รีวิวหนัง Fast X: อีกหนึ่งภาคต่อที่ทะเยอทะยาน

รีวิวหนัง Fast X: อีกหนึ่งภาคต่อที่ทะเยอทะยาน

หนังภาคที่ 10 ของแฟรนไชส์ Fast ที่ครั้งนี้ถือว่าเป็นภาคเปิดของไตรภาคสุดท้ายของหนังชุดนี้ โดยในภาคนี้หนังได้ หลุยส์ เลทเทอร์เรียร์ (The Transporter) มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้ทีมนักแสดงชุดใหม่ที่มาเสริมทัพให้หนังชุดนี้ นำโดย เจสัน โมมัว (Aquaman), บรี ลาร์สัน (The Marvels) และ อลัน รัชสัน (ซีรีส์​ Jack Reacher)

เรื่องราวในภาคนี้หนังจะพูดถึง ดันเต้ (เจสัน โมมัว) ลูกชายของ เรเยส (โจคิม เดอ อัลเมดา) วายร้ายจากหนังภาค 5 ที่ได้เคียดแค้นกลุ่มของ ดอม (วิน ดีเซลล์) ที่ได้ร่วมกันขโมยตู้เซฟพ่อของเขา และเป็นสาเหตุที่พ่อของเขาต้องตาย โดย ดันเต้ ได้วางแผนร้ายในการเอาคืนกลุ่มของ ดอม ด้วยวิธีที่ร้ายกาจ และเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ดอม จึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัวของเขาจากวายร้ายผู้นี้

Fast X เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหนัง Fast ภาคที่ทะเยอทะยาน และบันเทิงมากที่สุดภาคหนึ่งเลยก็ว่าได้ หนังแทบจะไม่เปิดโอกาสให้คนดูได้พักหายใจ เพราะตลอด 140 นาทีของหนัง อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชัน ทั้งการขับรถไล่ล่าสุดระทึกในกรุงโรม ที่ใส่มาตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง พร้อมซีเควนซ์ไล่ล่าที่ยาวนานร่วม 30 นาที รวมถึงฉากต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ ที่ใส่มาเป็นระยะๆ ให้คนดูได้ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง

ฉากแอ็คชัน เรียกได้ว่าทำออกมาค่อนข้างดี แม้ภาพของหนังจะลอยบ้าง แต่ในด้านความเวอร์วัง หนังภาคนี้ทำออกมาได้อย่างจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นฉากซิ่งรถไล่ล่า และต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างพลิ้วไหว ฉีกกฎฟิสิกส์ โดยเฉพาะรถ 1970 Dodge Charger ที่เป็นรถไฮไลท์ของเรื่องพอๆ กับคาแรคเตอร์สุดแกร่งของ วิน ดีเซลล์

ปัญหาของ Fast X ยังคงเป็นปัญหาที่หนังแอ็คชันส่วนใหญ่มักเจอ คือเรื่องบท ซึ่งบทของภาคนี้ค่อนข้างดรอป และแย่กว่าภาคที่ผ่านๆ มา ด้วยความที่หนังพยายามรีบเดินเรื่อง จนไม่ได้สนใจเนื้อหาที่เป็นพาร์ทดราม่าระหว่างทาง ทำให้การกระทำของตัวละครในภาคนี้ขาดความสมเหตุสมผล หลายตัวละครเก่าที่กลับมาในภาคนี้ล้วนขาดเสน่ห์ดั้งเดิมที่เคยมี รวมทั้งการตัดต่อของหนังที่เต็มไปด้วยจังหวะที่ขาดๆ เกินๆ จนหนังขาดความสมู้ท

โดยรวม Fast X เป็นอีกหนึ่งภาคจากหนังตระกูล Fast ที่ทำออกมาได้สนุก บันเทิง ตามมาตรฐานของหนังแอ็คชันสูตรสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นฉากบู๊ที่เวอร์วังอลังการแบบไม่สนบท หรือความสมเหตุสมผลใดๆ ใครที่ชอบหนังแอ็คชันเดือดๆ หรือเป็นแฟนหนังแฟรนไชส์นี้ นี่คืออีกภาคที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Fast X ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Fall: หนังระทึกขวัญ ที่เล่นกับความสูง ความเสียว ได้อย่างถึงอารมณ์

รีวิวหนัง Fall: หนังระทึกขวัญ ที่เล่นกับความสูง ความเสียว ได้อย่างถึงอารมณ์

หนังระทึกขวัญ แนวจำกัดพื้นที่ จำกัดตัวละคร มักเป็นหนังที่มาพร้อมสูตรเดิมๆ ที่เน้นสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู ให้อยากร่วมเอาใจช่วยตัวละคร ที่ส่วนใหญ่เพียงเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนสถานการณ์ แต่พลอตส่วนใหญ่มักคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็น Shallows, 148 Hours, Gold เป็นต้น ล่าสุดเมื่อปี 2022 ก็ได้มี Fall หนังระทึกขวัญ ผลงานการกำกับของ สก้อตต์ มานน์ (Hetst) ที่มาพร้อมการเอาชีวิตรอดที่สูง และเสียวที่สุด

