รีวิวหนัง Spider-Man : No Way Home

SpiderMan No Way Home

บทสรุปไตรภาค Homecoming ที่อัดแน่นด้วยเซอร์ไพรส์ที่คุณจะต้องหลงรัก พาร์ทดราม่าทำออกมาได้หนักหน่วง และยอดเยี่ยมมาก

ผลงานหนังฮีโร่ส่งท้ายปีจาก MCU และ Sony Pictures ที่คนทั่วโลกรอคอยมากที่สุด กับ Spider-Man: No Way Home ที่ครั้งนี้เป็นการหยิบประเด็นของ มัลติเวิร์ส มาเล่นอย่างเป็นทางการ หลังจากก่อนหน้านี้มีการเกริ่นมาบ้างแล้วใน Loki พร้อมทั้งนี่ยังเป็นภาคสุดท้ายของไตรภาค Homecoming อีกด้วย

โดยหนังจะว่าด้วยเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจาก Spider-Man : Far From Home โดยทันที เมื่อ สไปเดอร์แมน (ทอม ฮอลแลนด์) ได้ถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าเขานั้นคือ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ และยังถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนฆ่ามิสเทอริโอ (เจค จิลลาฮาล) จากเหตุการณ์ดังกล่างได้ทำให้ชีวิตปีเตอร์ และคนรอบข้างต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้ ปีเตอร์ ได้ไปขอความช่วยเหลือจาก ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ (เบเนดิค คัมเบอแบตช์) ให้ทำการร่ายเวทมนต์ให้คนทั้งโลกลืมว่าเขาคือสไปเดอร์แมน แต่ทว่าผลกระทบจากการร่ายเวทมนต์นี้คือมันได้ทำให้วายร้ายจากจักรวาลอื่นหลุดเข้ามาในจักรวาลของปีเตอร์ และได้เข้ามาไล่ล่าสไปเดอร์แมน

Spider-Man: No Way Home เรียกได้ว่าเป็นหนังที่อัดแน่นด้วยเซอร์ไพรส์ทั้งในด้านความเอาใจแฟน ๆ รวมถึงตัวคุณภาพของการเล่าเรื่อง ตัวหนังได้สานต่อเรื่องราวจาก Spider-Man ก่อนหน้านี้ทั้งสองภาค ด้วยการหยิบเรื่องราวชีวิตวัยรุ่นของ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ที่เติบโตขึ้นมาอีกขั้น โดยครั้งนี้จะพูดถึงชีวิตเด็ก ม.ปลาย ที่ต้องเติบโต ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ปีเตอร์ในภาคนี้เลยมีความเป็นผู้ใหญ่ ที่ต้องรับมือกับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นกวาเดิม

หนังได้หยิบความเป็นฮีโร่แบบเด็กน้อยของ สไปเดอร์แมนมาใช้ โดยเราจะได้เห็นความเป็นมิตรของ ปีเตอร์ ที่ได้นำพาเขาให้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และมันก็ได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล ตัวหนังเลือกที่จะหยิบประเด็นนี้มานำเสนอแบบตรงไปตรงมา และไร้ซึ่งความปราณีในการที่จะใส่ดราม่าที่หนักหน่วง และรุนแรงมาก ๆ จนคนดูหลาย ๆ คนอาจเสียน้ำตาให้หนังได้ไม่ยาก

ในส่วนของฉากแอคชั่นในภาคนี้อาจไม่ได้มีเยอะมาก แต่ทว่าแต่ละฉากนั้นล้วนแต่เป็นแอคชั่นที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ ที่ชวนตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะในฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง ที่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนังเรื่องนี้ที่ทุกคนจะต้องหลงรัก หากแต่ปัญหาเล็กน้อยคือ การนำเสนอฉากแอคชั่นที่ยังเต็มไปด้วยการตัดต่อมากเกินไป จนทำให้บางช่วงดูแทบไม่รู้เรื่อง

ในส่วนของการแสดง ทอม ฮอลแลนด์ ในภาคนี้เรียกได้ว่าเห็นพัฒนาการโดยชัดเจน ในภาคนี้ ทอม ได้นำเสนอการเติบโตของ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ โดยเฉพาะความคิดที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ฉากดราม่า ฉากที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์เขาก็แสดงมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

