หนังภาคที่ 4 ของมหากาพย์หนัง Live Action ฟอร์มยักษ์จากญี่ปุ่นที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อเดียวกัน โดยแรกเริ่มเดิมทีหนังเตรียมจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด ทำให้สตรีมดังอย่าง Netflix คว้าสิทธินำเข้ามาฉายแทน
โดยในภาคนี้หนังจะเล่าเหตุการณ์หลังจากภาค 3 เมื่อ เคนชิน (เซตะ โซจิโร่) เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หันหลังจากการรบราฆ่าฟัน และอาศัยอยู่กับ คาโอรุ (เอมิ ทาเคอิ) ในสำนักดาบของเธอ แต่แล้วความสงบสุขก็สิ้นสุดลง เมื่อ เอนิชิ(แมคเคนยู) วายร้ายตัวใหม่ได้ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับพรรคพวกฝีมือฉกาจ โดย เอนิชิ นั้นได้มีความแค้นส่วนตัวกับ เคนชิน เขาและพรรคพวกเลยวางแผนที่จะแก้แค้น พร้อมทั้งโค่นล้มรัฐบาลใหม่ในคราวเดียวกัน ส่วน เคนชินเองก็ต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่ขมขื่น ที่เป็นที่มาของบาดแผลรอยบากบนหน้าของเขา
ถือว่าเป็นภาคที่ทำออกมาได้สมการรอคอยมาก ๆ สำหรับ Rurouni Kenshin: The Final เพราะเนื้อหาในภาคนี้ได้เลือกหยิบนำประเด็นที่สามภาคที่แล้วไม่ได้เล่า หรือเล่ายังไม่ชัดเจนพออย่างประเด็นอดีตของเคนชิน มาเจาะลึกและขยี้ให้มากกว่าเดิม เราจะได้เห็นด้านที่อ่อนแอของเคนชิน รวมถึงตัวละครอื่น ๆ มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกของหนังเลยจะเน้นไปที่ฉากดราม่า การปูเรื่อง และย้อนอดีตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในพาร์ทดราม่านี้ต้องขอชื่นชมว่าหนังทำได้ดี โดยเฉพาะการเล่นกับปมของตัวละครที่ทำให้เราอยากติดตามเรื่องราวไปจนจบเรื่อง
หนังยังใช้ประโยชน์จากตัวละครได้อย่างคุ้มค่า เพราะในภาคนี้เราจะยังได้เห็นตัวละครจากภาคเก่า ๆ ตบเท้าเข้ามาสมทบ มาร่วมมีบทบาทในภาคนี้ ทั้งตัวดี และตัวร้าย พร้อมทั้งหนังยังได้แอบมีเซอร์ไพรส์ที่แฟนหนัง หรือแฟนการ์ตูนชุดนี้เห็นแล้วจะต้องฟินแน่นอน แต่ส่วนที่ทำออกมาได้น่าประทับใจเป็นพิเศษต้องขอยกให้ตัวร้ายของเรื่อง ที่ในภาคนี้สร้างสรรค์ตัวร้ายออกมาได้มีเสน่ห์ น่าจดจำ ทั้งตัวหลัก ไปจนถึงตัวรอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคลั่ง ความจิตของวายร้าย ที่ทำออกมาได้น่าสะพรึงมาก ๆ
ส่วนพาร์ทแอคชั่นของภาคนี้ ถือว่าทำออกมาได้โดดเด่น และยิ่งใหญ่กว่าภาคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากประชันดาบที่ทำออกมาสนุก ตื่นเต้น โดยเฉพาะซีเควนซ์ต่อสู้ในช่วงท้าย ที่จัดเต็มด้วยความยาวกว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นซีเควนซ์ที่มีหลายอรรถรส ทั้งเซอร์ไพรส์ ความอลังการ ไปจนถึงดราม่า นอกจากนี้ฉากสงคราม ฉากทำลายเมืองที่ทำออกมาได้ยิ่งใหญ่ สมจริง ถือว่าเป็นการเล่นใหญ่สมกับเป็นหนังภาคสุดท้ายอย่างยิ่ง
สำหรับข้อเสียในภาคนี้ก็ยังเป็นการที่ผู้สร้างเลือกที่จะคงสูตรสำเร็จของหนังชุดนี้อยู่ ทำให้ทิศทางการเล่าเรื่องยังไม่แปลกใหม่ ที่ดราม่าต้นเรื่อง และบู๊หนัก ๆ ตอนท้าย ซึ่งทุกอย่างยังคงมาในอีหร็อปเดิม ๆ ที่คนดูสามารถคาดเดาท้ายเรื่องได้อย่างไม่ยากนัก รวมถึงการพยายามยัดเยียดดราม่าแบบน้ำเน่า ๆ ในช่วงสุดท้าย ที่ทำให้ตัวละครวายร้ายที่ปูมาอย่างดิบดี กลับดูงอกง่อยผิดกับต้นเรื่องโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะอย่างไร Rurouni Kenshin: The Final ก็ถือได้ว่าเป็นหนังภาคต่อที่ทำออกมาได้ดีงามสมการรอคอยอย่างแท้จริง หนังสามารถพัฒนาการจากภาคก่อน ๆ ออกมาได้อย่างน่าภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นงานโปรดักชั่นที่ใหญ่ขึ้น ฉากแอคชั่นที่สนุกขึ้น รวมถึงดราม่าที่ชวนตราตรึงใจ ทำให้หนังภาคนี้เป็นภาคที่สมบูรณ์แบบที่สุดของแฟรนไชส์ชุดนี้ไปโดยปริยาย
สามารถรับชม Rurouni Kenshin: The Final ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix
ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com