดแย้งด้านสีผิวของอเมริกา ที่เป็นที่นิยมของนักทำหนังยุคหลัง ๆ แต่ภายในของหนังเรื่องนี้มันได้ซ่อนด้วยเรื่องราวของมิตรภาพ ความรัก และการเสียสละ ที่ดูแล้วชวนสะเทือนใจมาก ๆ เรื่องหนึ่ง

Judas and the Black Messiah

Judas and the Black Messiah จะว่าด้วยเรื่องราวเหตุการณ์จริงสุดอื้อฉาวของอเมริกาในช่วงยุค 60-70 ที่ได้มีกลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้องสิทธิ และทำการปฏิวัติ ที่มีชื่อว่า อิลลินอยส์ แบล็ค แพนเตอร์ ปาร์ตี้ ที่มี เฟรด แฮมป์ตัน (แดเนียล คารูย่า) ที่เป็นที่เคารพ ยำเกรงของเหล่าสมาชิกในกลุ่ม

รวมถึงเหล่ากลุ่มเรียกร้องสิทธิกลุ่มอื่น ๆ เหตุการณ์ของหนังเริ่มขึ้นเมื่อ วิลเลี่ยม โอ นีล (ลาคีธ แสตนฟีลด์) หัวขโมยที่ชอบแอบอ้างว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ FBI เพื่อขโมยเงิน และรถของคนอื่น จนวันหนึ่่งเขาถูก รอย มิตเชลล์ (เจสซี่ พลีมอน) เจ้าหน้าที่ FBI ตัวจริงจับกุม

และด้วยโทษสถานหนัก ทำให้ รอยได้ยื่นข้อเสนอให้ โอ นีล ทำการลอบเข้าไปเป็นหนังในสมาชิกของกลุ่ม อิลลินอยส์ แบล็ค แพนเตอร์ ปาร์ตี้ เพื่อส่งข่าวของ แฮมป์ตัน และพรรพวก ซึ่งทางด้าน โอ นีล ก็หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว FBI มีแผนการที่อันตราย และชั่วร้ายกว่าที่เขาคิดไว้หลายเท่า

Judas and the Black Messiah

ถ้ามองโดยภาพรวมของ Gerne หนังเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงนำ Judas and the Black Messiah ไปเปรียบเทียบกับ The Trial of the Chicago 7 ที่เข้าฉายใน Netflix เมื่อปีที่แล้ว ด้วยความที่หนังทั้งสองเรื่องพูดถึงประเด็นการเมือง และความอยุติธรรมของรัฐ หรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

แต่กระนั้นหนังทั้งสองเรื่องกลับมีโทนเรื่อง และวิธีการนำเสนอที่ไปคนละทิศทางโดยสิ่นเชิง ใน Judas and the Black Messiah หนังจะพาเราไปสำรวจตัวละครอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเจาะลึกถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ในขณะที่ The Trial of the Chicago 7 จะเน้นไปที่บริบทของเหตุการณ์เป็นหลัก แต่สิ่งที่ทั้งสองเรื่องสามารถสะท้อนให้เราเห็นอย่างชัดเจนมาก ๆ คือการย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่งมันเคยเกิดความไม่ปกติของกระบวนการยุติธรรมในประเทศของพวกเขา ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่อง “เสรีภาพ”

Judas and the Black Messiah

หนังจะเล่าเรื่องแบบหนังดราม่า ระทึกขวัญ โดยตัวหนังจะพาเราไปสำรวจชีวิตของสองตัวละครคือ เฟรด แฮมป์ตัน และ วิลเลี่ยม โอ นีล ที่ทั้งสองต่างมีจุดมุ่งหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง ในด้านฝั่ง แฮมป์ตัน หนังได้นำเสนอให้ตัวละครของเขามีความคล้ายคลึงกับหนังมาเฟียหน่อย ๆ

คือการเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ และค่อนข้างมีอิทธิพลต่อคนโดยรอบ แต่ว่าเจตนาของ แฮมป์ตัน คือการเสียสละให้กับประชาชน และความรักที่เขามีให้ต่อ เดบอราห์ (โดมินิค ฟิชแบค) รวมถึงมิตรภาพที่มีต่อเพื่อน ๆ เรียกได้ว่าบทของ แฮมป์ตัน จะหนักไปทางดราม่า เพื่อชีวิต ที่สามารถสร้างความประทับใจให้หลาย ๆ คนได้ ในขณะที่ด้าน โอ นีล เป็นตัวแทนของความระทึกขวัญ เพราะพาร์ทของตัวละครนี้คือการตีหน้าเป็นนกสองหัว ซึ่งอยู่กั้นกลางระหว่างตัวดี และตัวร้ายของเรื่อง ทุกครั้งที่ โอ นีล ถูกมอบหมายงานจาก FBI จะให้ความรู้สึกที่กดดัน ตึงเครียด แม้ว่าเราจะพอรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวละคร แต่บรรยากาศของหนังก็สามารถทำให้เราอึดอัดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

อีกหนึ่งทีเด็ดของหนังเรื่องนี้คือบท ที่หนังได้มีการหยิบคำปราศัยของ แฮมป์ตัน ตัวจริงมาดัดแปลง และมันได้กลายเป็นหนึ่งในจุดขายที่เราได้เห็นมันมาตั้งแต่ในตัวอย่าง คือฉากการปราศัยสุดเดือดของ แฮมป์ตัน เพื่อเรียกพลังจากมวลชน ให้ร่วมกันต่อสู้กับความอยุติธรรมในฐานะนักปฎิวัติ

ซึ่งในหลาย ๆ ฉากที่เป็นการปราศัย ล้วนแต่มีความแยบยลคมคาย มีการใช้สำนวน การเปรียบเปรยที่มีชั้นเชิง ประกอบกับการแสดงของ แดเนียล คารูย่า ที่ถ่ายทอดบทของ แฮมป์ตันออกมาได้เข้าถึงอารมณ์ จนน่าขนลุก

Judas and the Black Messiah

นอกจากนี้ การแสดงที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือบท โอ นีล ของ ลาคีธ แสตนด์ฟีลด์ ที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะจำเขาได้ในบทสมทบในหนังหลาย ๆ เรื่อง โดยเขาเคยแสดงร่วมกับ แดเนียล คารูย่า มาแล้วในเรื่อง Get Out นอกจากนี้เขายังเคยรับบทเป็น “L” ใน Death Note เวอร์ชั่น Netflix ที่ถูกกันด่าจากแฟนหนังชุดนี้

แต่สำหรับใน Judas and the Black Messiah ลาคีธ ได้กลับมารับบทนำอีกครั้ง พร้อมความท้าทายครั้งใหม่ เพราะบทบาทในครั้งนี้มีพาร์ทดราม่าที่หนักกว่าเรื่องอื่น ๆ พร้อมทั้งตัวละครของเขาก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญของเรื่อง ซึ่ง ลาคีธ ก็ถ่ายทอดบท โอ นีล ออกมาได้มีมิติ ชวนจดจำ โดยเฉพาะพาร์ทที่ตัวละครต้องตัดสินใจระหว่างการทำภารกิจ และมนุษยธรรม ที่ลาคีธ ได้แสดงให้เราเข้าถึงอารมณ์ร่วมกับตัวละครได้อย่างทรงพลัง

Judas and the Black Messiah

โดยรวม Judas and the Black Messiah

ถือว่าเป็นหนังดราม่า ระทึกขวัญ ที่หยิบเหตุการณ์จริงทางการเมืองมาถ่ายทอดได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยบทหนังที่พาเราไปสำรวจชีวิตของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ที่ชัดจน พร้อมทั้งยังเปี่ยมด้วยการแสดงที่เข้าถึงบทบาทของทีมนักแสดงนำ ทำให้ไม่แปลกเลยที่หนังจะสามารถเข้าชิงรางวัลออสการ์ และอีกหลาย ๆ เวที หากใครที่กำลังมองหาหนังที่มีประเด็นการเมืองเข้ากับยุคกับสมัย หรือหนังที่พูดถึงประวัติศาสตร์ นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดของปีนี้

ตัวอย่าง Judas and the Black Messiah

Cr. ภาพ : เว็บไซต์ IMDB และ Warner Bros. Thailand

#Judas and the Black Messiah #จูดาส แอนด์ เดอะ แบล็ก เมสไซอาห์ #Warner Bros. Thailand #หนัง ซีรีย์ #news-entertainments.com

Judas and the Black Messiah หนังดราม่า ที่มาพร้อมประเด็นการเมืองสุดเข้มข้น จนเข้าชิง 6 รางวัลออสการ์ เตรียมเข้าฉายในไทย 22 เมษายนนี้