แต่อีกหนึ่งนักแสดงที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ วิลเล็ม เดโฟ ที่กลับมารับบท กรีน ก็อบลิน อีกครั้ง ซึ่งเขาก็ยังถ่ายทอดความร้ายกาจของตัวละครนี้ออกมาได้แบบไม่แผ่ว ทุกครั้งที่เดโฟ ปรากฎ สามารถสะกดสายตาคนดู และสร้างบรรยากาศที่น่าสะพรึงได้

Spider-Man: No Way Home นับว่าเป็นหนังแห่งปรากฎการณ์จากMCU ที่นานทีจะมีให้ชม หนังเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ที่แฟน Marvel จะหลงรัก ในขณะที่เดียวกันมันก็ยังเป็นภาคที่สรุปเรื่องราวในไตรภาค Homecoming ที่น่าจดจำมาก ๆ อีกด้วย

สามารถรับชม Spider-Man : No Way Home ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ : IMDB

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง Cinderella: ตำนานความรักรองเท้าแก้ว

cinderella

เวอร์ชั่นใหม่ ที่เน้นมิวสิคคัล เล่าเรื่องร่วมสมัย และจัดเต็มด้วยเพลงเพราะตลอดทั้งเรื่อง แต่กลับแป้กในด้านบท และความแปลกใหม่โดยสิ้นเชิง

นิทานปรัมปราคลาสสิก เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบยอดนิยมสำหรับฮอลีวูดที่มักจะหยิบมาสร้างเป็นหนัง ไม่ว่าจะเป็น Snow White, Hanzel & Gretel ล่าสุด Cinderella ก็ได้ถูกหยิบมาสร้างเป็นหนังอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อปี 2015 พึ่งมีเวอร์ชั่นของ Walt’s Disney ไป โดยครั้งนี้เป็นผลงานสร้างของ Sony Pictures ที่ได้ฉายลงบนสตรีมดังอย่าง Amazon Prime

ตัวเนื้อหาในเวอร์ชั่นนี้ก็ไม่ได้ต่างจากฉบับดั้งเดิม คือยังเป็นการพูดถึง เอลล่า หรือซินเดอเรลล่า (รับบทโดย คามิเลีย คาเบลโล) หญิงสาวกำพร้าที่ต้องอาศัยอยู่ในบ้านของแม่เลี้ยงใจร้าย วันหนึ่งพระราชาของเมือง(เพียช บอชแนน) ได้ประกาศที่จะจัดงานเต้นรำเพื่อคัดเลือกหญิงสาวที่จะมาเป็นคู่ครองของเจ้าชายเพื่อสืบราชวงศ์ต่อไป ด้าน เอลล่า ที่ได้พบกับเจ้าชายที่ปลอมตัวโดยบังเอิญ และได้ถูกเชิญไปยังงานเต้นรำ จนนำมาสู่เรื่องราวความรักสุดโรแมนติก

ตัวหนังในเวอร์ชั่นนี้ ได้มีการปรับเนื้อหา การนำเสนอ ให้มีความร่วมสมัยมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นคาแรคเตอร์ของ เอลล่า และเจ้าชายที่มีความเป็นวัยรุ่นแบบยุคนี้ รวมถึงเพลงประกอบที่มีการนำเพลงป้อป ที่โด่งดังในอดีต และเพลงป้อปปัจจุบันมาทำการคัฟเวอร์ใหม่ ในรูปแบบมิวสิคคัล ด้านโปรดักชั่น อาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการหากเทียบกับของ Disney แต่ความพิเศษของเวอร์ชั่นนี้คือการนำเสนอแบบมิวสิควีดีโอ ที่จะเน้นความสวยงามในด้านบรรยากาศ และตัวนักแสดง เรียกได้ว่าใครที่ชอบเพลงป้อปสากล ดูเรื่องนี้น่าจะเพลิดเพลินไม่น้อย

แต่กระนั้น นอกเหนือจากส่วนที่กล่าวไป หนังเรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากพอสมควร ในส่วนที่เห็นได้ชัดคือการพยายามทำให้ตัวเองเป็นมิวสิคคัลเกินไป จนลืมสนใจบทของหนัง ทำให้หนังที่เต็มไปด้วยเพลงเพราะ แต่ตัวละครกลับไร้มิติ และน้ำหนัดของการกระทำ หลาย ๆ ช่วงที่เป็น Conflict (ความขัดแย้ง) ของเรื่อง หนังก็ใช้เพลงแทรกในการเล่าเรื่อง ก่อนที่สุดท้ายปมเหล่านั้นก็ถูกเคลียร์ลงอย่างง่ายดาย ไร้เหตุผล

นอกจากนี้ หากย้อนดูเวอร์ชั่นของ Disney ที่ว่าโลกสวยแล้ว ในเวอร์ชั่นนี้กลับโลกสวยยิ่งกว่า ตัวละครทุกตัวในเรื่องมีความใจดี ความเอ็นดู รวมทั้งด้านอุปสรรคของตัวละคร ก็ดูแทบจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ทุกอย่างคลี่คลายได้โดยง่ายจนไม่สมเหตุสมผล จนหนังแทบจะไร้แก่นสารใด ๆ นอกไปจากการร้องเพลง

ด้านการแสดงของ คามิลา คาเบลโล ที่ประเดิมงานแสดงครั้งแรก ก็ถ่ายทอดบทบาทออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แม้ว่าเธอจะสามารถนำเสนอความน่ารัก สดใส ของเอลล่า ออกมาได้มีชีวิตชีวา และมีเสียงร้องที่ไพเราะมาก ๆ ก็ตาม ในด้านด้านพาร์ทอารมณ์ เธอกลับถ่ายทอดออกมาดูประดิษฐ์เกินไป จนไม่เป็นธรรมชาติ ในขณะที่บทของ เพียช บอชแนน ที่ดูน่าจะมืออาชีพสุดในเรื่อง หนังก็ให้พื้นที่ของตัวละครนี้เพียงน้อยนิด พร้อมทั้งยังไม่สามารถใช้ความสามารถด้านการแสดงของ บอชแนน ได้เต็มที่ เลยเป็นอีกส่วนที่ดูแล้วเสียดายของมาก ๆ ในหนังเรื่องนี้

โดยรวม Cinderella เวอร์ชั่น 2021 เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือแตกต่างไปจากเวอร์ชั่นก่อน ๆ สิ่งเดียวที่หนังทำได้ดีคือการรวมคนเสียงดี และคณะนักร้องประสานเสียง มาทำหน้าที่ขับร้องเพลงในเรื่อง (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงที่เราคุ้นหู) มาคัฟเวอร์ เพิ่มความไพเราะขึ้นกว่าเดิม แต่ในด้านคุณค่า หรือเนื้อหาสาระกลับแทบไม่มีอะไรให้น่าค้นหา

สามารถรับชม Cinderella ได้แล้ววันนี้ที่ Amazon Prime

Cr.ภาพ : Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง “Vivo” : อีกหนึ่งอนิเมชั่นสุดน่ารัก

Vivo-2021

“Vivo” : หนังอนิเมชั่นสุดน่ารักจาก Netflix และ Sony

นับตั้งแต่ที่มีข่าวการดีลร่วมกันระหว่าง Netflix และ Sony Pictures ที่ทาง Sony จะปล่อยหนังใหม่ลงสตรีมก่อนใคร รวมถึงร่วมผลิตคอนเทนต์ร่วมกัน ก็ได้มีหนังอนิเมชั่นชั้นดีจาก Sony ที่เดิมจะเข้าฉายในโรง ปล่อยมาให้ชมใน Netflix เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น The Mitchells Vs. The Machines, Wish Dragon ซึ่งแต่ละเรื่องก็ล้วนแต่ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งคนดู และนักวิจารณ์ สำหรับ Vivo คือหนังอนิเมชั่นล่าสุดของ Netflix และ Sony ที่ครั้งนี้มาในแนวมิวสิคคัล ผลงานการกำกับของ เคิร์ก เดอมิคโก ที่เคยมีผลงานอย่าง The Croods

Vivo จะว่าด้วยเรื่องราวของ วีโว่ คิงคาจู

ที่ถูกเลี้ยงดูโดย อังเดรส นักดนตรีชราที่ได้ให้ วีโว่ มาร่วมแสดงดนตรีในฐานะคู่หูมานานหลายปี จนวันหนึ่ง อังเดรสได้รับจดหมายเชิญให้ไปร่วมชมคอนเสิร์ตจาก มาร์ธ่า นักดนตรีชื่อดังที่ในอดีตเธอเคยเป็นเพื่อนร่วมงาน และคนที่อังเดรสแอบรัก แต่ไม่ได้สารภาพ และในเช้าวันต่อมานั่นเอง วีโว่ ก็ต้องพบว่า อังเดรส ได้สิ้นใจแล้ว ทำให้ตัว วีโว่ ต้องหาทางนำเพลงที่ อังเดรสแต่งไว้เพื่อสารภาพรักกับมาร์ธ่า ไปให้เธอก่อนจะแสดงคอนเสิร์ต โดย วีโว่จะต้องร่วมมือกับ กาบี หลานสาวของ อังเดรส ผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักดนตรี แต่ฝีมือไม่ถึง ทั้งสองเลยต้องร่วมผจญภัยเพื่อทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ โดยหารู้ไม่ว่าข้างหน้าเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายรออยู่

ตัวหนังเรียกได้ว่ามาตามสูตรของหนังอนิเมชั่นสไตล์อเมริกัน ที่จะเน้นนำเสนอเรื่องราวการผจญภัยของคู่หูที่ต่างขั้ว และมีเรื่องของมิตรภาพ ครอบครัว ความฝันสอดแทรกอยู่ โดยในเรื่องนี้มีจุดขายคือความเป็นมิวสิคคัล ที่มาแบบเต็มอิ่ม ในเรื่องจะมีเพลงทุกแนวให้ได้ฟังทั้ง คันทรี่ ป้อป ฮิปฮอป และแจ้ส โดยเพลงทุกเพลงเป็นเพลงที่แต่งใหม่สำหรับหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ที่สำคัญคือเพลงในหนังเพราะทุกเพลง จนชวนให้เราอยากไปฟังเพลงเต็ม ๆ จากอัลบั้ม

ความสนุกของหนังเรื่องนี้ยังคงเป็นการเล่นกับเรื่องราวการผจญภัย ความสัมพันธ์แบบคู่หูของตัวละคร วีโว่ และกาบี ที่ตลอดเรื่องเราจะได้เห็นความเกรียน ความบ๊อง ผสมน่ารักของทั้งสองที่ทำให้ได้ยิ้ม ได้หัวเราะตลอดเรื่อง รวมทั้งหนังก็ยังใส่ความระทึกขวัญ ความตื่นเต้นลงไปผ่านความโชคร้ายของตัวละคร รวมถึงภัยอันตรายต่าง ๆ นานา ที่ชวนตื่นเต้นชวนสนุกทั้งเรื่อง

และด้วยตามสไตล์ของหนังแนวนี้ ประเด็นของ Vivo เลยไม่ใช่แค่พูดถึงเรื่องดนตรีเท่านั้น แต่หนังยังพูดถึงเรื่องมิตรภาพ ครอบครัว การก้าวผ่านพ้นวัย และที่เป็นไฮไลท์คือการพูดถึงเรื่องความกล้าที่จะแสดงความรัก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งหนังก็ได้สอดแทรกประเด็นเหล่านี้ออกมาได้อย่างแยบยลคมคาย

ในด้านข้อเสียของหนังคือความที่หนังพยายามขายความบันเทิงของการผจญภัย และมุกตลกมากเกินไป ทำให้ในด้านประเด็นของดนตรีที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดขายของหนังกลับถูกนำมาใช้งานไม่เต็มที่ ผิดกับหนังจากอีกค่ายอย่าง Ratatouille ที่สามารถนำเสนอความเป็นหนังมิตรภาพของคนกับหนู และยังเล่นกับประเด็นของการทำอาหารออกมาได้อย่างลงตัว\

โดยรวม Vivo เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอนิเมชั่นน้ำดีของ Netflix ที่ทำหน้าที่ในการเสิร์ฟความบันเทิง ความสนุกให้คนทุกเพศ ทุกวัยได้อย่างยอดเยี่ยม หนังเต็มไปด้วยมุกตลกที่จะทำให้ได้ยิ้ม มีตัวละครที่แสนน่ารัก และเพลงประกอบที่เพราะติดหู นับว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่เหมาะแก่การดูเพื่อเยียวยาจิตใจในสถานการณ์ช่วงนี้เป็นอย่างยิ่ง

สามารถรับชม Vivo ได้แล้ววันนี้บน Netflix

Cr.ภาพ : Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

พบกับสงครามระหว่าง วีน่อม และคาร์เนจ ในตัวอย่างแรก Venom: Let There Be Carnage

Venom_Let There Be Carnage

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาแล้วสำหรับตัวอย่างแรกของ Venom: Let There Be Carnage หนังภาคต่อของแอนติฮีโร่จาก Marvel ที่จู่ๆทาง Sony Pictures ก็ได้ทำการปล่อยตัวอย่างแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมทั้งปล่อยโปสเตอร์แรกอย่างเป็นทางการ มายั่วน้ำลายก่อนที่จะฉายในเดือนกันยายน 2021 นี้

Venom_Let There Be Carnage

สำหรับในตัวอย่างที่ปล่อยมา เราจะได้เห็นชีวิตของ เอ็ดดี้ บล็อก (ทอม ฮาร์ดี้) หลังจากที่ได้ถูกวีน่อมเข้าสิงร่าง เขาและวีน่อมได้ใช้ชีวิตด้วยกันราวกับเป็นแฝดในร่างเดียว ก่อนที่หนังจะเผยให้เห็นตัวละคร คลีตัส คาซาดี้  (วู้ดดี้ ฮาร์เลนสัน) หรือคาร์เนจ วายร้ายของภาคนี้ ที่มาพร้อมความโหด และทรงพลัง นอกจากนี้ในตัวอย่างก็ยังมีตัวละครลับ ที่รับบทโดย สตีเฟ่น แกรแฮม ที่มาขโมยซีน และคาดว่าน่าจะเป็นอีกตัวละครที่มีบทสำคัญในภาคนี้

ในภาคนี้หนังได้ แอนดี้ ซอร์กิน รับหน้าที่เป็นผู้กำกับ (Mowgli: Legend of the Jungle) และเขียนบทโดย เคลลี่ มาร์เซล (Saving Mr. Banks, Venom)

นำแสดงโดย ทอม ฮาร์ดี้ (Mad Max: Fury Road), วู้ดดี้ ฮาร์เลนสัน (Zombieland: Double Tap), มิตเชล วิลเลี่ยม (Blue Valentine), สตีเฟ่น เกรแฮม (The Irishman)

โดย วีน่อม เป็นผลงานที่สร้างจากคอมิคของ Marvel ซึ่งตัวละครนี้เป็นเสมือนคู่ปรับตลอดกาลของ Spider-Man ซึ่งในเวอร์ชั่นหนังภาคแรกนั้นเข้าฉายเมื่อปี 2018 เนื้อเรื่องจะว่าด้วยเรื่องราวของเอ็ดดี้ บล็อก ที่ได้เข้าไปทำข่าวการทดลองของ คัลครอน เดรก จนทำให้ บล็อก ได้พบกับวีน่อมปรสิตต่างดาวที่เข้ามาสิงร่างของเขา จนนำมาสู่ความสามารถพิเศษ ที่ทำให้บล็อกต้องถูกตามล่าจากเดรก ซึ่งการต่อสู้ของพวกเขาก็มีความสงบสุของโลกเป็นเดิมพัน

ส่วนใน Venom: Let There Be Carnage นั้น จะมีวายร้ายหลักเป็น คลีตัส คาซาดี้ ฆาตกรต่อเนื่อง ที่มีพลังของคาร์เนจ ปรสิตจากต่างดาวแบบเดียวกับวีน่อม สิงอยู่ในร่าง ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวละครนี้ก็ได้ปรากฎตัวมาแล้วในเอนด์เครดิตของ Venom

Venom_Let There Be Carnage

Venom ภาคแรกสามารถทำเงินทั่วโลกไปได้ถึง 856 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญฯ ทำให้ทาง Sony ไฟเขียวที่จะสร้างหนังที่มาจากตัวละครในจักรวาล Spider-Man เพิ่ม โดยเรื่องที่วางโปรแกรมฉายแล้วได้แก่ Morbius ที่เดิมจะฉายตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ถูกเลื่อนมาฉาย มกราคม ปี 2022 และ Spider-Man: Into the Spider-Verse ที่วางโปรแกรมฉายในปี 2022 เช่นกัน

Venom: Let There Be Carnage จะมีกำหนดฉายในอเมริกาเดือนกันยายน 2021 นี้ ส่วนในไทยยังไม่มีกำหนดวันฉายจากทาง Sony Pictures Thailand อย่างชัดเจน แต่คาดว่าแฟน ๆ น่าจะได้ชมในปีนี้กันอย่างแน่นอน

Venom_Let There Be Carnage
ตัวอย่าง Venom: Let There Be Carnage

#Venom: Let There Be Carnage #Venom #วีน่อม #Sony Pictures Thailand #ซีรีส์ หนัง #news-entertainments.com

Cr. ภาพ: Official Trailer Venom: Let There Be Carnage