หนังว่าด้วยเรื่องราวของ เบ้คกี้ (เกรซ แคโรไลน์ เคอร์รีย์) และไชโลห์ (เวอร์จิเนีย การ์ดเนอร์) สองเพื่อนซี้ที่หลงไหลการปีนเขา และการผจญภัย ที่วันหนึ่ง ไซโลห์ ได้ชวน เบ้คกี้ เดินทางไปขึ้นเสาสงสัญญาณที่มีความสูงถึง 2,000 ฟุต ซึ่งในขณะนั้น เบ้คกี้ ยังเสียใจจากการสูญเสียคนรักจากอุบัติเหตุปีนเขา และเพื่อเป็นการมูฟออน ทั้งสองเลยเลือกที่จะปีนเสาสงสัญญาณนี้ แต่ทว่าเรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นเมื่อบันไดลิงของเสาได้หักลงหลังจากที่ทั้งสองขึ้นไปถึงที่หมาย จนทั้ง เบ้คกี้ และไซโลห์ ต่างต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากความสูงเฉียดฟ้านี้ให้ได้

แม้ว่าโดยภาพรวมของ Fall น่าจะไม่ต่างจากหนังเอาชีวิตรอดเรื่องอื่นๆ ที่เปลี่ยนแค่เซ้ตติ้ง แต่ความเป็นสูตรสำเร็จของ Fall ก็ถือว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก หนังพาคนดูไปสัมผัสกับความสูง ความเสียว ในตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงของหนัง พร้อมสร้างสถานการณ์ให้ตัวละครต้องแก้ปัญหา และได้ลุ้นตลอดเวลา

จุดเด่นของหนังคือการเล่นกับความสูงที่พร้อมเกิดอะไรได้ทุกรูปแบบ และอันตรายจากธรรมชาติมากมาย เช่น พายุ อีแร้ง ประกอบกับเงื่อนไขของหนังเอาชีวิตรอด ที่ตัวละครจะต้องเผชิญกับภาวะขาดน้ำ ขาดอาหาร ทำให้นอกจากคนดูจะได้ลุ้นให้ตัวละครรอดจากความสูงแล้ว ยังได้ลุ้นกับวิธีการให้ตัวเองรอดชีวิตของตัวละคร

หนังสามาราถเล่นกับมุมกล้อง และงานโปรดักชันที่ถ่ายทอดความสูงของเสาสัญญาณ​ ออกมาได้อย่างสมจริง มีการเก็บดีเทลล์ของโลเคชันที่ละเอียด ทำให้คนดูรู้สึกไม่ปลอดภัยร่วมไปกับตัวละคร นอกจากนี้จังหวะการเล่าเรื่องก็ทำได้อย่างมีชั้นเชิง

นอกจากนี้หนังยังมีการสลับระหว่างพาร์ทระทึกขวัญ และดราม่า ที่ลงตัว ซึ่งพาร์ทดราม่าของหนังก็เล่นกับมิตรภาพของทั้งสองตัวละคร ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมาย ที่เป็นจุดพลิกผัน เพิ่มสีสันให้เรื่องมีมิติมากขึ้นนอกจากแค่เรื่องเอาชีวิตรอด ทั้งนี้ของขอชื่นชมเคมีการแสดงของสองนักแสดงนำที่ต่างรับส่งอารมณ์กันได้อย่างยอดเยี่ยม

โดยรวม Fall เป็นหนังระทึกขวัญ เอาชีวิตรอดที่ดูสนุกเรื่องหนึ่ง หนังสามารถหยิบพลอตเอาชีวิตรอด มาเล่นกับความสูงได้อย่างชาญฉลาด และเต็มไปด้วยฉากที่คนดูได้ลุ้น ได้หวาดเสียวจนตัวเกร็งราวกับร่วมติดเสาไปกับตัวละคร

สามารถรับชม Fall ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Flash: อีกหนึ่งงานสุดทะเยอทะยานของ DC ที่แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ได้ใจแฟนบอยไปแบบเต็มไป

รีวิวหนัง The Flash: อีกหนึ่งงานสุดทะเยอทะยานของ DC ที่แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ได้ใจแฟนบอยไปแบบเต็มไป

หนึ่งในโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ของปี 2023 จาก DC ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกเลื่อนฉายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดหนังก็ได้เข้าฉายอย่างเป็นทางการ โดย The Flash เป็นผลงานการกำกับโดย แอนดี้ มุชเชติ (It) พร้อมนำทีมแสดงโดย เอสรา มิลเลอร์ (Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald) ,ไมเคิล คีตัน (ซีรีส์ Dopesick), เบน เอฟเฟล็ก (Gone Girl) และ ไมเคิล แชนนอน (Man of Steel)

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ แบร์รี หรือเดอะ แฟลช (เอสรา มิลเลอร์) หลังจากที่เขาได้พลังให้เป็นมนุษย์ที่รวดเร็วที่สุด และได้เป็นสมาชิกของ จัสติก ลีก เขาก็ได้ทำภารกิจช่วยผู้คนมากมาย จนกระทั่งวันหนึ่ง แบร์รี่ได้พบว่าพลังของเขานั้น สามารถเดินทางย้อนเวลาได้ ทำให้เขาตัดสินใจย้อนเวลากลับไปปกป้องแม่ของเขาจากการถูกฆ่า แต่ทว่าการแก้ไขอดีตนั้นทำให้แบร์รี่ได้หลุดไปยังโลกอีกมัลติเวิร์ส ทำให้เขาต้องหาทางปกป้องโลก และตัวเองในมัลติเวิร์สนี้ และหาทางกลับสู่โลกเก่าที่เขาเดินทางมา

