รีวิวหนัง Cocaine Bear

รีวิวหนัง Cocaine Bear หนังพลอตหลุดโลกที่เล่าเรื่องออกมาได้ครบรส

รีวิวหนัง Cocaine Bear หนังระทึกขวัญพลอตสุดกาว กระจายเส้นเรื่องได้ชวนติดตาม ครบรสทั้งความเป็นหนังอาชญากรรม หนังตลก และหนังครอบครัว ความโหดมาเต็มสมกับความเป็นเรท R สุดๆ 

รีวิวหนัง Cocaine Bear ผลงานหนังพลอตสุดกาวที่สร้างจากเหตุการณ์จริงในช่วงปี 1980 ซึ่งตัวหนังได้ อลิซาเบธ แบงค์ (Pitch Perfect 2) มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้ จิมมี่ วอร์เดน (The Babysitter) มารับหน้าที่เขียนบท นำแสดงโดย เคอร์รี่ รัสเซล (Antlers),  อัลเดน เออเร็นริช (Han Solo), บรู๊คลิน พรินซ์​ (The Florida Project), คริสเตียน คอนเวอร์รี (ซีรีส์ Sweet Tooth) และ เรย์​ ลิออตต้า (Goodfellas)

รีวิวหนัง Cocaine Bear หนังพลอตหลุดโลกที่เล่าเรื่องออกมาได้ครบรส

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับป่าจอร์เจีย ที่ต้องเผชิญกับเรื่องชวนสยอง เมื่อหมีตัวหนึ่งได้ไปเสพโคเคน ที่แก๊งค้ายาโยนทิ้งลงมาจากเครื่องบิน จนทำให้มันเกิดอาการคลั่งไล่ทำร้ายผู้คน ตัวหนังจะโฟกัสหลักๆ คือสองเส้นเรื่อง คือเรื่องราวของแม่ที่ตามหาลูกสาวที่ถูกหมีจับตัวไป และเรื่องราวของแก๊งอาชญากรรมที่ต้องตามหาโคเคน ที่ล่วงหล่นอยู่ตามป่า โดยพวกเขาต้องเอาชีวิตรอดจากหมีคลั่งเหล่านี้ไปด้วย

รีวิวหนัง Cocaine Bear หนังพลอตหลุดโลกที่เล่าเรื่องออกมาได้ครบรส

ตัวหนังมาพร้อมโทนเรื่องที่เน้นไปที่ความเป็นหนังอาชญากรรม และหนังคอเมดี้ ความสนุกของหนังคือการกระจายเรื่องราวออกเป็นเส้นเรื่องย่อย ที่ให้อารมณ์ต่างกันพอสมควร ทำให้หนังมีค่อนข้างหลากอารมณ์ มีทั้งความเป็นแอ็คชัน มีฉากฆ่าที่โหดระดับหนังสยองขวัญ​ และพาร์ทดราม่าแบบหนังครอบครัว 

ด้วยการเดินเรื่องที่แบ่งแยกเส้นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างดีทำให้ตลอดระยะเวลา 90 นาทีของหนังเป็นไปอย่างชวนติดตาม โดยเฉพาะการเล่นกับพลอตที่หลุดโลก เต็มไปด้วยความวายป่วงที่ค่อยๆ ปานปลายจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่เหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ แบบที่คาดเดาแทบไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

รีวิวหนังCocaineBear หนังพลอตหลุดโลกที่เล่าเรื่องออกมาได้ครบรส

ด้านความโหดหนังทำออกมาได้จัดหนักจัดเต็มสมกับความเป็นหนังเรท R โดยเฉพาะการฆ่าของหมีที่หนังสร้างสรรค์ออกมาได้โหด เลือดสาด มีทั้งฉากที่แขนขาด หัวขาด แบบที่คอหนังสยองขวัญน่าจะชื่นชอบไม่น้อย 

รีวิวหนังCocaineBear หนังพลอตหลุดโลกที่เล่าเรื่องออกมาได้ครบรส

ในส่วนของข้อด้อยของ Cocaine Bear คือความที่หนังยังค่อนข้างเล่าแบบเซฟตัวเองอยู่พอสมควร หนังมีการใส่ตัวละครเด็กเข้าไป จนทำให้พาร์ทที่ควรสยองหรือโหดขั้นสุดก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้การที่หนังพยายามแบ่งเส้นเรื่องย่อย ทำให้มิติของบางตัวละครออกมาดูเบาบาง ขาดอารมณ์ร่วมกับคนดูอย่างน่าเสียดาย

โดยรวม Cacaine Bear คืออีกหนึ่งหนังพลอตหลุดโลกที่เล่าเรื่องออกมาได้สนุกครบรส และชวนติดตาม แม้หนังจะยังบกพร่องเรื่องบทอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่ดูเอามันส์ เอาบันเทิงที่สนุกเรื่องหนึ่ง

สามารถรับชม Cocaine Bear ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: IMDB
ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/DuWEEKeJLMI

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Thanksgiving

รีวิวหนัง Thanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

รีวิวหนัง Thanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream ที่เล่าเรื่องได้อย่างชวนติดตาม หนังอัดแน่นด้วยความโหด สยดสยอง และตลกร้ายแบบอีไล ร็อธ ช่วงท้ายเต็มไปด้วยความระทึก หักมุมแบบที่คาดเดาไม่ได้

รีวิวหนัง Thanksgiving ผลงานการกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกครั้งของผู้กำกับสายโหดอย่าง อีไล ร็อธ​ (Hostel) ที่ครั้งนี้เขามาในพลอตที่เล่นกับธีมของวันขอบคุณพระเจ้า โดยเนื้อหาของหนังจะว่าด้วยเมืองเล็กๆ ในวันคืนขอบคุณพระเจ้าคืนหนึ่งที่ตรงกับวัน Black Friday ซุปเปอร์มาร์เก้ตประจำเมืองเลยได้จัดโปรโมชันลดราคาพิเศษในคืนนั้น แต่เทศกาลความสุขก็กลายเป็นความสยองเมื่อคืนนั้นได้เกิดจลาจลที่ทำให้ผู้คนเข่นฆ่ากันเพื่อขิงของถูก