Judas and the Black Messiah

เดือนเมษายนนี้เรียกได้ว่าเป็นเดือนแห่งหนังรางวัล ก่อนไปลุ้นผลประกาศรางวัลออสการ์ก็ว่าได้ เพราะตลอดทั้งเดือนเต็มไปด้วยหนังตัวเต็งเข้าชิงรางวัล ฉายให้คอหนังได้ชมไม่ว่าจะเป็น Minari ,The Father และอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ Judas and the Black Messiah ที่กำลังจะเข้าฉายปลายเดือนนี้

สำหรับ Judas and the Black Messiah เป็นหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริง โดยจะพูดถึงเรื่องราวของ วิลเลียม โอนีล (ลาคีธ สแตนฟีลด์) ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยประวัติอาชญากรรม โดยเฉพาะการลักเล็กขโมยน้อย ที่วันหนึ่งเขาได้ถูกเจ้าหน้าที่ FBI จับตัว พร้อมยื่นข้อเสนอกับเขาว่า หากต้องการเป็นอิสระอีกครั้ง เขาจะต้องทำการเป็นสายให้ FBI และแฝงตัวเข้าไปในกลุ่ม แบล็ค แพนเธอร์ ปาร์ตี้ ที่ตอนนั้นมี เฟร็ด แฮมป์ตัน (แดเนียล คาลูย่า) เป็นหัวหน้ากลุ่ม โดย โอนีล นอกจากจะต้องส่งข่าวจากวงในให้ FBI แล้ว เขายังต้องวางแผนลอบสังหาร แฮมป์ตันอีกด้วย

โดย Judas and the Black Messiah เป็นผลงานการกำกับและเขียนบทของ ชาก้า คิง พร้อมได้ ไรอัน คูเกลอร์ ผู้กำกับจาก Black Panther และ Creed มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง ซึ่งหลังจากที่หนังเรื่องนี้ได้ฉายที่อเมริกา และตามเทศกาลภาพยนตร์ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ และผู้ชมอย่างมาก จนได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes สูงถึง 96% 

นอกจากนี้ตัวหนังก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ถึง 6 สาขา ได้แก่

– ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

– นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม (แดเนียล คาลูย่า และ ลาคีธ สแตนฟีลด์)

– บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม

– เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – กำกับภาพยอดเยี่ยม

โดยอีกหนึ่งจุดเด่นของหนังเรื่องนี้นอกจากประเด็นทางการเมืองที่เข้มข้นแบบสุด ๆ แล้ว ก็ต้องยกให้การแสดงของ แดเนียล คาลูย่า (Get Out ,Black Panther) และ ลาคีธ สแตนฟีลด์ (Get Out ,Knives Out) ที่ทั้งสองได้ประชันบทบาทกันอย่างไม่มีใครยอมใครตั้งแต่ที่เราได้เห็นในตัวอย่าง ซึ่งด้วยความที่บท โอนีล ของ ลาคีธ ต้องเป็นบทที่เครียด และเปฺนตัวแปรสำคัญของเรื่อง ทันทีหลังจากที่ถ่ายหนังเรื่องนี้เสร็จเขาถึงกับต้องเข้ารับการบำบัด เพราะในเรื่อง ลาคีธ ต้องแสดงเป็นมือลอบสังหาร แฮมป์ตัน (ที่รับบทโดยคาลูย่า) ทำให้เมื่อเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครมากขึ้นมันทำให้ ลาคีธรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังเป็นคนลงมือลอบสังหาร แฮมป์ตันจริง ๆ จนทำให้เขาเกิดอาการตื่นตระหนก และตัดสินใจเข้ารับการบำบัดหลังจากที่ถ่ายหนังเรื่องนี้จบ

สำหรับใครที่เป็นสายหนังรางวัล หรือกำลังมองหาหนังที่มีประเด็นสังคม การเมือง ประวัติศาสตร์เตรียมรอชม Judas and the Black Messiah โดยหนังจะมีกำหนดฉายในไทย 22 เมษายนนี้ทุกโรงภาพยนตร์

ภาพยนต์ตัวอย่าง Judas and the Black Messiah

#Judas and the Black Messiah #หนังดราม่า #ซีรีย์ หนัง  #news-entertainments.com

CR. Warner Bros. Thailand