The Flash คือหนัง DC ที่มาพร้อมสไตล์หนังฮีโร่บล็อกบัสเตอร์สูตรสำเร็จ ที่ยังเน้นขายความเป็นฮีโร่ปกป้องโลกอยู่ เพียงแต่ในเรื่องนี้หนังได้เพิ่มเรื่องราวของตัวแบร์รี เข้าไปมากขึ้น ซึ่งเส้นเรื่องของแบร์รีนี้เองที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนหนังเรื่องนี้ และทำให้คนดูได้เห็นมุมที่เราไม่เคยเห็นของตัวละครนี้

งานโปรดักชันของหนังทำออกมาได้ดีเยี่ยม ทีมสร้างสามารถสร้างมัลติเวิร์สในรูปแบบของ DC ที่ต่างจากของ Marvel โดยสิ้นเชิง ฉากที่เป็นจุดขายคือฉากใช้พลังของ เดอะแฟลช ที่เต็มไปด้วยลูกเล่น และท่าไม้ตายที่ชวนตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่เคยได้เห็นใน Justice League รวมทั้งฉากการต่อสู้ของเหล่าฮีโร่ ที่ในเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ตื่นตาตื่นใจ และยิ่งใหญ่สุดๆ

หนึ่งในไฮไลท์ของหนัง The Flash คือการที่หนังเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์สำหรับแฟนหนัง DC โดยเฉพาะการปรากฎตัวของไมเคิล คีตัน ในบทแบทแมน ที่เต็มไปด้วยโมเมนต์ชวนนึกถึงอดีต และแฟนเซอร์วิสของแบทแมนฉบับ 90 นอกจากนี้หนังยังซ่อนเซอร์ไพรส์ลับอีกเพียบที่ไม่ได้เผยให้เห็นในตัวอย่างไหน ที่รับรองได้ว่าถูกใจแฟนหนังอย่างแน่นอน

การแสดงในเรื่องนี้ ต้องขอชื่นชม เอสรา มิลเลอร์ ที่ถ่ายทอดเป็น เดอะ แฟลช ได้อย่างยอดเยี่ยม ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นเขาแสดงถึงสองบทบาท ที่เต็มไปด้วยคาแรคเตอร์ที่ทั้งเกรียน และเคล้าดราม่า ในพาร์ทตลก มิลเลอร์สามารถทำให้คนดูขำไปกับมุกตลกใบหน้า และตลกเจ็บตัวมากมาย ในขณะที่พาร์ทดราม่า เขาก็แสดงออกมาได้ถึงอารมณ์ไม่แพ้กัน

โดยรวม The Flash คืองานจาก DC ที่แฟนๆ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หนังเต็มไปด้วยความสนุก ความบันเทิงแบบหนังฮีโร่ที่ทุกคนจะเพลิดเพลินไปกับหนังได้ พร้อมด้วยเซอร์ไพรส์มากมายที่แฟน DC จะต้องกรี๊ดแตก และยังเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสู่หนัง DC ยุคใหม่ที่ชวนติดตามอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Flash ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Blood & Gold: หนังแอ็คชันสุดเดือดจากเยอรมัน ที่แม้จะสูตรสำเร็จของหนังล้างแค้น

รีวิวหนัง Blood & Gold: หนังแอ็คชันสุดเดือดจากเยอรมัน ที่แม้จะสูตรสำเร็จของหนังล้างแค้น

หากพูดถึงหนังแอ็คชัน สงครามโลกครั้งที่ 2 มันส์ๆ หลายคนอาจนึกถึงหนังจากอเมริกา หรืออังกฤษ แต่สำหรับ Blood & Gold คือผลงานหนังแอ็คชันฟอร์มยักษ์สัญชาติเยอรมันของ Netflix ที่กำกับโดย ปีเตอร์ ธอร์วาร์ก (Blood Red Sky)

เรื่องราวของ Blood & Gold จะว่าด้วย เฮนริช (โรเบิร์ต เมเซอร์) ชายที่หนีจากกองทัพ SS ของพรรคนาซี จนถูกลงโทษด้วยการแขวนคอ แต่โชคชะตาก็ได้ช่วยเขาไว้ เพราะเขาได้รับการช่วยเหลือจาก เอลซา (มาเรีย เฮคเก้) หญิงสาวที่อาศัยอยู่กับน้องชายที่ไม่สมประกอบ ทั้ง เฮนริช และ เอลซาต่างต้องร่วมกันเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของเหล่า SS ที่ต้องการไล่ล่าคนที่หนีรอด และตามหาทองจำนวนมาก ที่ถูกซ่อนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

แม้หนังจะมาพร้อมพลอตที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ Blood & Gold มาพร้อมกับความบันเทิงสูตรสำเร็จที่คนดูแทบไม่ต้องรู้เรื่องสงครามโลกก็สนุกกับหนังได้ เพราะหนังเลือกที่จะเล่าตามสูตรหนังล้างแค้นที่ให้อารมณ์แบบ John Wick ที่ตัวเอกมาพร้อมบุคลิกที่พูดน้อยต่อยหนัก และมีความอึดเหนือมนุษย์

ด้านฉากแอ็คชันหนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี หนังมาพร้อมฉากบู๊ที่โหดแบบเรท R ที่มีความโหดร้าย รุนแรง เลือดสาด ด้วยการผสมผสานกับกลิ่นอายของหนังคาวบอยตะวันตก ทำให้ฉากยิงกันของตัวละครในเรื่องออกมามีเสน่ห์ และเท่ แบบที่ชวนให้นึกถึงหนังของเควนติน ทารันทิโน่ อย่าง Kill Bill และ Inglourious Basterds