รีวิวหนัง Thanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

หลังจากคืนดังกล่าวผ่านไป 1 ปี เหล่าวัยรุ่นที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นที่กำลังเตรียมตัวกับเทศกาลขอบคุณพระเจ้าอีกครั้ง แม้จะมีบาดแผลในอดีตคอยติดตาม แต่ทว่าเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อได้มีฆาตกรต่อเนื่องสวมหน้ากากไล่ฆ่าคนที่อยู่ในเหตุจลาจลปีที่แล้ว ทำให้เหล่าวัยรุ่นที่รอดชีวิตและตำรวจต้องตามหาตัวคนร้ายก่อนที่คนร้ายจะเล่นงานมาถึงตน 

รีวิวหนัง Thanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

แม้จะเรียกได้ว่าเป็นหนังไล่เชือด แต่บริบทของ Thanksgiving ค่อนข้างมีความฉีกแนว และเป็นตัวของตัวเอง ทั้งนี้เพราะลายเซ็นการกำกับของ อีไล ร็อธ ที่มีความชัดเจน ตั้งแต่ความกวน ความตลกร้ายในฉากเปิด ที่มีทั้งความโหด ความตลก และเป็นการเปิดเรื่องที่ไม่เหมือนหนังสยองขวัญเรื่องไหนๆ 

รีวิวหนังThanksgiving หนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

ตัวหนังจะเล่าแบบหนังไล่ฆ่า ผสมสืบสวนสอบสวน ที่ให้บริบทชวนนึกถึง Scream ที่ตัวละครหลักทั้งหมดจะต้องร่วมกันเอาชีวิตรอดและตามหาคนร้าย โดยหารู้ไม่ว่าฆาตกรแฝงอยู่ในกลุ่ม ความสนุกของหนังจึงไม่ใช่แค่การลุ้นไปกับวิธีการฆ่า แต่ยังรวมไปถึงการหาตัวคนร้ายและการสับขาหลอกของหนังที่ทำได้อย่างเหนือชั้น

รีวิวหนังThanksgivingหนังไล่เชือดผสมสืบสวนสไตล์ Scream

ในด้านความสยดสยอง ความระทึกหนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี แม้จะไม่ได้เป็นหนังที่เน้นจังหวะโบ๊ะบ๊ะตลอดทั้งเรื่อง แต่เมื่อถึงฉากที่ตัวละครต้องเผชิญหน้าฆาตกร ก็สามารถบีบอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะฉากการฆ่าในหนังที่มีความโหดร้ายขั้นสุด ทั้งการตัดคอ หรือมีฉากไส้ทะลัก ที่ชวนขนลุก โดยเฉพาะในองก์3 ของหนังที่ทำได้อย่างลุ้นระทึกดีเยี่ยม

โดยรวม Thanksgiving คืออีกหนึ่งหนังสยองขวัญน้ำดีแห่งปี 2023 หนังมีองค์ประกอบที่หนังไล่เชือดที่ดีควรมี เดินเรื่องได้สนุก เต็มไปด้วยลูกบ้าและความกวนที่ชวนขำแบบไม่ซ้ำใคร ที่สำคัญนี่คืออีกหนึ่งงานที่พร้อมประกาศตัวเองสู่ความเป็นแฟรนไชส์หนังสยองขวัญชุดใหม่ในอนาคตอย่างแน่นอน

สามารถรับชม Thanksgiving วันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes
ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/KbU50SdL8zA

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง M3gan

รีวิวหนัง M3gan หนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

รีวิวหนัง M3gan หนังระทึกขวัญที่แม้ว่าพลอตจะชวนให้นึกถึง Chucky แต่การหยิบประเด็น AI มาถ่ายทอดสามารถเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม คาแรคเตอร์ของเมแกน มีความหลอน เฮี้ยนในแบบที่ไม่เหมือนใคร

รีวิวหนัง M3gan คือหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ ไอเดียบรรเจิดจากผลงานการเขียนบทโดย เจมส์ วาน (The Conjuring) และ อะคีลา คูเปอร์ (Malignant) ที่หยิบประเด็นของ AI และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มานำเสนอ พร้อมได้ เจอราร์ด จอห์นสโตน (Housebound) ที่ผันตัวมากำกับหนังใหญ่เป็นครั้งแรก

รีวิวหนัง M3gan หนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

เรื่องราวของ M3gan จะว่าด้วย เคดี้ (วีโอเลต แมคโกรว์) เด็กสาวที่ต้องสูญเสียพ่อและแม่ไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้เธอต้องย้ายมาอาศัยอยู่กับ เจมม่า (อลิสสัน วิลเลียม) น้าสาวของเธอ ที่ทำงานเป็นนักพัฒนาของเล่นอัจฉริยะที่ใช้ระบบ AI ในการทำงาน ซึ่งหนึ่งในโปรเจกต์ล่าสุดของเธอคือการสร้างหุ่นยนต์เด็กผู้หญิงที่ชื่อว่า ‘เมแกน’ ขึ้นมา โดยเธอได้ทดลองให้ เมแกน ได้เป็นเพื่อนกับ เคดี้ เพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ แต่ทว่าเมื่อยิ่งสนิท เมแกนยิ่งเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ จนนำมาสู่โศกนาฎกรรมและความสยองที่ไม่มีใครคาดคิด

รีวิวหนัง M3gan หนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

แม้ว่าพลอตเรื่องและหน้าหนังของ M3gan จะชวนให้นึกถึง Chucky จากหนัง Child’s Play อยู่พอสมควร แต่เนื้อหาข้างในของ M3gan เรียกได้ว่าไปคนละทางอยู่พอสมควร โดยในเรื่องนี้หนังพยายามปรับตัวให้เป็นหนังสยองขวัญยุคใหม่ที่เล่นกับประเด็นของ AI เป็นจุดขาย หนังจะพาเราไปสำรวจการสร้างสิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน รวมถึงการเรียนรู้ของ AI ที่มีความฉลาดล้ำเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ 

หนังไม่ได้เน้นขายความระทึก หรือความสยดสยองเป็นจุดขายมากนัก แต่หนังจะเน้นขายไปที่พา์ทดราม่าเป็นส่วนใหญ่ โดยเนื้อหาจะโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่าง เคดี้ เจมม่า และเมแกน ที่ค่อยๆ มีพัฒนาการที่ชวนติดตามตลอดทั้งเรื่อง หนังสามารถสะท้อนความละมุนของเด็กหญิงได้อย่างงดงาม ก่อนจะค่อยๆ แผลงความน่ากลัวทีละน้อย จนทำให้ช่วงท้ายของหนังเต็มไปด้วยโมเมนต์ที่ชวนลุ้นแบบนั่งไม่ติดเก้าอี้ 

รีวิวหนังM3gan หนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

ด้านความโหดของหนังถือว่าไม่ได้โหดร้าย หรือสยดสยองมาก อาจมีฉากวิธีการตายที่น่ากลัวบ้าง แต่หนังก็เลี่ยงฉากการเห็นศพ หรือภาพที่ทารุณออกไป สิ่งที่สร้างความสยองให้หนังคือความเก่งกาจของเมแกน ทั้งความฉลาด และความสามารถ อึด ถึก ทน ที่เกินกว่ามนุษย์จะหยั่งถึง จนทำให้เมแกน เปรียบเสมือนปีศาจร้ายที่ทรงพลัง พร้อมทั้งชวนให้คนดูอยากติดตามว่าเหล่าตัวเอกของเรื่องจะปราบเมแกนได้อย่างไร

รีวิวหนังM3ganหนังระทึกขวัญ ที่ใช้ AI มานำเสนอ

จุดด้อยของ M3gan คือการที่หนังยังเลือกเล่าเรื่องตามสูตรหนังระทึกขวัญสไตล์ Blumhouse และหนังเจมส์ วาน ที่คอหนังคุ้นเคย การเดินเรื่องสามารถเดาทิศทางได้ไม่ยาก ทั้งจังหวะการหลอก หรือการเดาทิศทางเนื้อหาของเรื่อง ที่ไม่ได้สร้างเซอร์ไพรส์ หรือความน่าจดจำมากนัก

โดยรวม M3gan คือหนังระทึกขวัญ ที่พยายามเล่นประเด็น AI ให้ออกมาสยดสยอง ซึ่งหนังถือว่าสอบผ่านในความเป็นหนังบันเทิง ที่เน้นดูสนุก สร้างความลุ้นระทึกได้พอสมควร แม้จะไม่ได้แปลกใหม่มาก แต่คอหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญน่าจะชื่นชอบไม่มากก็น้อย

สามารถรับชม M3gan ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes
ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/hym39__JBYQ

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Sick of Myself: หนังสยองขวัญ ตลกร้าย

รีวิวหนัง Sick of Myself: หนังสยองขวัญ ตลกร้าย

Sick of Myself คือผลงานหนังสยองขวัญอินดี้ สัญชาตินอร์เวย์ กำกับ และเขียนบทโดย คริสตอฟเฟอร์ บอร์กลี ที่ประเดิมหนังขนาดยาวเป็นเรื่องแรก โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ซิกเนอ หญิงสาวที่กำลังคบหากับ โธมัส ศิลปินหนุ่มที่ชีวิตกำลังไปได้ดีในสายอาชีพนี้ แต่ทว่าชื่อเสียง และความสำเร็จของโธมัส ก็ทำให้ ซิกเนอ เกิดความอิจฉา และน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนไม่ได้รับความสนใจจากผู้คน ทำให้เธอตัดสินใจสั่งยาขนาดแรงขนิดหนึ่งมากิน เพื่อให้เธอเกิดอาการผิวหนังพุพอง ซึ่งเธอเชื่อว่ามันจะทำให้ โธมัส กลับมาสนใจเธออีกครั้ง แต่ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่ออาการผิวหนัง และร่างกายของเธอกลับแย่ลงเรื่อยๆ จนนำมาสู่เหตุการณ์มากมายที่เธอไม่เคยคาดคิด

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนังสยองขวัญ แต่ Sick of Myself กลับเป็นหนังมีความเป็นดราม่า ตลกร้าย มากกว่า หนังไม่ได้โฟกัสไปที่ความน่ากลัวด้านรูปร่างหน้าตาของซิกเนอ เป็นแก่นของเรื่องทั้งหมด แต่จะเป็นการพูดถึงชีวิตของผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว และอยากให้ผู้คนสนใจเธอตลอดเวลา ซึ่งการกระทำของเธอในเรื่องก็นำมาสู่เหตุการณ์มากมายในหนัง 

แม้จะเป็นงานอินดี้ ที่เล่าเรียบง่าย ไม่ได้มีทุนสูง แต่ Sick of Myself กลับสามารถดำเนินเรื่องได้อย่างสนุก ตลอด 90 นาทีของหนังสามารถเล่าออกมาได้ชวนติดตาม ไม่ว่าจะเป็นมุกตลกร้ายที่หนังเล่าออกมาได้อย่างชวนขำ และการถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตัวละครที่เป็นธรรมชาติ รวมทั้งการนำเสนอที่ไม่ได้ลึกเกินไปจนถึงกับดูยาก ทำให้หนังเรื่องนี้เหมาะกับคนดูแทบทุกกลุ่ม ที่ชื่นชอบหนังดราม่า ตลกร้าย

ด้านความสยองขวัญ หนังมาพร้อมการออกแบบใบหน้าของตัวนางเอกที่มีความน่ากลัว มีความผิดรูป ที่มีเมคอัพสมจริง นอกจากนี้หนังยังค่อยๆ ถ่ายทอดอาการป่วยของตัวละครที่แย่ลงเรื่อยๆ แบบที่คนดูเห็นภาพชัดเจน ซึ่งในพาร์ทสยองขวัญนี้ หนังก็ได้แฝงแง่คิดที่สะท้อนให้เห็นถึงผลของการกระทำต่างๆ ได้อย่างแนบเนียน และชาญฉลาด

โดยรวม Sick of Myself คือหนังอินดี้ ฟอร์มเล็ก ที่ดูง่าย สนุกกว่าที่คิด หนังนำเสนอเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงที่ต้องการเป็นคนเด่น จนนำมาสู่เหตุการณ์ที่ชวนสยอง และมอบบทเรียนราคาแพง ใครที่ชอบหนังฟอร์มเล็ก แต่คุณภาพอัดแน่นขอแนะนำ

สามารถรับชม Sick of Myself ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวซีรีส์ One Piece season 1: งานดัดแปลงจากมังงะที่ทำออกมาได้ถูกใจแฟนบอยสุดๆ

รีวิวซีรีส์ One Piece season 1: งานดัดแปลงจากมังงะที่ทำออกมาได้ถูกใจแฟนบอยสุดๆ

One Piece คือหนึ่งในผลงานซีรีส์ Netflix ที่ปีนี้ผู้คนรอคอยมากที่สุด เพราะนี่คืองานที่ดัดแปลงมาจากมังงะสุดฮิตแห่งยุค ซึ่งตัวซีรีส์เวอร์ชันคนแสดงนี้ ก็ได้ เออิจิโระ โอดะ ผู้เขียนการ์ตูนเรื่องนี้มารับหน้าที่ดูแลงานสร้าง และเป็นซีรีส์ Netflix ที่ทุ่มทุนสร้างที่สูงที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง

เนื้อหาของ One Piece จะว่าด้วยยุคสมัยที่เต็มไปด้วยโจรสลัด ซึ่งทุกคนล้วนมีจุดหมายคือสมบัติวันพีช ที่ราชาโจรสลัดได้ทิ้งเอาไว้ มังดี้ ดี ลูฟี่ (อินากิ โกดอย) เด็กหนุ่มที่มีความฝันที่จะเดินทางสู่แกรนด์ไลน์ เพื่อเป็นราชาแห่งโจรสลัดคนต่อไป ที่ได้ออกเดินทางเพื่อรวบรวมลูกเรือ ซึ่งระหว่างทางเขาก็ได้พบกับเหล่าผองเพื่อนที่เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกโจรสลัดหมวกฟางร่วมกับเขา พร้อมทั้งเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูมากมาย ทั้งกลุ่มโจรสลัดด้วยกันเอง ไปจนถึงกองทัพเรือ จนนำมาสู่การผจญภัยสุดยิ่งใหญ่

One Piece เรียกได้ว่าเป็นงานไลฟ์แอ็คชัน ที่ดัดแปลงเนื้อหาจากการ์ตูนต้นฉบับ ที่สนุกลงตัว โดยซีรีส์เลือกที่จะเล่าเรื่องโดยไม่เดินตามมังงะแบบเป๊ะๆ แต่จะเป็นการตีความเรื่องราวแบบใหม่ ที่ทำให้เนื้อหาในพาร์ทแรกของเรื่องเหลือเพียง 8 ตอนเท่านั้น แต่จะไม่ทำลายเนื้อหาหลักใดๆ ของเวอร์ชันการ์ตูน

ความโดดเด่นแรกของซีรีส์เรื่องนี้คืองานโปรดักชัน ที่สามารถถ่ายทอดไอเดียดั้งเดิมจากหนังสือการ์ตูน ให้ออกมาเป็นภาพที่สมจริง มีการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะอีสเตอร์เอ้กที่ซ่อนไว้เต็มไปหมดตลอดการดำเนินเรื่อง นอกจากนี้สิ่งที่ซีรีส์ทำใด้ดีมากๆ คือฉากการต่อสู้ ที่ทำออกมาได้สนุก เร้าใจ มีฉากท่าไม้ตายชองตัวละครที่คงความเป็นต้นฉบับดั้งเดิมได้อย่างยอดเยี่ยม ราวกับว่าคนดูได้ดูซีรีส์ฮีโร่ แฟนตาซี แบบที่หนังฮอลีวูดยุคนี้ชอบทำ

ด้านงานบทของ One Piece เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ดี ตัวซีรีส์มีการปรับเนื้อหาของการผจญภัย เพื่อให้ไม่ยืดยาวจนเกินไป แม้ว่าจะมีตัวละครในเรื่องจะไม่ได้มีครบทุกคนตามที่หวัง แต่ทำให้การเล่าเรื่องแต่ละพาร์ทมีความกระชับมากขึ้น ทำให้คนดูได้เห็นเนื้อหาที่ไม่เหมือนต้นฉบับ ยิ่งการพูดถึงเรื่องความฝัน การต้นหาตัวตน และมิตรภาพ ซึ่งหลายฉากก็ยังสามารถทำเอาคนดูน้ำตารื้อได้ไม่มากก็น้อย

ในด้านข้อเสียของซีรีส์ คือการเคารพต้นฉบับจนเกินไป ทำให้คอสตูมของแต่ตัวละครออกมาดูเหมือนฉบับการ์ตูน จนทำให้หลายตัวละคร ออกมาดูคอสเพลย์ จนบางตัวละครดูตลก และดูฝืนที่จะทำจนเกินไป นอกจากนี้เพื่อให้ซีรีส์มีความยาวเพียง 8 ตอน แต่ยังต้องตัดทอนเนื้อหาของบางตัวละคร จนทำให้เสน่ห์แบบที่มีในต้นฉบับหายไปพอสมควร 

แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นเป็นซีรีส์ไลฟ์แอ็คชันที่ดีที่สุด แต่ One Piece ก็ถือว่าเป็นงานดัดแปลงที่ทำได้คุ้มค่าการรอคอย ไม่ว่าจะเป็นการเคารพต้นฉบับที่สร้างความตื่นตา ตื่นใจให้ทั้งคนที่เป็นแฟนบอย และคนที่ไม่เคยดูเรื่องนี้สามารถเพลิดเพลิน และเอนจอยไปกับเนื้อเรื่องได้ และเชื่อว่านี่จะเป็นซีรีส์ขนาดยาวของ Netflix ที่จะมีให้ได้ชมกันไปอีกหลายซีซั่นไปอีกต่อจากนี้

สามารถรับชมซีรีส์ One Piece season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Smile: หนังสยองขวัญธีมคำสาป ที่เล่าตามสูตรสำเร็จ

รีวิวหนัง Smile

Smile คือหนังสยองขวัญ ผลงานการกำกับ และเขียนบทโดย ปาร์คเกอร์ ฟินน์ ที่ประเดิมงานหนังใหญ่เป็นเรื่องแรก โดยหนังมาพร้อมพลอต และธีมเรื่องที่ชวนให้นึกถึงงานของ Blumhouse Productions ที่เล่นกับความสยองขวัญที่ร่วมสมัย มีการพูดถึงคำสาปที่ตัวละครต้องหาทางแก้ ซึ่งในเรื่องนี้จะว่าด้วยเรื่องราวของ โรส (โซซี่ เบคอน) จิตแพทย์สาว ที่วันหนึ่งเธอได้พบเหตุไม่คาดฝันเมื่อได้มีหญิงสาวปริศนาได้เข้ามารักษากับเธอ และได้ทำการฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาเธอพร้อมรอยยิ้มสุดสะพรึง

หลังจากนั้น โรส ก็ได้พบว่าเธอได้เห็นภาพหลอนของหญิงสาวคนนั้น ที่ตามหลอกหลอนเธอพร้อมรอยยิ้มไปทั่วทุกที่ จนผู้คนเริ่มมองว่าโรส กลายเป็นคนจิตไม่ปกติ นอกจากนี้โรสยังพบความจริงว่าสิ่งที่เธอเผชิญคือคำสาป ที่หากเธอไม่รีบแก้ไข เธอจะต้องพบกับจุดจบคือการฆ่าตัวตาย โรส จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแก้คำสาปนี้ให้ได้

ตัวหนังมาพร้อมการเล่าเรื่องจตามสูตรหนังสยองขวัญยุคใหม่ ที่เน้นการเดินเรื่องที่ฉับไว มีการเล่นกับคอนเซปต์เรื่องที่ค่อนข้างดี โดยในเรื่องนี้จะเน้นไปที่เรื่องของจิตวิทยา การป่วยทางจิต ที่ผสมผสานกับความเชื่อเรื่องคำสาป วิญญาณร้าย

ด้านความน่ากลัวของหนัง เรียกได้ว่าทำได้ดี แม้หนังจะเล่าผ่านโลเคชัน บรรยากาศที่เป็นเมืองใหญ่ แต่ที่น่าสนใจคือหนังสร้างบรรยากาศ และจังหวะตุ้งแช่ที่เหนือชั้นกว่าหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ ด้วยจังหวะตุ้งแช่ที่มาแบบคนดูไม่ทันตั้งตัว พร้อมทั้งการเล่นกับรอยยิ้ม ที่ทำเอาคนดูหลอนร่วมไปกับตัวละคร ทั้งสีหน้า และเมคอัพ ที่หลอนติดตา

ส่วนของการเล่าเรื่องในหนังก็ยังทำออกมาได้สนุก ชวนติดตาม แบบสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้ ที่พอเดาทางได้ ทั้งนางเอกจะต้องทำหน้าที่สืบหาที่มาที่ไป และความจริงของคำสาป และหาทางแก้ไข ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยความสยอง ความระทึก แต่น่าเสียดายที่หนังมีเหยื่อเพียงไม่กี่ตัวละคร เลยทำให้พาร์ทความน่ากลัวแบบที่เห็นผีไล่ล่าตัวละครในเรื่องล้มตาย หรือโดนหลอก ในเรื่องนี้ไม่ได้มีให้เห็น

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม ซูซี่ เบคอน ที่ถ่ายทอดบทของหญิงสาวที่ทุกข์ทรมานจากการถูกคำสาปได้อย่างดีเยี่ยม เธอสามารถเข้าถึงความเจ็บปวด ความหวาดกลัวของตัวละครได้เป็นอย่างดี จนทำให้คนดูรู้สึกอยากลุ้น อยากเอาใจช่วยเธอไปจนจบ

โดยรวม Smile คืองานสยองขวัญอีกเรื่องที่ทำออกมาได้สนุก ร่วมสมัย แม้คำสาปในเรื่องจะไม่ได้ดูแปลกใหม่นัก แต่รูปแบบการสร้างความน่ากลัว การเล่นกับรอยยิ้มที่น่ากลัวก็ทำงานได้เป็นอย่างดี ใครที่ชอบหนังแนวคำสาป ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม Smile ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Emily the Criminal: หนังดราม่า อาชญากรรม ที่ขายความเรียลของคนชนชั้นล่าง

รีวิวหนัง Emily the Criminal: หนังดราม่า อาชญากรรม ที่ขายความเรียลของคนชนชั้นล่าง

Emily the Criminal คือผลงานหนังแนวดราม่า อาชญากรรม ผลงานการกำกับหนังยาวเรื่องแรกของ จอห์น แพตตัน ฟอร์ด พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง ออเดรย์ พลาซ่า (ซีรีส์ The White Lotus season 2) มารับบทนำ สมทบด้วย ธีโอ รอสซิ (ซีรีส์ Sons of Anarchy)

โดย Emily the Criminal จะว่าด้วยเรื่องราวของ เอมิลี่ (ออเดรย์ พลาซ่า) หญิงสาวที่กำลังเผชิญปัญหาชีวิต เนื่องจากเธอไม่สามารถหางานประจำที่เหมาะสมได้ เนื่องจากประวัติอาชญากรรมของเธอ ทำให้เอมิลี่ ต้องทำงานพาร์ททามเพื่อหาเงินมาจับจ่าย และใช้หนี้จำนวนมาก จนกระทั่งเธอได้พบกับ ยูซูฟ (ธีโอ รอสซิ) ชายหนุ่มที่ทำธุรกิจอาชญากรรม ด้วยการส่งคนไปซื้อของด้วยบัตรเครดิตปลอมเพื่อแลกกับค่าตอบแทนชั้นดีในงานแต่ละครั้ง ซึ่งเอมิลี่ก็ได้ร่วมทำงานนี้ จนทำให้เธอเริ่มถลำลึกเข้าสู่วงการอาชญากรรมที่เต็มที่

แม้ว่าหนังจะใช้ชื่อว่า Emily the Criminal แต่หนังเรื่องนี้กลับไม่ได้เป็นหนังอาชญากรรมที่จัดหนัก จัดเต็มขนาดนั้น ตัวหนังมาพร้อมการเล่าเรื่องที่เน้นไปแนวดราม่า โดยพูดถึงผู้คนในชนชั้นล่างที่ต้องต่อสู้ชีวิตเพื่อหารายได้มาใช้จ่าย ซึ่งหนังได้ใช้ตัว เอมิลี่ เป็นภาพสะท้อนภาพของคนที่ไม่ได้รับโอกาสในชีวิตจนต้องหันมาทำงานที่ผิดกฎหมาย

ด้วยการเล่าเรื่องที่พูดถึงการสู้ชีวิตของหญิงสาวนี้เอง ที่ทำให้ Emily the Criminal มีความน่าติดตามตั้งแต่ตลอด 96 นาทีของเรื่อง หนังเปิดมาด้วยการถ่ายทอดชีวิตที่ไม่สมหวังของตัวละคร ก่อนจะค่อยๆ ให้ความหวังขึ้นมาทีละเล็กละน้อย ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมการแสดงของ ออเดรย์ พลาซ่า ที่รับบท เอมิลี่ ได้อย่างยอดเยี่ยม  เธอสามารถสะกดคนดูให้อยากร่วมเอาใจช่วยไปกับชะตากรรมของเธอจนจบเรื่อง จนเรียกได้ว่านี่คือบทบาทของ พลาซ่าที่โดดเด่น และน่าจดจำที่สุดก็ว่าได้

พาร์ทอาชญากรรมหนังทำออกมาได้ดี แม้ว่าจะไม่ได้เป็นหนังอาชญากรรมที่มีฉากปล้น หรือปฏิบัติการที่หวือหวา แต่ด้วยความสมจริงของหนังนี่เอง ที่ทำให้แต่ละภารกิจผิดกฎหมายในเรื่อง ทำให้คนดูได้ร่วมลุ้นระทึกไปกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงความขัดแย้งระหว่างแก๊ง ที่ทำให้เนื้อหาดุเดือดเข้มข้นขึ้นไปอีก

Emily the Criminal อาจไม่ได้เป็นหนังอาชญากรรม ที่ชวนลุ้นระทึก หรือตื่นเต้นอะไรมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นหนังดราม่าน้ำดี ที่เล่าได้สนุก กระชับ ที่สามารถสะท้อนภาพคนที่ต้องสู้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม ใครที่ชอบหนังดราม่าที่เน้นความสมจริง ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Emily the Criminal ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆากรรมอิหยังวะ: หนังสืบสวนไทยน้ำดี

รีวิวหนัง เมอร์เด้อเหรอ ฆากรรมอิหยังวะ: หนังสืบสวนไทยน้ำดี

หนังไทยเรื่องล่าสุด ที่เป็นผลงานการร่วมสร้างระหว่าง Netflix และ Transformation Film ที่ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง (เปนชู้กับผี) มารับหน้าที่กำกับ ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของสตรีมดังที่พูดภาษาอีสาน เกือบตลอดทั้งเรื่อง

ฆาตกรรมอิหยังวะ จะว่าด้วยเรื่องราวของ ทราย (อิษยา ฮอสุวรรณ) สาวขาวอีสานที่ได้พา เอิร์ล (เจมส์ เลเวอร์) สามีชาวอังกฤษ เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดที่หมู่บ้านเล็กในภาคอีสาน ซึ่งในค่ำคืนนั้นเองก็ได้เกิดโศกนาฎกรรมขึ้น จนมีคนตายถึงm 7 ศพ ทำให้ ณวัฒน์ (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) สารวัตรหัวร้อน ผู้เชื่อวว่า เอิร์ล คือคนลงมือฆาตกรรมทั้ง 7 ราย ทำการสอบสวนผู้ต้องสงสัยทุกคนในคืนนั้น จนนำมาสู่การพบความจริงที่สุดแสนจะวายป่วง และเต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝัน

หนังมาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ นักในหนังไทย ไม่ว่าจะเป็นความเป็นหนังสืบสวนสอบสวน ผสมความเป็นดาร์กคอเมดี้ นอกจากนี้ยังเป็นงานของ วิศิษฏ์ เลือกกลับมาใช้เทคนิคการทำหนังที่ใช้โทนสีโดดเด่น สะดุดตา ให้อารมณ์เหมือนหลุดเข้าไปในโลกของความฝัน แบบเดียวกับที่เคยทำใน ฟ้าทะลายโจร และหมานคร ซึ่งพอองค์ประกอบเหล่านี้มาอยู่ร่วมกับมันทำให้ได้หนังไทยที่สีสันพลอตเรื่องแปลกตา

ตัวหนังเล่าในรูปแบบหนังสืบสวน ที่เปิดเรื่องมาด้วยปมปริศนา และเล่าตัดสลับระหว่างไทม์ไลน์ปัจจุบัน ที่เป็นการสอบสวนของ สารวัตรณวัฒน์ และไทม์ไลน์คืนเกิดเหตุ ความสนุกของหนังคือการเล่าเรื่องที่ให้คนดูค่อยๆ ประกอบจิ๊กซอว์ และต่อเติมเรื่องราวทั้งหมดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ระหว่างทางมีการสับขาหลอกไปมาให้คาดเดาไม่ได้ ซึ่งหนังสามารถสร้างเซอร์ไพรส์ให้คนดูได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพาร์ทเฉลยเหตุการณ์ทั้งหมด ที่ทำเอาเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง

ด้านความตลก หนังทำออกมาได้มีสีสันไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตัวละครของ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา หรือหม่ำ จ๊กมก ที่เป็นตัวละครที่สำคัญ ที่ช่วยให้หนังเดินหน้าได้อย่างสนุกสนาน สร้างเสียงหัวเราะ และความตื่นเต้นกดดันให้คนดูได้เป็นอย่างดี ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ก็สามารถสร้างความตลกให้หนังได้ไม่แพ้กัน เช่น ตัวละครของ สุนารี ราชสีมา และ สวนีย์ อุทุมมา ที่เป็นสองตัวละครหญิงที่แม้บทจะไม่เยอะ แต่โอเวอร์แอคติ้งของทั้งคู่ก็ทำให้คนดูได้ขำเป็นระยะๆ

นอกจากพาร์ทตลกที่ทำออกมาได้ดีมากแล้ว พาร์ทดราม่า และนัยยะที่หนังแฝงไว้ ก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน หนังสอดแทรกเรื่องราวของการเหมารวม หรือการเหยียดชาติพันธุ์ การแบ่งแยกความเป็นคนนอก คนใน ผ่านทัศนคติ และมุมมองที่ตัวละครมีต่อ เอิร์ล หรือคนต่างชาติ ที่หนังเล่าประเด็นนี้ได้อย่างทรงพลัง

โดยรวม เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ คือหนังสืบสวนไทยน้ำดี ที่นานทีปีหนจะมีมาให้ได้ดู หนังเต็มไปด้วยสีสันที่จัดจ้าน ผสมผสานระหว่างความบันเทิง ดาร์กคอเมดี้ และความระทึกขวัญได้อย่างลงตัว ใครที่อยากดูนหนังไทย บริบท อกาธา คริสตี้ เรื่องนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Oppenhiemer: งานท้อปฟอร์มจากคริสโตเฟอร์ โนแลน นำเสนอชีวประวัติได้ เข้มข้น

รีวิวหนัง Oppenhiemer: งานท้อปฟอร์มจากคริสโตเฟอร์ โนแลน นำเสนอชีวประวัติได้ เข้มข้น

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดจากสุดยอดผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (The Dark Knight) ที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาสร้างหนังชีวประวัต โดยเป็นเรื่องราวของ เจ โรเบิร์ต บิดาแห่งระเบิดนิวเคลียร์ ที่โด่งดังในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยหนังได้คิลเลียน เมอร์ฟี่ (ซีรีส์ Peaky Blinders) พร้อมสมทบด้วยทีมนักแสดงมากฝีมือจากฮอลลีวูดมากมายไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต ดาวน์นีย์ จูเนียร์ (Avengers Endgame), ฟลอเรนซ์ พิวจ์ (Midsommar), เอมิลี่ บรันท์ (A Quiet Place) และ แมตต์ เดม่อน (Air)

เรื่องราวของ Oppenhiemer จะพูดถึงช่วงชีวิตของ ออพเพนไฮเมอร์ (คิลเลียน เมอร์ฟี่) ตั้งแต่ในช่วงที่เขาเริ่มเป็นนักศึกษาฟิสิกส์ และได้โอกาสในการร่วมโครงการแมนฮัตตัน ที่เป็นปฎิบัติการณ์สร้างระเบิดนิวเคลียร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้หนังยังตัดสลับกับเรื่องราวในช่วงที่ ออพเพนไฮเมอร์ขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีที่เขาถูกสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์

Oppenhiemer ค่อนข้างเป็นหนังที่ฉีกกรอบจากความเป็นหนังโนแลนที่คุ้นเคย จากที่เล่าเรื่องแนวภารกิจ ปฎิบัติการ อาชญากรรม แต่ในเรื่องนี้หนังเน้นพูดถึงชีวิตของคนๆ หนึ่ง ที่มีทั้งความเป็นหนังเนิร์ดวิทยาศาสตร์ มีการพูดถึงศัพท์วิชาการที่เข้าใจยาก และในอีกพาร์ท หนังก็พูดถึงบาดแผล และความรู้สึกผิดของตัวละครด้วยเช่นกัน

แม้หนังจะเน้นคุยตลอด 3 ชั่วโมง แต่โนแลน ก็ยังสามารถเอาคนดูได้อยู่หมัด ด้วยวิธีการตัดต่อที่ดุเดือด ไม่มีจังหวะเนิบช้า หรือให้คนดูได้พัก นอกจากนี้หนังยังเลือกตัดสลับสองเส้นเรื่อง สองช่วงเวลา ที่มีอรรถรสที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่พาร์ทแรกหนังเน้นวิทยาศาสตร์ แต่ครึ่งหลังของหนังเต็มไปด้วยการเล่าเรื่อง และบทสนทนาที่มีชั้นเชิง เหนือความคาดหมาย

ในด้านฉากระเบิด ที่เป็นไฮไลท์ของเรื่อง เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ที่ควรชมให้ได้อรรถรสในโรงภาพยนตร์ IMAX เท่านั้น เพราะด้วยเสียง และภาพที่โนแลน ได้ทำให้ผู้ชมเหมือนหลุดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ที่มีทั้งแสง สี เสียงที่สมจริง แบบที่การดูในโฮมเธียเตอร์ ไม่สามารถทำได้

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม คิลเลี่ยน เมอร์ฟี่ ที่ได้เฉิดฉายในบทพระเอกหนังใหญ่เป็นครั้งแรก ซึ่งเขาก็ได้ถ่านยทอดอารมณ์ของตัว ออพเพนไฮเมอร์ ออกมาได้อย่างมีมิติ เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดของตัวละคร และอีกหนึ่งบทบาทที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ โรเบิร์ต ดาวน์นีย์ จูเนียร์ ในบท ลูอิส เสตราส์ ที่เป็นบทสมทบที่สร้างสีสันที่ยอดเยี่ยม และทรงพลังให้หนังเรื่องนี้ไม่น้อย จนทำให้พอคาดเดาได้ว่า ทั้ง เมอร์ฟี่ และดาวน์นีย์ จะได้ชิงรางวัลสาขานักแสดงนำและสมทบในออสการ์ปีหน้า

Oppenhiemer คืออีกหนึ่งงานที่น่าจดจำของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่โดดเด่นทั้งในด้านเทคนิคการสร้าง บทภาพยนต์ และการแสดง เป็นหนังที่มอบ Cinema Experience ที่ยอดเยี่ยม ที่คอหนังไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Oppenhiemer ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์​

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิว Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One: การกลับมาของหนังสายลับที่ทำได้สมการรอคอย

รีวิว Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One: การกลับมาของหนังสายลับที่ทำได้สมการรอคอย

การกลับมาอีกครั้งของหนังสายลับสุดโด่งดังที่หลายคนรอคอย สำหรับ Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นภาคที่ 7 และเชื่อว่าจะเป็นภาคปูทางสู่บทสรุปของหนังชุดนี้ ที่ยังได้ คริสโตเฟอร์ แมคควอรี่ (Mission: Impossible – Fallout) กลับมารับหน้าที่กำกับ และร่วมเขียนบทอีกครั้ง พร้อมได้นักแสดงที่เข้ามาเสริมทัพอย่าง ฮาร์ลีย์ แอทเวล (Captain America: The First Avengers) และ อีไซ มอร์ราเลส (ซีรีส​ Ozark)

เรื่องราวของ Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One จะว่าด้วยภารกิจใหม่ของ อีธาน ฮันท์ (ทอม ครูซ) ที่ต้องไปตามหากุญแจปริศนา ที่มีจำนวนสองดอก ซึ่งหากนำกุญแจนี้มาประกอบกัน จะสามารถปลดล็อกอาวุธที่ร้ายแรง และทรงพลังที่สุดในโลก โดยในภารกิจนี้ อีธานก็ต้องกลับมาเผชิญกับ อิลซา (รีเบคก้า เฟอร์กูสัน) สายลับสาวที่มีอดีตกับเขา และ เกเบรียล (อิไซ มอร์ราเลส) คู่ปรับคนสำคัญของ อีธาน ที่มีเป้าหมายคือการทำลายโลก

ตัวหนังภาคนี้ยังมาพร้อมการเดินเรื่องตามสไตล์ของแฟรนไชส์ Mission: Impossible ที่ดูสนุก ตัวหนังในภาคนี้มาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องที่ร่วมสมัยในปัจจุบันมากขึ้น โดยเฉพาะวายร้ายในภาคนี้ที่มีการเล่นโยงกับประเด็น AI และเทคโนโลยีในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันแฟนหนังชุดนี้ก็จะยังเห็นเสน่ห์เก่าๆ ของหนังชุดนี้ ทั้งฉากการปลอมตัวที่มีชั้นเชิง ฉากการไล่ล่าสุดเดือด และฉากผาดโผนของ ทอม ครูซ

จุดเด่นของภาคนี้ยังคงเล่นกับซีเควนซ์ที่ชวนระทึก ที่ในภาคนี้มีรวมๆ ถึง 4 ฉาก ที่แต่ละซีเควนซ์ยังสามารถทำหน้าที่ได้ดีในการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูแบบที่นั่งไม่คิดเบาะ และเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ที่คนดูคาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์ของหนัง ที่เป็นการไล่ล่า หักเหลี่ยมเฉือนคม บนรถไฟที่ลากยาวกว่า 30 นาที ที่เล่นใหญ่อลังการ และทะเยอทะยานที่สุดอีกฉากหนึ่งของหนังชุดนี้

อีกหนึ่งจุดแข็งของภาคนี้คือการที่หนังเลือกวายร้ายของเรื่องได้อย่างมีเสน่ห์ และน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคาแรคเตอร์ของ เกเบรียล ที่รับบทโดย อิไซ มอร์ราเลส ที่เป็นวายร้ายที่พูดน้อย ต่อยหนัก และสามารถขโมยซีนได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ในภาคนี้ยังมีการเล่นประเด็นของ AI ที่เข้ามาเป็นวายร้ายเสริม ที่ทำให้หนังภาคนี้มีคู่ปรับที่ครบรสมากๆ

ด้านการแสดงยังต้องขอชื่นชม ทอม ครูซ ที่ยังรับบทลุยเอง บู๊เองในหลายๆ      ฉาก โดยเฉพาะฉากขับมอเตอร์ไซค์จากหน้าผา ที่ทำออกมาได้หวาดเสียว และน่าตื่นเต้นมากๆ นอกจาก ครูซ แลัว ทีมดาราหญิงในภาคนี้ก็ต่างมีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะบทบาทของ ฮาร์ลีย์ แอทเวล ที่เธอได้เข้ามาเป็นตัวละครสร้างสีสันประจำภาคนี้ที่คนดูจะต้องหลงรักอย่างแน่นอน

โดยรวม Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One เป็นอีกหนึ่งภาคของแฟรนไชส์ชุดนี้ ที่รักษามาตรฐานเดิมไว้ได้ดี แถมยกระดับการเล่าเรื่อง การนำเสนอให้มีความทะเยอทะยานมากยิ่งขึ้น มีการปูทางไปสู่ภาคต่อไปที่ชวนติดตาม ใครที่เป็นแฟนหนังสายลับห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Paramount Pictures

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง