รีวิวหนัง The Lost Daughter

The Lost Daughter

ประเด็นของความเป็น “ แม่ ” ออกมาได้แตกต่าง สะเทือนใจกว่าที่คิด โอลิเวียร์ โคลแมน และ เจสซี่ บั้คลีย์ สถ่ายทอดความรู้สึกผิดบาปของตัวละครออกมาได้อย่างถึงอารมณ์

The Lost Daughter คือผลงานส่งท้ายปีจาก Netflix (เพราะหนังเข้าฉายวันที่ 31 ธันวาคม) ที่เป็นที่สนใจจากคอหนัง และนักวิจารณ์อย่างมาก เพราะด้วยความที่เป็นงานดราม่า ที่ได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง โอลิเวียร์ โคลแมน (The Favourite) มาร่วมแสดงนำ โดยเป็นงานกำกับ และเขียนบทหนังขนาดยาวเรื่องแรกของ แม้กกี้ จิลเลนฮาล (The Deuce) ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ได้รับคะแนนจ่กนักวิจารณ์ใน Rotten Tomatoes สูงถึง 96% จนกลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าจะโดดเด่นในเวทีรางวัลมากมายในปี 2022 นี้

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ เลด้า (โอลิเวียร์ โคลแมน) ศาสตราจารย์หญิงที่ได้เดินทางไปพักร้อนที่เมืองติดชายหาด แต่ระหว่างที่เธอกำลังพักผ่อนอย่างสงบ เลด้า ก็ได้พบกับครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง ที่มาพักผ่อนแบบเดียวกับเธอ โดยหนึ่งในสมาชิกในครอบครัวนั้นก็ได้มี นิน่า (ดาโกต้า จอห์นสัน) คุณแม่สุดเซ้กซี่ ที่เมื่อ เลด้า ได้เห็นครั้งแรก ก็ทำให้เธอนึกถึงช่วงชีวิตเมื่อเธอยังเป็นคุณแม่วัยสาว และมันก็ได้ค่อย ๆ ขุดอดีตที่เลวร้ายของ เลด้า ออกมาโดยที่เธอไม่รู้ตัว

The Lost Daughter เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ว่าด้วยคนที่เป็น ‘แม่’ ออกมาได้แตกต่างจากหนังแนวนี้เรื่องอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง ตัวหนังจะพาคนดูไปร่วมสำรวจความผิดบาปของตัวละคร จากการล้มเหลวในการทำหน้าที่แม่ ผ่านการย้อนอดีต ประเด็นหลัก ๆ ของหนังเรืองนี้เลยไม่ใช่ความเป็นหนังดราม่า ครอบครัว แต่มันคือการพูดถึงความยากลำบากของความเป็น ‘แม่’ และการตัดสินใจในชีวิตระหว่างครอบครัวและความฝัน

แม้หนังจะค่อนข้างดูอินดี้ และเหมือนจะเข้าถึงยาก แต่พอดูจริง ๆ The Lost Daughter ถือว่าเป็นหนังที่ดูง่าย ที่สนุกเพลิดเพลินกว่าที่คิดไว้มาก ช่วงแรกตัวหนังนำเสนอเหตุการณ์ที่ส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องเคยประสบพบเจอในชีวิต ทั้งการโดนรบกวนระหว่างเที่ยวจากกลุ่มคนที่มาหลายคน หรือช่วงเวลาที่พูดถึงความยากลำบากในการเลี้ยงเด็ก ทำให้หนังสามารถรีเรทกับคนดูส่วนใหญ่ได้

 ในส่วนของครึ่งหลังของหนัง จะเป็นการเฉลยปมต่าง ๆ และเป็นช่วงระเบิดอารมณ์ของตัวละคร ที่เรียกได้ว่าทำออกมาได้พีค และหนักหน่วงมาก ตัวหนังได้ถ่ายทอดด้านมืดของจิตใจตัวละคร ผ่านฉากแฟลชแบ็กให้คนดูได้เห็นกระทำอันเลวร้ายต่าง ๆ ที่ชวนบีบอารมณ์ พร้อมทั้งยังเป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในเรื่องได้มาถึงจุดแตกหัก

หนึ่งในทีเด็ดที่น่าชื่นชมของหนังเรื่องนี้คือการทิ้งปมแบบปลายเปิด ว่าแท้จริงแล้วหนังจบแบบ Happy Ending หรือจบแบบสะเทือนใจ โดยให้คนดูใช้มุมมองของตัวเองตัดสิน จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่หนังได้นำเสนอไว้ก่อนหน้านี้

ในด้านการแสดง โอลิเวียร์ โคลแมน ยังคงมอบการแสดงที่น่าจดจำได้อีกครั้ง ในเรื่องนี้เธอมาในบทที่ต้องเก็บอารมณ์ และต้องเป็นคนที่รู้สึกผิดบาปอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเธอก็สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครออกมาได้อย่างน่าชื่นชม เช่นเดียวกับ เจสซี่ บั้คลีย์ (I’m Thinking of Ending Things) ที่มารับบท เลด้า ในวัยสาว ที่เธอสามารถนำเสนอขั้วตรงข้ามของ โคลแมน โดยสิ้นเชิง แต่กระนั้นทั้งคู่ก็ยังทำให้เราเชื่อว่าพวกเธอรับบทเป็นตัวละครเดียวกัน

โดยสรุป The Lost Daughter คืออีกหนึ่งงานจาก Netflix ชั้นเยี่ยมอีกเรื่อง ที่อยากแนะนำให้ได้ลองดูกัน หนังดูง่าย สนุก และสามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้เป็นอย่างดี หนังสามารถเล่นกับประเด็นความเป็น ‘แม่’ ออกมาได้อย่างแตกต่าง พร้อมทั้งยังพาเราไปสำรวจความรู้สึกผิดบาป ได้อย่างลึกซึ้ง เข้าถึงอารมณ์ ใครที่ชอบงานดราม่าอารมณ์หน่วง ๆ และเต็มไปด้วยนัยยะให้ตีความ นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Lost Daughter ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ : IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

นักรบสาว อาชิน ในตัวอย่างล่าสุดของ “Kingdom: Ashin of the North” หนังภาคแยกจากซีรีส์ Kingdom

Kingdom: Ashin of the North

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการปล่อยทีเซอร์แรก และภาพโปสเตอร์ มายั่วน้ำลายคนดูไปแล้ว ในที่สุด Netflix ก็ได้ปล่อยตัวอย่างแรกอย่างเป็นทางการของ Kingdom: Ashin of the North ภาคแยกของซีรีส์สุดโด่งดังอย่าง Kingdom มาให้ได้ชมกันแล้ว

สำหรับ Kingdom: Ashin of the North จะมาในรูปแบบหนังความยาว 1 ชั่วโมงครึ่ง ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ อาชิน (จูจีฮยุน) หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านทางตอนเหนือของเกาหลี ผู้ต้องการช่วยเหลือแม่ของตัวเองจากอาการป่วย  แต่เรื่องสุดระทึกก็ได้เริ่มขึ้น

เมื่อมีการพบสมุนไพรที่สามารถทำให้คนที่ตายสามารถฟื้นคืนชีพได้ จนกระทั่งสมุนไพรดังกล่าวก็นำมาสู่ความสยอง เมื่อเกิดกองทัพซอมบี้อาละวาด ที่เริ่มจากสัตว์ป่า และลามมาสู่คน อาชิน เลยต้องเอาชีวิตรอดจากกองทัพซอมบี้ และล้างแค้นเหล่าขุนนางชั้นสูงที่เอาเปรียบเธอ และครอบครัวมาเนิ่นนาน

โดย Kingdom: Ashin of the North จะเป็นผลงานการกำกับของ คิมซองฮุน (ซีรีส์ Kingdom, A Hard Day) เขียนบทโดย คิมอุนฮี (ซีรีส์ Signal) นำแสดงโดย จุนจีฮยุน (My Sassy Girl) ซึ่งเนื้อหาขอหนังเรื่องนี้จะเป็นภาค Spin-off ของซีรีส์ Kingdom ที่จะเป็นการเฉลยที่มาของตัวละครอาชิน ที่ปรากฎตัวในตอนท้ายของ Kingdom ซีซั่น 2

Kingdom คือซีรีส์แอคชั่น ระทึกขวัญ/สยองขวัญ ฟอร์มยักษ์สัญชาติเกาหลีของ Netflix ที่ว่าด้วยเรื่องราวของเกาหลีในช่วงสมัยราชวงศ์โชซอน ที่ได้เกิดโรคระบาดลึกลับที่ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก

จากนั้นร่างไร้วิญญาณเหล่านั้น ก็ได้ฟื้นคืนชีพเป็นซอมบี้ อาละวาดไปทั่วเมืองหลวง เจ้าชายอีชัง (จูจีฮุน) เลยต้องหาทางรวบรวมกองกำลังเพื่อหาทางรับมือกับซอมบี้ให้หมดไปจากเมือง พร้อมทั้งต้องหาทางชิงบัลลังก์ให้กลับคืนมาจากเหล่าทรราช

โดยซีรีส์ Kingdom ถือว่าเป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดอีกเรื่องของ Netflix รวมถึง เป็นซีรีส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาหลี ด้วยทุนสร้างต่อตอน ที่สูงถึง 1 ล้านเหรียญฯ (หรือตีเป็นเงินไทยราว ๆ 30 ล้านบาท) พร้อมทั้งยังเป็นซีรีส์ที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั้งคนดู และนักวิจารณ์ด้วยคะแนนจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ถึง 96%

ด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่ผสมผสานความสยองขวัญ ระทึกขวัญแบบหนังซอมบี้ พร้อมบทที่เต็มไปด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคม ในพาร์ทการเมืองที่เข้มข้นทำให้ใครก็ตามที่ได้ดูเรื่องนี้ล้วนแต่ชื่นชอบ และติดอกติดใจ ปัจจุบันซีรีส์ Kingdom มีทั้งหมด 2 ซีซั่น ความยาวซีซั่นละ 6 ตอน ในส่วนของซีซั่น 3 ตอนนี้อยู่ในระหว่างพัฒนา โดยคาดว่าน่าจะได้ชมในปี 2022

สำหรับ Kingdom: Ashin of the North จะมีกำหนดฉาย 23 กรกฎาคมนี้ใน Netflix เท่านั้น

Cr. ภาพ : hancinema

ติดตามบทความ ซีรีส์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com