ส่วนพลอตเรื่องแม้จะเป็นหนังล้างแค้นสูตรสำเร็จ แต่ Blood & Gold ก็มีการผสมผสานพาร์ทดราม่าไว้ในหนังอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงการใช้อำนาจรังแกประชาชนของทหาร SS หรือการสะท้อนภาพชีวิตของชาวเยอรมันในตอนนั้น ที่บริบทต่างๆ ที่เล่าผ่านตัวละครแต่ละตัวในเรื่อง ที่เพิ่มอารมณ์ร่วมระหว่างคนดู และตัวละครในเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม

ในด้านการแสดง โรเบิร์ต เมเซอร์ ที่รับบทคตัวเอกของเรื่อง สามารถถ่ายทอดบทตัวเอกได้อย่างดีเยี่ยม เขาสามารถโชว์สกิลความเป็นแอ็คชันสตาร์ที่ทั้งเท่ และดุดัน นอกจากนี้ทีมนักแสดงที่เป็นวายร้ายของเรื่อง ก็ถ่ายทอดความโหดร้ายของนาซีผ่านบทบาทได้อย่างถึงอารมณ์ จนกลายเป็นอีกหนึ่งในจุดขายสำคัญของหนัง

โดยรวม Blood & Gold คืองานแอ็คชันระดับคุณภาพม้ามืดของ Netflix ที่เปี่ยมไปด้วยความบันเทิง และความสนุกแบบที่หนังแอ็คชันควรมี ทั้งฉากบู๊เดือดๆ และความโหด ดิบ แบบหนังเรท R ใครที่มองหาหนังบู๊มันส์ๆ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม Blood & Gold ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

เตรียมร่วมผจญภัยไปกับแก๊งโจรสลัดหมวกฟาง ในตัวอย่างแรกซีรีส์ One Piece

เตรียมร่วมผจญภัยไปกับแก๊งโจรสลัดหมวกฟาง ในตัวอย่างแรกซีรีส์ One Piece

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาแล้ว สำหรับตัวอย่างแรกของซีรีส์ Live Action One Pirece ผลงานซีรีส์ฟอร์มยักษ์ของปี 2023 จาก Netflix ที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อดังชื่อเดียวกัน โดยทีเซอร์แรกนี้ ได้ถูกปล่อยในงาน Tudum ที่ผ่านมา

โดย One Piece จะเป็นเรื่องราวของ ลูฟี่ เด็กชายที่ใฝ่ฝันว่าอยากเป็นราชาแห่งโจรสลัด เขาเลยได้ออกผจญภัยในมหาสมุทร ซึ่งระหว่างทางเขาก็ได้รวมรวมผองเพื่อนมาร่วมเป็นสมาชิก และเผชิญหน้ากับคู่ปรับมากมาย ทั้งโจรสลัดด้วยกันเอง รวมถึงเจ้าหน้าที่กองทัพเรือที่ตามล่าค่าหัวของพวกเขา

สำหรับทีเซอร์แรกของซีรีส์ที่ผล่อยออกมานั้น ก็เรียกได้ว่าถูกใจแฟนมังงะของเรื่องนี้ไม่น้อย เพราะในทีเซอร์ ได้เผยโฉมแรกของเหล่าตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น สมาชิกแก๊งหมวกฟาง ลูฟี่, โซโร, อุซป, ซันจิ และ นามิ รวมถึงวายร้ายอย่าง บากี้ และเงาของตัวละคร แชงก์​ นอกจากนี้ในตัวอย่างยังเต็มไปด้วยฉากที่คุ้นตาจากในมังงะ และอนิเมะ ทั้งฉากการช่วยชีวิต โรโรโนอา โซโร, ฉากปล่อยพลังของลูฟี่

ตัวซีรีส์ One Piece ฉบับ Live Action สร้างสรรค์โดย สตีเวน เมดา (ซีรีส์​ Lost), แมตต์ โอเวนส์​ (ซีรีส์​ Agents of S.H.I.E.L.D.) พร้อมได้ผู้เขียนฉบับมังงะ เออิจิโระ โอดะ มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง นำแสดงโดย อินากิ โกดอย (ซีรีส์ The Imperfect) รับบท ลูฟี่, แมคเคนยู (Knights of the Zodiac) รับบท โซโร, เอมิลี่ รัดด์ (Fear Street: 1978) รับบท นามิ, จาคอบ กิ้บสัน (ซีรีส์ Greenleaf) รับบท อุซป และ ทัซ สกายลาร์ (The Kill Team) รับบท ซันจิ

One Piece คือหนึ่งในมังงะที่ประสบความสำเร็จที่สุดของญี่ปุ่น เขียนโดย เออิจิโระ โอดะ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ชูเอฉะ เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1997 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ไปแล้วมากกว่า 320 ล้านเล่ม นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันทีวีอนิเมะทั้งแบบซีรีส์, The Movie และวีดีโอเกมส์

นอกจากทีเซอร์แรกของ One Piece แล้ว ภายในงาน Tudum ยังมีการประกาศโปรเจกต์ และตัวอย่างคอนเทนต์ฟอร์มยักษ์ เรื่องอื่นๆ ของ Netflix ไม่ว่าจะเป็น ซีรีส์ Squid Game ที่ได้ประกาศรายชื่อนักแสดงในซีซั่นที่ 2 รวมถึงตัวอย่างแรกหนังสายลับฟอร์มยักษ์ Heart of Stone ที่เตรียมฉายในปลายปีนี้

โดยซีรีส์ One Piece ฉบับ Live Action จะมีกำหนดฉาย 31 สิงหาคมนี้ ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง Extraction 2: ประสบการณ์การดูหนัง ที่เหมือนกับว่ากำลังเล่นเกมอยู่ ฉากแอ็คชันยกระดับจากภาคแรกในทุกๆ ด้าน เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน และอลังการ เป็นสองชั่วโมงที่แฟนหนังแอ็คชันจะต้องอิ่มเอม

รีวิวหนัง Extraction 2

ภาคต่อของหนังแอ็คชันฟอร์มยักษ์ที่หลายคนรอคอย สำหรับ Extraction 2 หลังจากที่ภาคแรกได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของทั้งคึนดู และนักวิจารณ์ จนกลายเป็นอีกคอนเทนต์แนว แอ็คชันที่คนดูเยอะที่สุดของ Netflix โดยในภาคที่สองนี้หนังยังได้ทีมสร้างชุดเดิมนำโดย แซม ฮาร์เกรฟ  ที่กลับมารับหน้าที่กำกับ พร้อมด้วยโจ และแอนโธนี่ รุสโซ (Avengers: Endgame) ที่กลับมารับหน้าที่เขียนบท และ คริส แฮมเวิร์ธ (Thor: Love and Thunder) กลับมารับบทนำอีกครั้ง

สำหรับเรื่องราวของ Extraction 2 จะว่าด้วยเหตุการณ์ต่อจากในภาคแรก เมื่อ ไทเลอร์ เรค (คริส แฮมเวิร์ธ) ได้รอดชีวิตจากเจ้าพ่อค้ายามาได้ และได้ไปพักฟื้นในสถานที่อันห่างไกลผู้คน จนเขาได้รับมอบหมายภารกิจครั้งใหม่ ด้วยการช่วยเหลือครอบครัวที่ถูกแก๊งมาเฟียจอร์เจียจับตัวไป ซึ่งภารกิจครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายที่เสี่ยงตายกว่าครั้งที่ผ่านมา

ตัวหนังในภาคนี้เรียกได้ว่าจัดเต็มด้วยคุณภาพที่ยกระดับจากภาคแรกในแทบทุกด้าน ทั้งด้านบท งานโปรดักขัน และการออกแบบฉากบู๊ หนึ่งในสิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือลองเทคยาว 21 นาที ที่ลากยาวตั้งแต่ฉากบู๊ภายในคุก ต่อมาจนถึงฉากขับรถไล่ล่า ซึ่งมีการวางจังหวะต่อสู้ได้อย่างลงตัว เราไม่ได้เห็นเพียงตัว ไทเลอร์ โชว์ลีลาแค่คนเดียว แต่ยังได้เห็นเพื่อนร่วมทีม รวมถึงวายร้ายร้าย และตัวประกอบมาร่วมสร้างสีสันให้ 21 นาทีนี้เต็มไปด้วยสีสันที่ไม่น่าเบื่อ

นอกจากฉากลองเทคแล้ว หนังยังเต็มไปด้วยซีเควนซ์ต่อสู้ที่เล่นใหญ่ ใส่เต็ม แบบไม่มีกั้ก โดยเฉพาะฉากยิงกันที่จัดเต็มด้วยปืนทุกประเภท รวมถึงอาวุธทุกรูปแบบ พร้อมด้วยการฆ่าที่โหด รุนแรง เรียกได้ว่าเป็นหนังที่มอบประสบการณ์ที่อิ่มเอมคอหนังบู๊มากที่สุด หลายฉากดูแล้วให้อารมณ์เหมือนกำลังเล่นเกมแนว Shooting มันส์ๆ อยู่

ในส่วนของพาร์ทดราม่าในภาคนี้ก็ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยผู้ชมจะได้เห็นความจัดแย้งของเหล่าตัวเอก ตัวประกัน และวายร้าย ที่นำมาสู่เหตุการณ์ที่ชวนลุ้น โดยเฉพาะในด้านตัวร้ายที่ในภาคนี้ที่ทำออกมาได้มีมิติ มีความน่าจดจำมากกว่าภาคแรก และสมควรในการเป็นคู่ปรับของ ไทเลอร์ เรค

โดยรวม Extraction 2 เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชันแห่งปี 2023 ที่ยกระดับคุณภาพจากภาคแรกในแทบทุกด้าน ทั้งงานโปรดักชัน และฉากบู๊ ที่มอบประสบการณ์การดูหนังแอ็คชันที่ยอดเยี่ยม ไม่แพ้ John Wick 4 ที่ฉายต้นปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้

สามารถรับชม Extraction 2 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Shazam! Fury of the Gods: งานภาคต่อ ที่ยกระดับงานโปรดักชั่น

รีวิวหนัง Shazam! Fury of the Gods: งานภาคต่อ ที่ยกระดับงานโปรดักชั่น

ภาคต่อของหนังฮีโร่อารมณ์ดีจากค่าย DC ที่ในครั้งนี้ยังได้ เดวิด เอฟ แซนด์เบิร์ก (Light Out) กลับมารับหน้าที่กำก้บอีกครั้ง พร้อมได้ทีมนักแสดงชุดเดิมกลับมา นำทีมโดย ซาชาลี่ เลวิ (Office Uprising), แอชลีย์ แองเจิล (ซีรีส์ High School Musical: The Musical: The Series), แจค ดีแลน เกรเซอร์ (It) ไจมอน ฮอนซู (A Quiet Place 2) พร้อมเสริมทัพด้วย ราเชล เซกเลอร์ (West Side Story), เฮเลน มิลเลน (Fast 9) และ ลูซี่ หลิว (Kill Bill)

เรื่องราวใน Shazam! Fury of the Gods จะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากภาคแรก หลังจากที่ บิลลี่ (แอชลีย์ แองเจิล) และเพื่อนๆ ในบ้านเด็กกำพร้าได้รับพลังให้สามารถแปลงร่างเป็นชาแซมได้ พวกเขาก็ได้ร่วมกันปกป้องผู้คนในเมือง จนกระทั่งได้มีศัตรูตัวใหม่มาเล่นงานพวกเขา นั่นคือลูกสาวทั้งสามของเทพแอตลาส ที่ได้เคียดแค้นที่ถูกขโมยพลังวิเศษ โดยพวกเธอทั้งสามได้พยายามที่จะขโมยพลังชาแซม จากพวกของบิลลี่ และทำลายล้างโลก

ในภาคนี้หนังยังคงมาพร้อมโทนเรื่องที่ไม่ต่างจากภาคแรก ที่เต็มไปด้วยความฟีลกู้ด ทั้งฉากคอเมดี้ และความเป็นหนัง Coming of age ท่ีเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่เป็นเยาวชน ซึ่งทุกคาแรคเตอร์ในเรื่องยังคงความเป็นตัวละครในภาคแรกอย่างครบถ้วน ส่วนที่เพิ่มเติมคือหนังจะไม่ได้โฟกัสที่ตัวละคร บิลลี่ และเฟรดดี้ เหมือนในภาคแรก แต่จะเล่าผ่านกลุ่มตัวละครเด็กกำพร้าทั้งหมด

จุดเด่นของภาคนี้คืองานโปรดักชั่นที่ทำได้อย่างก้าวกระโดด หนังมีฉากแอ็คชั่นที่ครบรส และยิ่งใหญ่ จัดเต็มกว่าภาคแรก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพ หรือการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด ที่เพิ่มความระทึก ความตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้หนังยังซ่อนเซอร์ไพรส์มากมาย สำหรับแฟนหนัง DC หรือใครที่ขื่นชอบตำนานปรัมปรา น่าจะเพลิดเพลินไปกับการนำเรื่องราวของเทพ มาเล่าในหนังได้อย่างชวนติดตาม

ในขณะที่พาร์ทแอ็คชั่นหนังทำได้ดีขึ้น แต่ด้านการเล่าเรื่องของหนังภาคนี้กลับดรอปลงอย่างชัดเจน เนื่องจากหนังพยายามเล่าผ่านหลากหลายตัวละคร จนทำให้พาร์ทดราม่าแบบไหนภาคแรกหายไปโดยสิ้นเชิง ส่วนที่น่าเสียดายที่สุดคือวายร้ายในภาคนี้ที่คาดมิติ จนดูเป็นตัวร้ายทื่อๆ ที่ไม่ได้มีความน่าจดจำใดๆ แม้กระทั่งการแสดงของ เฮเลน มิลเลน ก็ไม่สามารถช่วยได้

โดยรวม Shazam! Fury of the Gods ถือว่าเป็นหนังภาคต่อที่ยังพอรักษาความเป็นตัวตนจากภาคแรกเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ด้านคุณภาพหนัง ภาคนี้กลับด้อยลงอย่างน่าเสียดาย หนังมีบทที่ธรรมดา และตัวร้ายที่ไม่น่าจดจำอย่างสิ้นเชิง และกลายเป็นเพียงหนังบล็อกบัสเตอร์ที่พอดูเพลินๆ ที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร

สามารถรับชม Shazam! Fury of the Gods ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง

Final Fantasy 7 Advent Children จะกลับมาในระบบ 4K

Final Fantasy 7 Advent Children จะกลับมาในระบบ 4K

ปี 2563 ที่ผ่านมาเพื่อน ๆ หลายคนคงได้ดูหรือได้เล่นเกม Final Fantasy 7 Remake กันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วและคงรู้สึกสนุกไปกับเนื้อเรื่องรวมถึงตัวละครที่มีความน่ารักสดใสและมีความหล่อเท่ โดยเนื้อเรื่องใน Final Fantasy 7 Remake นั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงเนื้อหาไปมาก เพื่อจะทำภาคต่อไปนั่นเอง

แต่สำหรับใครที่เป็นแฟนเกม Final Fantasy 7 ภาคหลักแล้ว ก็คงจะรู้ดีว่า Final Fantasy 7 นั้นมีทั้งเนื้อเรื่องที่เป็นเนื้อเรื่องก่อนภาคหลักที่มีชื่อว่า Final Fantasy 7 Crisis Core ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน Final Fantasy 7 ภาคหลัก และหลังจบภาคหลักก็ได้มีภาพยนตร์ Final Fantasy 7 ที่ทำด้วย CGI โดยเนื้อหานั้นเป็นเนื้อหาที่ต่อเนื่องจาก Final Fantasy 7 ภาคหลัก เมื่อเพื่อน ๆ รู้เนื้อหาของ Final Fantasy 7 ทั้งหมด 3 ภาคนี้แล้วก็จะเป็นการจบเนื้อเรื่อง Final Fantasy 7 ที่สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่ในอดีตเคยมีมา

Cr.Wallpaperaccess

เชื่อว่ามีหลายคนไม่ได้รู้จัก Final Fantasy 7 จากเกมมาก่อนแต่ได้รู้จัก Final Fantasy 7 จากภาพยนตร์ในเรื่อง Final Fantasy 7 Advent Children ที่ได้ฉายออกมาในช่วงปี 2005 สำหรับในช่วงนั้นแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีภาพที่สวยงามมากเลยทีเดียว ผู้เขียนก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้เล่นเกม Final Fantasy 7 แต่รู้จักเกม Final Fantasy 7 จากภาพยนตร์เรื่อง Final Fantasy 7 Advent Children เช่นเดียวกัน

Cr.Wall.Alphacoders

และนับว่าเป็นข่าวดีมากสำหรับแฟนภาพยนตร์เรื่อง Final Fantasy 7 Advent Children เพราะว่าจะมีการรีมาสเตอร์ตัวภาพยนตร์ให้มีความคมชัดมากขึ้นโดยใช้ระบบ 4K ซึ่งเป็นระบบเทคโนโลยีภาพที่ชัดมากในปัจจุบันนี้ เราจะได้เห็นภาพที่สวยมากกว่าในปี 2005 อย่างแน่นอนเลย โดยกำหนดวันที่จะออกมาสู่สายตาของแฟนเกมในช่วงวันที่ 8 มิถุนายน 2020 ซึ่งเป็นการออกมาเพื่อเรียกน้ำย่อยให้กับผู้เล่นที่รอคอยที่จะเล่นเกม Final Fantasy 7 Remake Intergrade ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องภาคต่อของ Final Fantasy 7 Remake ที่จะถูกปล่อยมาให้เล่นกันในวันที่ 10 มิถุนายน 2020

Cr.Wallpaperaccess

ก็อีกไม่กี่เดือนแล้วที่เราจะได้รับรู้ถึงเรื่องราวภาคต่อของ Final Fantasy 7 Remake รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ชวนคิดถึงอย่าง Final Fantasy 7 Advent Children อย่าลืมมาติดตามเรื่องราวสุดมันกันนะในช่วงเดือนมิถุนายน รวมไปถึงดาวน์โหลดเกม Final Fantasy 7 Remake ทุก ๆ ภาคมาเล่นเพื่อที่จะได้รู้สึกอินไปกับเนื้อหาด้วยนะ

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Black Phone: อีกหนึ่งหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ สูตรสำเร็จ

รีวิวหนัง The Black Phone: อีกหนึ่งหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ สูตรสำเร็จ

The Black Phone เป็นผลงานหนังการร่วมสร้างโดย Universal Studios และ Blumhouse Productions ที่เป็นงานกำกับโดย สก้อตต์ ดิคคินสัน (Sinister) ที่ได้ โจ ฮิล ลูกชายของเจ้าพ่อนิยายเขย่าขวัญ สตีเวน คิง มารับหน้าที่ร่วมเขียนบท พร้อมได้ อีธาน ฮอว์ค (Sinister) มาร่วมแสดงนำ

เรื่องราวของ The Black Phone จะว่าด้วยอเมริกาในปี 1978 ผ่านตัวละคร ฟินนีย์ (เมสัน ทาเมส) เด็กชายที่มักถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนรังแก จนกระทั่งวันหนึ่ง ฟินนีย์ ได้ถูกลักพาตัวโดย นักฉก (อีธาน ฮอว์ค) และนำเขาไปขังไว้ในห้องใต้ดิน ในระหว่างที่โดนขังอยู่นั้น ฟินนีย์ได้พบว่ามีโทรศัพท์ปริศนาอยู่ในห้อง ที่เขาสามารถติดต่อสื่อสารกับเหล่าวิญญาณเด็กๆ ที่ถูกฆ่าก่อนหน้านี้ได้ จนนำมาสู่การเอาชีวิตรอดสุดระทึก ผสมบรรยากาศที่น่าขนลุก

แม้จะมาพร้อมพลอตหนังที่ดูเป็นหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ ในที่ปิดตาย แต่สำหรับ The Black Phone นับว่าเป็นหนังที่เต็มไปด้วยเนื้อหา และดีเทลล์ที่มากกว่านั้น ตลอดทั้งเรื่องหนังพาคนดูย้อนไปสำรวจวิถีชีวิตของอเมริกาในปี 1978 ที่เป็นปีที่เต็มไปด้วยฆาตกรต่อเนื่อง และคดีสะเทือนขวัญ ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ คือการบูลลี่ในโรงเรียน ความเป็นคนชายขอบ และปัญหาครอบครัว

หนังสามารถใช้ช่วงองก์ 1 ของเรื่องอธิบายที่มาของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ แม้จะมีช่วงที่เนิบช้าไปบ้าง แต่ก็ทำให้คนดูรู้สึกร่วม และอยากเอาใจช่วยตัวละคร ฟินนีย์ ไปตลอดทั้งเรื่องก่อนที่องก์ 2 เป็นต้นไปหนังจะกระหน่ำความตื่นเต้น ปนสยองมาอย่างต่อเนื่อง

ในแง่ของความเป็นหนังเอาชีวิตรอด หนังมาพร้อมสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้ ที่ไม่ได้มีวิธีการเอาตัวรอดที่หวือหวา หรือแปลกใหม่มากนัก แต่ความพิเศษของ The Black Phone คือการที่หนังเล่นกับความลึกลับ น่ากลัวของโทรศัพท์ ที่ทุกครั้งที่ตัวละครรับ จะมีความน่ากลัว และบรรยากาศที่ชวนลุ้นกว่าเดิม และเพิ่มอรรถรสให้คนดูตื่นเต้นไปกับหนังมากยิ่งขึ้น

ด้านการแสดงในเรื่องนี้ ที่โดดเด่นที่สุดต้องขอยกให้ อีธาน ฮอว์ค ที่รับบทคนโรคจิตได้อย่างน่าขนลุก ทั้งความคิด พฤติกรรม โดยเฉพาะแววตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก จนต้องยกให้เป็นหนึ่งในบทคนโรคจิตที่มีความน่ากลัวเป็นธรรมชาติที่สุด ส่วนด้าน เมสัน ทาเมส ที่มารับบทหลักในหนังยาวเรืองแรก ก็นับว่าถ่ายทอดบทบาทเด็กชายที่ต้องเอาชีวิตได้อย่างสมจริง ยอดเยี่ยม

โดยรวม The Black Phone เป็นหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ สายบันเทิงอีกเรื่องที่ทำออกมาได้อย่างสนุก ชวนติดตาม หนังมีความครบรส ทั้งความเป็นหนังเอาชีวิตรอด หนังผี และหนังดราม่า ที่ผสมผสานกันได้อย่างกลมกล่อมลงตัว ใครที่ชอบงานระทึกขวัญ พลอตล้ำๆ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Black Phone ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าไดโนเสาร์ที่กลับมาออกอาละวาด ในทีเซอร์แรกจาก Jurassic World: Dominion

เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าไดโนเสาร์ที่กลับมาออกอาละวาด ในทีเซอร์แรกจาก Jurassic World: Dominion

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาแล้วสำหรับทีเซอร์แรกของโปรเจกต์ที่หลายคนรอคอยอย่าง Jurassic World: Dominion หนังภาคที่ 3 ของไตรภาคชุด Jurassic World ที่ล่าสุดทาง Universal Pictures ก็ได้ทำการเผยคลิปแรกจากหนัง เป็นฉาก Prologue จากหนัง คือฉากเปิดเรื่องความยาว 5 นาทีแบบจุใจ

อย่างที่แฟนหนังชุดนี้หลายคนพอทราบดี ว่าในเหตุการณ์จาก Jurassic World: Fallen Kingdom จะว่าด้วยการระเบิดของภูเขาไฟจากเกาะในสวนสนุก Jurassic World และได้มีการนำไดโนเสาร์บางส่วนออกมาจากเกาะ แต่ด้วยความผิดพลาดก็ได้มีไดโนเสาร์บางส่วนหลุดออกมาสู่โลกภายนอก และออกอาละวาดเมืองจนสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คน สำหรับใน Jurassic World: Dominion ก็จะเป็นการพูดถึงโลกมนุษย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาของสัตว์โลกล้านปีที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ในคลิปที่ปล่อยมานั้นเราจะได้เห็นฉากเปิดเป็นการย้อนไปยังยุคโลกล้านปีช่วงที่ ไดโนเสาร์ยังครองโลกอยู่ ซึ่งในฉากก็ได้นำเสนอวงจรชีวิตต่าง ๆ ของเหล่าไดโนเสาร์ด้วยงานภาพที่สวยงามตระการตา ก่อนที่จะตัดฉากมายังปัจจุบันเมื่อไดโนเสาร์ได้หลุดมายังสถานที่ที่มีการฉายหนังแบบ Drive In จนเกิดเหตุการณ์ชุลมุน ในขณะเดียวกันก็มีหน่วยรบที่ทำการตามล่าเพื่อคอยจัดการกับไดโนเสาร์ที่หลุดออกไป จนนำมาสู่ฉากเปิดเรื่องสุดระทึก

สำหรับ Jurassic World: Dominion ได้ คอร์ริน เทรวอร์โรว์ มือกำกับจาก Jurassic World กลับมารับหน้าที่กำกับอีกครั้ง นอกจากนี้ เทรวอร์โรว์ ยังทำหน้าที่ร่วมเขียนบทกับ เอมิลี่ คาร์มิเชล (Pacific Rim: Uprising) และ เดเรค คอนอลลี่ (Pokémon: Detective Pikachu) พร้อมได้ผู้สร้างสรรค์แฟรนไชล์ชุด Jurassic Park อย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก กลับมารับหน้าที่ร่วมอำนวยการสร้างอีกครั้ง นำแสดงโดย คริส แพร็ต (Guardian of the Galaxy), แดเนียลลา พิเนดา (ซีรีส์ Cowboy Bebop), ไบรซ์ ดัลลาส โฮเวิร์ด (Rocketman) นอกจากนี้ยังได้ทีมนักแสดงจาก Jurassic Park กลับมาร่วมสมทบในบทเดิมอีกครั้งไม่ว่าจะเป็น แซม นีล (ซีรีส์ Invasion), เจฟฟ์ โกลด์บลัม (Hotel Artemis) และลอว์รา เดิร์น (ซีรีส์ Big Little Lies)

นอกจากหนังยาวแล้ว ก่อนหน้าที่ Jurassic World: Dominion ก็ยังมีหนังสั้น Battle at Big Rock ที่ปล่อยมาให้ชมเมื่อปี 2019 เป็นหนังควายาว 10 นาทีที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวที่ได้ไปแคมป์ปิ้ง และพวกเขาได้เผชิญกับการต่อสู้ของเหล่าไดโนเสาร์ จนนำมาสู่เหตุการณ์ชวนระทึก ซึ่งตัวหนังสามารถรับชมได้บน Youtube

สำหรับ Jurassic World: Dominion จะมีกำหนดฉายช่วงฤดูร้อนปี 2022 นี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Jurassic World Dominion | Prologue

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง