รีวิวหนัง Shin Ultraman: หนังที่ยังคงเสน่ห์ของความเป็นอุลตราแมนดั้งเดิมไว้

รีวิวหนัง Shin Ultraman: หนังที่ยังคงเสน่ห์ของความเป็นอุลตราแมนดั้งเดิมไว้

หลังจากที่เมื่อปี 2016 ญี่ปุ่นได้ทำการชุบชีวิต ก้อตซิลลา อีกครั้ง ใน shin Godzilla ที่เป็นการรื้อเรื่องราวอสูรกายร่างยักษ์ใหม่ทั้งหมด โดยล่าสุดได้มีอีกหนึ่งโปรเจกต์ยักษ์ อย่าง Shin Ultraman หนังที่หยิบแฟรนไชส์ดังแห่งยุค 80-90 ที่เด็ก ๆ ทุกคนต้องรู้จัก มาเล่าอีกครั้งในรูปแบบที่ต่างจากเดิม โดยหนังยังคงได้ ฮิเดกิ อันโนะ ผู้กำกับ และคนเขียนบทจาก Shin Godzilla กลับมารับหน้าที่เขียนบทให้เรื่องนี้

Shin Ultraman จะว่าด้วยเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่น ที่ได้เกิดเหตุการณ์สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ ที่เรียกว่า “ไคจู” ออกอาละวาด ทำลายเมือง จนทำให้รัฐบาลได้ก่อตั้งหน่วยปฏิบัติการรับมือกับไคจูขึ้นมา เพื่อช่วยวิเคราะห์ความสามารถ และจุดอ่อนของ ไคจูแต่ละตัว เพื่อหาทางกำจัดพวกมัน จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีการปรากฎตัวของมนุษย์ต่างดาวปริศนานาม “อุลตราแมน” ที่ได้มาช่วยมนุษย์ในการต่อสู้กับไคจู ท่ามกลางปริศนาที่ทุกคนต่างสงสัยว่า อุลตตราแมนคือใคร และแท้จริงแล้วเขาคือฮีโร่ หรือวายร้ายตนใหม่ที่ต้องการทำลายโลก

แม้ว่าจะเป็นหนังในปี 2022 แต่ความน่าสนใจของ Shin Ultraman คือการหยิบความเป็นสไตล์ดั้งเดิมของแฟรนไชส์นี้ กลับมานำเสนออีกครั้ง โดยที่ไม่ทำให้มันเชยเกินไป หนังมีการหยิบนำจุดขายเก่า ๆ ของอุลตราแมนมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบที่คุ้นหู การเล่นกับฉากแปลงร่าง ไปจนถึงฉากเปิดที่เป็นจุดขาย ที่เมื่อใครที่เป็นคนดูวัย 20-30 น่าจะอินกับฉากเหล่านี้ไม่น้อย

ด้านฉากแอ็คชั่นเองก็ยังคงสไตล์การต่อสู้แบบเดิมของอุลตราแมน ที่มีการปล่อยพลังต่าง ๆ ใจกลางเมืองญี่ปุ่น โดยในเรื่องนี้ได้มีการใช้เทคนิค CGI ที่ร่วมสมัยเพื่อให้ฉากต่อสู้ออกมายิ่งใหญ่ อลังการมากขึ้น แต่กระนั้นด้วยความที่หนังมีสเกลที่ใหญ่เกินไป ทำให้ฉาก CGI บางฉากออกมาดูไม่เนียน จนดูตลกไปเลยในบางฉาก

แต่แม้ว่าหนังจะเน้นไปที่การต่อสู้ของ ไคจู และอุลตราแมน แต่อีกหนึ่งพาร์ทที่ Shin Ultraman ทำออกมาได้ดีพอ ๆ กับ Shin Godzilla คือประเด็นการเมืองที่ในเรื่องนี้หนังค่อนข้างใส่ออกมาได้แบบพอดี มีการพูดถึงบริบทการแย่งชิงอำนาจระหว่างประเทศ มาเป็นส่วนเสริมที่ทำใหหนังมีครบทุกรสชาติมากขึ้น

โดยรวม Shin Ultraman เป็นหนังฟอร์มยักษ์แห่งปีจากญี่ปุ่น ที่ทำออกมาได้อย่างสมการรอคอย หนังได้พาคนดูที่โตมากับอุลตราแมน กลับไปพบเพื่อนเก่าในวัยเด็กอีกครั้ง โดยที่ยังคงมาพร้อมลายเซ็น เอกลักษณ์ที่คุ้นเคย และสเกลต่าง ๆ ที่ยิ่งใหญ่ เรียกได่ว่าเป็นหนังที่แฟนอุลตราแมนไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Up Rank: หนังไทยที่หยิบประเด็นการเล่นเกม ผสมผสานกับความเป็นหนังอาชญากรรมได้อย่างลงตัว

รีวิวหนัง The Up Rank

หลังจากที่ก่อนหน้าที่วงการหนังไทยได้หยิบประเด็นของวงการกีฬา E-Sport มาเล่าใน Mother Gamer ที่เป็นการพูดถึงเรื่องการเล่นเกม และประเด็นครอบครัวแล้ว ในปีนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งหนังไทยที่นำประเด็นเรื่องวงการเกม วงการ E-Sport มาเล่า ที่ผสมผสานความเป็นอาชญากรรม กับหนังเรื่อง The Up Rank หรือชื่อไทย “อาชญาเกม”

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ยู (กิต-กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์) เด็กหนุ่มผู้ชอบเล่นเกม PUBG Mobile เป็นชีวิตจิตใจ ที่ได้รับการติดต่อจาก โฮม (เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ) ชายผู้ที่กำลังมองหาช่องทางการทำเงินจากเกม PUBG ด้วยการทำการอัพแรงค์ ให้กับคนที่ต้องการไต่อันดับไปสู่ระดับที่สูงขึ้น โดย โฮม ได้ชวนให้ยูเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกเพื่อเล่นเกมให้กับลูกค้า แลกกับเงินจำนวนมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาได้ดำดิ่งลงสู่ด้านมืดของวงการเกม

แม้ว่า The Up Rank จะมีพลอตหนังที่พูดถึงการเล่นเกม PUBG ก็ตาม แต่เนื้อหาของหนังกลับไม่ได้โฟกัสที่ตัวเกมเป็นจุดศูนย์กลาง ทำให้ต่อให้คนที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนเลย ก็สามารถดูหนังเรื่องนี้รู้เรื่อง เพราะประเด็นหลัก ๆ ที่หนังพยายามจะพูดถึงสายตาของผู้คนที่มองมาที่การเล่นเกม ที่จะมีทั้งฝั่งที่สนับสนุน และฝั่งที่ต่อต้าน ในขณะเดียวกันภายในวงการเกมเองก็มีเรื่องราวความขัดแย้งต่าง ๆ ซ่อนอยู่ด้วย

ในช่วงแรกหนังเล่าออกมาได้อย่างกระชับ รวดเร็ว เพื่อทำการเข้าสู่เนื้อหาของหนัง การเร่งจังหวะนี้ค่อนข้างเล่าออกมาได้ผิวเผินเบาบาง จนทำให้ครึ่งชั่วโมงแรกของหนังดูธรรมดา ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร ก่อนที่หนังจะค่อย ๆ เผยทีเด็ดหลังจากองก์ 2 เป็นต้นไป ด้วยการใส่ความขัดแย้งต่าง ๆ ให้ตัวละครอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละปมก็ได้ผูกโยงกันสู่เส่นเรื่องหลักได้อย่างน่าติดตาม

จุดขายของ The Up Rank ไม่ได้อยู่ที่พาร์ทการเล่นเกม แต่กลับเป็นพาร์ทดราม่าที่เล่าออกมาได้ถึงอารมณ์ และมีความสนุก น่าติดตาม ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของคนในทีม ที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ และความขัดแย้ง การชิงผลประโยชน์ ที่ชวนให้ติดตามต่อว่าท้ายที่สุดจะลงเอยอย่างไร รวมถึงพาร์ทดราม่าครอบครัว ที่สะท้อนภาพความแตกต่างของช่วงวัยออกมาได้สมจริง และเล่าได้อย่างดีเยี่ยม

น่าเสียดายที่ใน      The Up Rank หนังไม่สามารถนำเสนอทุกประเด็นในเรื่องออกมาได้สุดเท่าที่ควร หลาย ๆ ประเด็นของหนังถูกเล่าอย่างผิวเผิน เช่นเดียวกับบางตัวละครที่ขาดมิติ และความน่าเอาใจช่วย ที่น่าเสียดายที่สุดคือตอนจบของหนัง ที่สรุปออกมาได้อย่างกำกวม ไม่ชัดเจน จนสร้างความรู้สึกค้างคาต่อคนดู

โดยรวม The Up Rank ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังไทยดี ๆ ที่แม้พลอต และเนื้อหาจะไม่ได้แมสเท่ากับหนังไทยสมัยนี้ แต่ทีมผู้สร้างก็สามารถถ่ายทอดประเด็นดราม่าต่าง ๆ รวมถึงการสะท้อนภาพสังคมที่มองต่อการเล่นเกม ออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา เป็นหนังที่สามารถขายดราม่าได้สนุก ชวนติดตามเกินคาด ใครที่อยากดูหนังไทย รสชาติแปลกใหม่ เข้ากับยุคปัจจุบัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Up Rank ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Nobody: หนังแอคชั่น สุดเดือดที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความมันส์แบบ John Wick

รีวิวหนัง Nobody: หนังแอคชั่น สุดเดือดที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความมันส์แบบ John Wick

ผลงานหนังแอคชั่น ล้างแค้นสุดเดือดอีกเรื่องของปี 2021 โดยทีมผู้สร้างจาก John Wick นำทีมโดย เดเรค โคลสแตด มือเขียนบทจาก John Wick 1-3 มารับหน้าที่เขียนบท พร้อมได้ อิลย่า แนชฮุลเลอร์ มือกำกับจาก Hardcore Henry มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง บ้อบ โอเดนเคิร์ก จากซีรีส์ Better Call Saul มาสลัดลุ้คทนายอารมณ์ดี สู่บทมือสังหารรุ่นใหญ่

Nobody จะว่าด้วยเรื่องราวของ ฮุตช์ แทนเซล (บ้อบ โอเดนเคิร์ก) ชายวันกลางคนที่ใช้ชีวิตสุดแสนจะธรรมดา เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ชีวิตวนลูปอยู่กับการทำกิจกรรมเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโจรบุกเข้ามาในบ้านของเขา และขโมยเงินไปได้เล็กน้อย แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าวมันได้ปลุกสัญชาตญาณดิบที่ซ่อนอยู่ของ ฮุตช์ ให้กลับมาอีกครัง เขาเลยได้ทำการออกล่าใครก็ตามที่ทำร้ายเขา และครอบครัว

ความน่าสนใจของ Nobody คือการเป็นหนังล้างแค้นยุคใหม่ ที่ให้อรรถรสเดียวกับ  John Wick คือการเลือกที่จะเล่าตามสูตรของหนังแนวนี้ พร้อมการสร้างสรรค์ตัวเอกของเรื่องให้มีเอกลักษณ์ มีภาพจำที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งในหนังเรื่องนี้ผู้สร้างก็เลือกที่จะเล่าเรื่องแบบใน John Wick ภาคแรกอีกครั้ง โดยหนังจะไม่ได้เน้นขายแอคชั่นเป็นไฮไลท์ของเรื่อง แต่หนังเลือกที่จะค่อย ๆ พาคนดูไปสำรวจชีวิต ความคิดของตัวละครทีละน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เผยความเก่งกาจของตัวละคร จนนำมาสู่ความบันเทิงหลักของหนัง

ฉากแอคชั่นในเรื่องเรียกได้ว่าทำออกมาได้สนุก ตามสไตล์งานของทีมผู้สร้าง โดยในเรื่องนี้หนังได้ปรับโทนความเข้มข้น ดุเดือด ของลีลาการบู๊ ให้ออกมาสมกับตัว บ้อบ โอเดนเคิร์ก ด้วยวัยของนักแสดงลีลาการต่อสู้จะไม่ได้เก่งกาจ พลิ้วไหวมาก แต่จะเน้นไปทางเชื่องช้า แต่หนักแน่น และยังคงไว้ซึ่งความโหด ความรุนแรง ที่เป็นลายเซ็นสำคัญไม่แพ้ John Wick และแม้ว่าหนังจะไม่ได้มาพร้อมงานโปรดักชั่นที่ใหญ่โต แต่หนังก็สามารถอัดแน่นฉากต่อสู้ทั้งมือเปล่า และใช้อาวุธ ที่ชวนตื่นตาตื่นใจ ตลอดทั้งเรื่อง

ด้านการแสดง บ้อบ โอเดน เคิร์ก ยังคงมอบการแสดงที่น่าจดจำได้อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะยังเต็มไปด้วยความเป็น ซอล กู้ดแมน อยู่ในบทบาทนี้ โดยเฉพาะความเป็น Loser แต่ในพาร์ทที่เขาต้องบู๊ โอเดนเคิร์ก ก็ถ่ายทอดความดาร์กของตัวละครออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ แต่นอกจาก โอเดนเคิร์กแล้ว หนังก็ยังมี คริสโตเฟอร์ ลอยด์ (Back to the Future) ที่มาสร้างสีสันให้หนังเรื่องนี้ในฐานะ MVP ที่น่าจดจำอีกหนึ่งตัวละคร

Nobody นับว่าเป็นอีกหนังแอคชั่นแห่งปี 2021 ที่มีสไตล์ที่โดดเด่น และต่างจากเรื่องอื่น ๆ บ้อบ โอเดนเคิร์ก ได้สลัดภาพดาราดราม่า ตลก สู่นักบู๊คนใหม่ที่เท่ทและดิบ ไม่แพ้กัน นอกจากนี้หนังก็ยังปูทางให้ตัวเองไปสู่แฟรนไชส์ที่สามารถมีภาคต่อตามมาในอนาคตได้อย่างน่าสนใจ ใครที่มองหาหนังแอคชั่นสนุก ๆ สไตล์ John Wick นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Nobody ได้แล้ววันนี้ที่ HBO GO

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

https://youtu.be/wZti8QKBWPo

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง OMG รักจังวะ ผิดจังหวะ: หนังโรแมนติก คอเมดี้ สูตรสำเร็จจาก GDH

รีวิวหนัง OMG รักจังวะ ผิดจังหวะ

อีกหนึ่งผลงานโรแมนติก คอเมดี้ จากค่ายหนังอารมณ์ดี GDH ที่เป็นงานกำกับหน้าขนาดยาวเรื่องแรกของ ฐิติพงศ์ เกิดทองทวี โดยหนังได้ทีมนักแสดงวัยรุ่นมาร่วมแสดงนำ ไม่ว่าจะเป็น สกาย-วงศ์รวี นทีธร (ซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น), จูเน่-เพลินพิชญา โกมลารชุน (ซีรีส์​ ฉลาดเกมส์โกง), พีช-พชร จิราธิวัฒน์ (Suck Seed ห่วยขั้นเทพ)

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ กาย (สกาย-วงศ์รวี) ชายหนุ่มที่ดันไปหลงรัก จูน (จูเน่-เพลินพิชญา) หญิงสาวที่เป็นแฟนของหนึ่งในเพื่อนสนิทของเขา แต่ด้วยค วามรักที่ดันผิดจังหวะ ทำให้ความรักครั้งนี้ของ กาย ก็ต้องกินแห้วไปอย่างน่าเสียดาย จนเมื่อเวลาผ่านไป กาย ได้กลับมาเจอ จูน อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ จูน ก็ได้คบกับ พีท (พีช-พชร) หนุ่มนักดนตรี รูปหล่อ ในขณะที่กาย ได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ความรักครั้งนี้ของเขาให้ได้ แม้ว่ามันจะต้องทำผิดต่อความรักของ จูน และพีทก็ตาม

OMG รักจังวะ ผิดจังหวะ นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังโรแมนติก คอเมดี้ สูตรสำเร็จ สไตล์ GDH ที่ในครั้งนี้หนังเรื่องที่จะหยิบความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวมหาลัย ที่มีเรื่องของสังคมปาร์ตี้ การค้นหาตัวตน และความสัมพันธ์ที่ถูกที่ผิดเวลา มาถ่ายทอด โดยมีการเล่นกับคอนเซปต์ที่ว่าด้วยจังหวะที่ผิดพลาด ราวกับพระเจ้าไม่รัก

ด้วยความที่ตัวหนังเป็นงานกำกับของผู้กำกับมิวสิควีดีโอมาก่อน ทำให้การเล่าเรื่องของ OMG รักจังวะ ผิดจังหวะ มีการเล่าเรื่องเหมือนนำวีดีโอสั้นหลายๆ เรื่องมาเรียงร้อยกัน เป็นหนังยาว ตลอดทั้งเรื่องหนังจะโฟกัสที่การจีบกันของหนุ่มสาว ที่แต่ละพาร์ท ทำออกมาได้ละมุน เป็นธรรมชาติ ชวนให้คนดูได้ติดตาม เอาใจช่วยกับคู่พระนาง

ความโดดเด่นของ OMG รักจังวะ ผิดจังหวะ คือการที่หนังเล่าเรื่องความรักที่ไม่ได้ดูสวยงามของตัวละคร เพราะด้วยการกระทำของแต่ละตัวละครในเรื่องนี้ ต่างมีความเทาๆ ที่ไม่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะตรรกะ และวิธีคิดที่ต่างจากศีลธรรม ความรักในมุมมองของหลายคน ทำให้หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยประเด็นให้คนดูได้ถกเถียงถึงการกระทำต่างๆ ของตัวละครที่เกิดขึ้นในหนัง

ด้านการแสดง ต้องขอชื่นชมทั้ง สกาย และจูเน่ ที่ต่างมีเคมีการแสดงที่เข้ากันลงตัว สกาย ได้รับบทแบดบอย ที่มีความขี้แพ้ ที่ชวนให้คนดูอยากติดตามชะตากรรมตัวละครนี้ไปจนจบ ในขณะที่ จูเน่ ก็ถ่ายทอดบท จูน ออกมาได้น่ารัก มีเสน่ห์ สามารถสะกดคนดูได้อยู่หมัดในแทบทุกซีน

โดยรวม OMG รักจังวะ ผิดจังหวะ เป็นหนังรักสูตรสำเร็จ จาก GDH ที่อาจไม่ได้มีความโดดเด่นจากเรื่องอื่นมากนัก แต่ในแง่ของการเล่นกับคอนเซปต์รักผิดจังหวะ และการนำเสนอที่ทำออกมาได้เป็นธรรมชาติ หนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี ชวนให้คนดูได้ติดตามชะดากรรมความรักของเหล่าตัวละครในเรื่องว่าจะลงเอยอย่างไร

สามารถรับชม OMG รักจังวะ ผิดจังหวะ ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: GDH

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Menu หนังระทึกขวัญ

รีวิวหนัง The Menu หนังระทึกขวัญ

The Menu คือหนังดราม่า ระทึกขวัญ ผลงานการกำกับจาก มาร์ค แมคลอยด์ หนึ่งในผู้กำกับจากสองซีรีส์ดังอย่าง Game of Thrones และ Succession ที่ได้รวมทีมนักแสดงมากฝีมือ นำทีมโดย ราล์ฟ ไฟน์ (Harry Potter and the Deathly Hallows), อันย่า เทย์เลอร์ จอย (The Witch) และ นิโคลัส ฮอลท์ (Warm Bodies)

เรื่องราวของหนัง จะว่าด้วยผู้ดีกลุ่มหนึ่งที่ได้เดินทางไปยังเกาะอันห่างไกล ที่เป็นที่ตั้งของภัตตาคารสุดหรู ที่มีหัวหน้าเชฟคือ สโลวิก (ราล์ฟ ไพน์) ที่นั่นพวกเขาจะได้ทานอาหารคอสสุดหรูที่ สโลวิก เป็นคนคิดค้น แต่ทว่าเมื่อเมื่อมื้ออาหารเริ่มต้น ความน่ากลัว สยดสยองก็ค่อย ๆ เริ่มต้นขึ้น จนนำมาสู่มื้ออาหารที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขา และเธอไปตลอดกาล

ความน่าสนใจของ The Menu คือตลอดเกือบสองชั่วโมงของหนัง จะเป็นการพาคนดูไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง และร่วมรับประทานอาหารในมื้อนี้ แบบที่แทบจะเป็นเรียลไทม์ คนดูจะได้สัมผัสความรู้สึกเหมือนว่าได้ไปทานร้านอาหารหรู และได้ตื่นตาตื่นใจในอาหารแต่ละจานที่ถูกนำมาเสิร์ฟ ยิ่งหากใครที่ไม่ได้รู้อะไรกับหนังมาก่อน จะสนุกเพลิดเพลินไปกับเซอร์ไพรส์ที่หนังมอบให้

ตัวหนังจงใจทำมาเพื่อล้อเลียน และจิกกัดรายการอาหาร และทุนนิยม ที่แบ่งแยกระหว่างความหรูหรา และความสามัญธรรมดา โดยแต่ละต้วละครในเรื่องก็เป็นเสมือนบทบาทสมมติของทุนนิยมในปัจจุบัน ตั้งแต่นักวิจารณ์อาหาร คนที่อ้างว่าตนชื่นชอบในศิลปะของอาหาร แต่กลับทำอาหารไม่ได้เรื่อง รวมไปถึงกลุ่มนักธุรกิจที่ฉ้อฉล ซึ่งหนังสามารถใช้ความระทึกขวัญ เพื่อสร้างสรรค์มุกการจิกกัดต่าง ๆ ในเรื่องให้ออกมาเจ็บแสบ เต็มไปด้วยความตลกร้ายที่ไม่เหมือนใคร

ในแง่ของความระทึกขวัญ หนังอาจทำออกมาไม่ได้น่ากลัว หรือเลือดสาดมาก เมื่อเทียบกับหนังแนวเดียวกัน โดยในเรื่องนี้หนังพยายามสร้างบรรยากาศที่น่าอึดอัดผ่านความไม่ปกติของตัวละคร ที่ทำให้คนดูคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในฉากต่อ ๆ ไป แต่ในขณะเดียวกันหนังก็ยังมีฉากให้คนดูชวนเหวออยู่ตลอดทั้งเรื่องไว้เช่นเดียวกัน

การแสดงที่น่าจดจำในเรื่องนี้ ยังต้องขอชื่นชม อันย่า เทย์เลอร์ จอย ที่ยังคงรับบทโดดเด่นในหนังระทึกขวัญได้อย่างดีเยี่ยม การแสดงของเธอสามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้เป็นอย่างดี จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่แบกหนังไว้เกือบทั้งเรื่องก็ว่าได้ ในส่วน ราล์ฟ ไพน์ ก็รับบทเชฟโรคจิต ที่ทั้งทรงพลัง และน่าเกรงขาม นับว่าเป็นอีกบทวายร้ายที่น่าจดจำของนักแสดงมากฝีมือผู้นี้

โดยรวม The Menu เป็นอีกหนึ่งหนังระทึกขวัญรสชาติแปลกใหม่ ที่สามารถจิกกัด ล้อเลียนรายการอาหาร และทุนนิยมในปัจจุบัน ควบคู่กับความสยองขวัญได้อย่างลงตัว แม้จะไม่ได้เป็นหนังที่น่ากลัว เลือดสาดอย่างที่หนังแนวนี้ส่วนใหญ่ แต่ความตลกร้าย และเนื้อหาที่น่าติดตามในทุกนาทีของหนัง ทำให้นี่เป็นอีกงานที่คอหนังไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Menu ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง ขุนพันธ์ 3 บทสรุปของไตรภาคตำรวจจอมขมังเวทย์

รีวิวหนัง ขุนพันธ์ 3 บทสรุปของไตรภาคตำรวจจอมขมังเวทย์

ภาคสุดท้ายของไตรภาค ขุนพันธ์ ที่นับว่าเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปีของหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน โดยในภาคนี้หนังยังได้ ก้องเกียรติ โขมศิริ กลับมารับหน้าที่กำกับอีกครั้ง พร้อมได้ อนันดา เอเวอริงแฮม หลับมารับบท ขุนพันธ์ สมทบด้วยดารามากฝีมือในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น โตโน่-ภาคิน, มาริโอ้ เมาเร่อ และ ฟ้า-ษริกา

ในเรื่องราวของขุนพันธ์ 3 จะว่าด้วยเหตุการณ์ที่อิงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่รัฐไทย กำลังเสื่อมเสียจากข้อหาการคอรัปชัน จนทำให้ เสือดำ (โตโน่-ภาคิน) และ เสือมเหศวร (มาริโอ้-เมาเร่อ) สองเสือจากแก๊งเชิ้ตดำ ได้ทำการก่ออาชญากรรม ด้วยการปล้นสถานที่ต่างๆ ของราชการ และโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ทางกรมตำรวม ต้องขอความช่วยเหลือจาก ขุนพันธ์ (อนันดา เอเวอริงแฮม) ในการปราบปรามสองเสือ ซึ่งภารกิจครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายยิ่งกว่าเดิม ในขณะที่ของขลังของขุนพันธ์ก็เริ่มเสื่อมลงตามกาลเวลา

ในภาคนี้หนังยังคงความเป็นสไตล์เหมือนกับสองภาคก่อนไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการใส่ความเป็นหนังคาวบอย ตะวันตก เข้าไปในเรื่อง และฉากแอ็คชัน ที่ผสมผสานความเป็นแฟนตาซี ความน่าสนใจคือการที่หนังยกระดับตัวเองขึ้นกว่าเดิม ด้วยสเกลของเนื้อหา และเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

หนังมาพร้อมฉากแอ็คชัน ที่จัดเต็มครบรสมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลีลาบู๊ของเหล่าตัวละครใหม่ในเรื่องที่ต่างมีลีลาที่ต่างกันไป ทำให้ในเรื่องนี้มีฉากบู๊ตั้งแต่ฉากดวลปืนเดือด หรือฉากใช้คาถาอาคมสุดเข้มข้น รวมทั้งยังมีฉากสงครามระหว่างโจร และตำรวจในองก์ 3 ที่เล่นใหญ่ จัดเต็ม พร้อมทั้งซ่อนเซอร์ไพรส์ที่แฟนหนังชุดนี้จะต้องประทับใจ

ไม่ใช่แค่พาร์ทแอ็คชันเท่านั้นที่หนังทำออกมาได้ดี แต่ด้านพาร์ทดราม่าก็กลมกล่อม ลงตัวไม่แพ้กัน ในภาคนี้ผู้ชมจะได้เห็นด้านที่อ่อนแอของขุนพันธ์ มากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มมิติให้ตัวละคร และทำให้เราอินไปกับเรื่องมากขึ้น นอกจากนี้หนังยังใส่ความเป็นการเมืองที่เราไม่ค่อยเห็นในหนังไทยเรื่องไหน อย่างประเด็นความเหลื่อมล้ำจากรัฐ และการคอรัปชันในวงการตำรวจ ที่ดูจบแล้วชวนให้คนดูได้ตั้งคำถามถึงหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม ว่าควรเป็นอย่างไร?

การแสดงในภาคนี้ ยังต้องชื่นชม อนันดา ที่รับบท ขุนพันธ์ ได้อย่างน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทดราม่า หรือพาร์ทแอ็คชั่น ที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้การแสดงที่น่าโดดเด่นในเรื่องนี้ก็ต้องขอยกให้ โตโน่ ที่เข้าถึงบทเสือดำ ที่ทั้งดาร์ก และเท่ ในแบบที่ไม่เหมือนใคร

โดยรวม ขุนพันธ์ 3 นับว่าเป็นการปิดไตรภาคของขุนพันธ์ ที่ทำได้ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการรักษามาตรฐานจากทั้งสองภาคแรกไว้ได้อย่างดี การเล่าเรื่องที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นับว่าเป็นอีกแฟรนไชส์หนังไทยแห่งยุคนี้ ที่ควรค่าแก่การจดจำ

สามารถรับชม ขุนพันธ์ 3 ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์


Cr.ภาพ: สหมงคลฟิล์ม

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

โอลิเวียร์ โคลแมน และเอมิเลีย คลาร์ก เตรียมร่วมแสดงนำในซีรีส์ Secret Invasion ของ Marvel

โอลิเวียร์ โคลแมน และเอมิเลีย คลาร์ก เตรียมร่วมแสดงนำในซีรีส์ Secret Invasion ของ Marvel

Secret Invasion อีกหนึ่งซีรีส์น่าจับตาของ Marvel Studios ที่เตรียมฉายบน Disney+ ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงวางตัวทีมนักแสดงนำอยู่ โดยล่าสุดได้มีการประกาศอีกสองนักแสดงหญิงที่จะมาร่วมแสดงในซีรีส์เรื่องนี้คือ โอลิเวียร์ โคลแมน (The Father) และ เอมิเลีย คลาร์ก (Game of Thrones)

โดย Secret Invasion จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ใหญ่ของจักรวาล MCU เพราะมันจะว่าด้วยเหตุการณ์ของเหล่ามนุษย์ต่างดาว Skrull (ที่เคยปรากฎตัวมาแล้วใน Captain Marvel) ที่ปลอมตัวเข้ามาอาศัยอยู่บนโลก และปลอมตัวเป็นบุคคลสำคัญ เพื่อหวังสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ซีรีส์จะได้ ไคล์ แบรดสตรีท มือเขียนบท และผู้อำนวยการสร้างจาก Mr.Robot มารับหน้าที่ดูแลการสร้างซีรีส์ พร้อมได้ ซามูแอล แจ็คสัน (Spiral)  กลับมารับบท นิค ฟิวรี่ และ เบน เมนเดลสัน (Captain Marvel) ที่กลับมารับบท ทารอส อีกครั้ง ส่วนบทของ โอลิเวียร์ โคลแมน และ เอมิเลียคลาร์ก ยังถูกปิดเป็นความลับ

โอลิเวียร์ โคลแมน จากหนัง The Father

เอมิเลีย คลาร์ก จากซีรีส์ Game of Thrones

โอลิเวียร์ โคลแมน เป็นนักแสดงหญิงสัญชาติอังกฤษ โดยผลงานของเธอส่วนใหญ่จะเป็นหนังดราม่า สายรางวัล ก่อนหน้านี้เธอเคยคว้าราววัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากหนังเรื่อง The Favourite เมื่อปี 2019 และในปี 2021 นี้ โคลแมนก็ได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้งในบท นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก The Father ส่วน เอมิเลีย คลาร์ก คือนักแสดงสาวที่โด่งดังจากซีรีส์ Game of Thrones ในบท เดเนริส ทาร์แกเรียน ราชินีมังกร ซึ่งหลังจากสิ้นสุดบทดังกล่าว เธอก็มีผลงานหนังฟีลกู้ด สุดน่ารักอย่าง Last Christmas ที่เข้าฉายเมื่อปี 2019 อีกด้วย

*ย่อหน้านี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของ Spider-Man: Far From Home

สำหรับตัวละครมนุษย์ต่างดาว Skrull ในหนัง MCU นั้น เป็นตัวละครที่ปรากฎในครั้งแรกใน Captain Marvel ที่หนังได้เผยว่าพวกเขาได้มีความสามารถในการปลอมตัว จนเมื่อในเรื่อง Spider-Man: Far From Home หนังก็ได้เผยในตอน End Credit ของหนังว่า แท้จริงแล้ว นิค ฟิวรี่ และ มาเรีย ฮิล ที่เราเห็นในหนังทั้งเรื่องนั้น คือ Skrull ที่ปลอมตัวมาโดยมีจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งฉาก End Credit ดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นการปูทางของซีรีส์ Secret Invasion ก็ว่าได้

ส่วนซีรีส์ของ MCU ที่เตรียมจะลงฉายใน Disney+ ปีนี้ ก็ยังจะมี Loki ซีรีส์ที่ว่าด้วยการผจญภัยของวายร้ายที่หลายคนหลงรัก ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ต่อจาก Avengers Endgame โดยซีรีส์จะมีกำหนดฉายเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนี้ในวีคนี้ซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier ก็กำลังจะฉาย Ep. สุดท้ายอีกด้วย

สำหรับใครที่รอการมาของ Disney+ ในไทย คาดว่าอีกไม่นานนี้เรากำลังจะได้ใช้บริการแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวจากผู้ใช้ Disney+ ในประเทศอินโดนีเซียเผยว่ามีบางคอนเทนต์ของสตรีมมีซับไทย และพากย์ไทยแล้ว ซึ่งหากมีข่าวความคืบหน้ายังไง ทางเราจะรีบนำมาอัปเดททันที

Cr.ภาพ : เว็บไซต์ IMDB

อ้างอิง : https://www.empireonline.com/movies/news/marvel-secret-invasion-adds-emilia-clarke/

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิว Sex Education ซีซั่น 3

รีวิว Sex Education ซีซั่น 3

ซีซั่นที่ 3 ของซีรีส์ Coming of Age ยอดนิยมจาก Netflix ที่ครั้งนี้มาพร้อมความสนุก ความสยิว ความพลุ่งพล่านของวัยรุ่นที่จัดเต็มไม่แพ้ซีซั่นก่อน ๆ โดยเนื้อหาในซีซั่นที่ 3 นี้ จะเล่าเรื่องราววุ่น ๆ ของเหล่านักเรียนในโรงเรียนมัวร์เดล เมื่อพวกเขาต้องพบกับคุณครูใหญ่คนใหม่ ที่มาพร้อมกฎระเบียบใหม่ ที่จะมาเปลี่ยนแปลงมัวร์เดล ให้กลายเป็นโรงเรียนตัวอย่างที่ดี และขจัดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการสอนเพศศึกษาในโรงเรียนนี้ให้หมดไป

ในขณะที่ด้าน โอทิส (เอซ่า บัตเตอร์ฟิลด์) ที่พึ่งแตกเนื้อหนุ่ม ก็กำลังสนุกกับความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัดกับ รูบี้ (มิมี่ คีน) หญิงสาวสุดแซ่บประจำโรงเรียน ซึ่งหลังจากที่ทั้งคู่เริ่มคบหากัน  มันก็ได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของ โอทิส มากมาย รวมถึงความสัมพันธฺของเขา และ เมฟ (เอมม่า แมคกี้) ความรักครั้งเก่าที่โอทิส ไม่สามารถลืมได้ จนนำมาสู่เรื่องวุ่น ๆ ที่มีทั้งสุข ทุกข์ มากมายของเหล่าวัยรุ่นที่กำลังเติบโต และตื่นรู้เรื่องเซ็กซ์

สำหรับซีซั่นที่ 3 ของ Sex Education เรียกได้ว่ายังคงเป็นงานที่รักษามาตรฐานเดิมของตัวเองได้อย่างคงเส้นคงวา ตัวซีรีส์ยังคงเอกลักษณ์ในด้านความเป็นซีรีส์วัยรุ่นที่พูดถึงเรื่องเซ็กซ์ และนำเสนอมันออกมาได้น่าจดจำ โดยเฉพาะฉากเปิดของเรื่อง ที่สะท้อนแนวคิด และอุดมการณ์ของซีรีส์เรื่องนี้ได้อย่างทรงพลัง สมการรอคอย

ความสนุกของซีซั่นนี้ ยังคงเป็นการเล่นกับเรื่องราวหลายเส้นเรื่องของตัวละคร ที่แต่ละคนก็จะมีความสัมพันธ์ และประเด็นที่แตกต่างกันไป โดยซีรีส์มีทั้งความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องจากซีซั่นก่อน และที่ก่อเกิดขึ้นใหม่ ถึงแม้ว่าในซีซั่นนี้จะมีฉากเลิฟซีนที่น้อยลง รวมถึงพาร์ทที่ให้คำแนะนำเรื่องเซ็กซ์ จะลดลงกว่าเดิม แต่แก่นที่ว่าด้วยเรื่องของการเติบโต เรื่องของเซ็กซ์ในเรื่องนี้ก็ยังคงเต็มเปี่ยมเหมือนเดิม โดยจะเป็นการนำเสนอผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ตัวละครต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เพศสภาพ รสนิยมทางเพศที่แตกต่างกัน ไปจนถึงเรื่องความรักกับเรื่องเซ็กซ์ เป็นต้น ที่ประเด็นเหล่านี้ล้วนแต่สร้างสีสันให้ซีซั่นนี้มีความสนุกที่หลากหลายมากขึ้น

อีกหนึ่งประเด็นที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของ Sex Education ซีซั่น 3 ที่น่าจะรีเรทกับคนไทยมาก ๆ คือการพูดถึงสถาบันศึกษา กับการสอนเรื่องเพศ ที่ในซีซั่นนี้ได้มีการนำเสนอความขัดแย้งของคนสองรุ่น ออกมาได้อย่างชวนติดตาม โดยซีรีส์ก็ยังได้สอดแทรกเรื่องความสำคัญของเซ็กซ์ ในวัยเรียน แบบที่ไม่ดูยัดเยียดมากจนเกินไป แต่จะเป็นการนำเสนอการถกเถียง การแสดงออกเกี่ยวกับเซ็กซ์ เพศสภาพ ที่ชวนให้ขบคิด และได้มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร ซึ่งทั้งนี้ต้องขอชื่นชมตัวละคร โฮป ที่รับบทโดย เจไมมา เคิร์ค ที่ได้ถ่ายทอดบทครูใหญ่หัวโบราณ เป็นตัวร้ายที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ถึงพริกถึงขิง

ด้านทีมนักแสดงชุดเดิม ในซีซั่นนี้ก็ยังสามารถถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้เป็นธรรมชาติเหมือนเดิม ส่วน เอซ่า บัตเตอร์ฟิลด์ ในซีซั่นนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการการแสดงของเขาที่ดูโตมากขึ้น ตามคาแรคเตอร์ของ โอทิส ที่โตตามวัย นอกจากนี้บทที่เป็นที่พูดถึงที่สุดในซีซั่นนี้คือ รูบี้ ที่รับบทโดย มิมี่ คีน ที่นอกจากจะเซ้กซี่แล้ว ในซีซั่นนี่เรายังจะได้เห็นมิติที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนของตัวละครนี้ที่จะทำให้คุณหลงรักเธอมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

Sex Education ซีซั่น 3 เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ทำออกมาได้สมการรอคอยเป็นอย่างยิ่ง ตัวซีรีส์ยังคงรักษาคุณภาพไม่ว่าจะเป็นบท งานโปรดักชั่น ไปจนถึงการแสดง พร้อมทั้งยังมีประเด็นเรื่องเซ็กซ์ที่หลากหลาย และร่วมสมัยยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ซีรีส์ก็ยังปูทางไปสู่ซีซั่นต่อไป ที่น่าจะแตกต่างจาก 3 ซีซั่นที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็ต้องมารอลุ้นกันว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร

สามารถรับชม Sex Education ซีซั่น 3 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Nightmare Alley อีกหนึ่งงานดราม่า ระทึกขวัญ

รีวิวหนัง Nightmare Alley อีกหนึ่งงานดราม่า ระทึกขวัญ

Nightmare Alley คืออีกหนึ่งผลงานหนังจากผู้กำกับสายดาร์กแฟนตาซีมากฝีมืออย่าง กิแยร์โม เดล โตโร (The Shape of Water) โดยเป็นงานที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ วิลเลียม ลินด์ซี่ เกรชแฮม ที่ได้ทีมนักแสดงดังมากร่วมงานแบบคับจอ นำทีมโดย แบรดลีย์ คูเปอร์ (A Star is Born), รูนี่ มาร่า (Carol),เคท แบรนเชส (Carol), วิลเลียม เดโฟ (The Lightout) และ โทนี คอลเลต (Hereditary)

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ สแตนตัน (แบรดลีย์ คูเปอร์) ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตแบบเร่ร่อน ไร้จุดมุ่งหมาย จนวันหนึ่งเขาได้รับโอกาสให้เข้ามาร่วมทำงานกับขบวนคาราวานที่จัดการแสดงตามงานคาร์นิวัล ของ เคลม (วิลเลียม เดโฟ) ในระหว่างที่ สแตนตัน ทำงานในขบวนคาร์นิวัล เขาก็ได้พบกับเบื้องหลังการแสดงอันหลอกลวงรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำนายอนาคต รวมถึงเขายังได้พบรักกับ มอลลี่ (รูนี่ มาร่า) หญิงสาวนางโชว์ในขบวนคาราวานเดียวกับเขา หลังจากนั้นทั้งสองได้ร่วมกันหนีจากขบวนคาราวาน เพื่อสร้างสรรค์การแสดงทายอนาคตด้วยกันเพียงสองคน  แต่ทว่าชีวิตของทั้งสองก็เปลี่ยนไปเมื่อทั้งสองได้เจอหญิงสาวปริศนานาม ดร.ลิลิธ (เคธ แบรนเชส) ผู้มาพร้อมภารกิจสุดท้ายทาย เพื่อพิสูจน์ความสามารถของ สแตนตัน

ตัวหนังยังมาพร้อมจุดขายของหนัง กิแยร์โม เดล โตโร ที่มีความเป็นหนังพีเรียต โดยในเรื่องนี้มีเหตุการณ์ที่มีพื้นหลังเป็นช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จะเต็มไปด้วยบรรยากาศของคาราวาน การแสดง และการเติบโตของวิทยาศาสตร์ จุดเด่นของหนังยังคงเป็นการออกแบบการสร้างที่ทำออกมาได้อย่างสมจริง ให้บรรยากาศของความลึกลับ น่าค้นหา และมีกลิ่นอายของหนังสยองขวัญเบา ๆ ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอีสเตอร์เอ้กที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด เรื่องเหนือธรรมชาติ สำหรับเอาใจคนที่ชอบงานของ เดล โตโร แบบจัดเต็ม

การเล่าเรื่องในเรื่องนี้ อาจไม่ได้เป็นงานที่หวือหวา หรือโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับงานก่อน ๆ ของ เดล โตโร ที่เต็มไปด้วยความดาร์กแฟนตาซีที่เวอร์วัง และปีศาจชวนสยอง แต่ใน Nightmare Alley เป็นงานที่หนักดราม่า มีการพูดถึงชีวิตของชายคนหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน และเต็มไปด้วยความโลภ หนังได้พาคนดูไปสำรวจช่วงเวลาหนึ่งของ สแตน ในรูปแบบของนิทานสอนใจที่พริอมให้ข้อคิด บทเรียน และนัยยะให้คนดูได้ตีความ

แต่แม้ว่าหนังจะไม่ได้มีสัตว์ประหลาด หรือความน่ากลัว แต่ใน Nightmare Alley ก็ยังคงสามารถหยิบความลึกลับ น่าค้นหามานำเสนอได้อย่างดีเยี่ยม หนังยังพูดถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ วิญญาณ ได้อย่างชวนติดตาม พร้อมทั้งยังมีเซอร์ไพรส์ที่คนดูคาดไม่ถึง

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม แบรดลี่ย์ คูเปอร์ ที่แบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เขาสามารถถ่ายทอดทุกช่วงเวลาชีวิตของ สแตน ออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ จนเป็นอีกหนึ่งการแสดงที่น่าจดจำไม่แพ้กับ A Star is Born นอกจากนี้สองนักแสดงหญิงมากฝีมืออย่าง รูนี่ มาร่า และ แคท แบรนเชส ก็สร้างสีสัน มอบความงดงามที่สะกดสายตาของคนดูในแทบทุกนาทีที่พวกเธอปรากฎตัว

โดยรวม Nightmare Alley เป็นอีกหนึ่งหนังคุณภาพจาก กิแยร์โม เดล โตโร ที่แม้จะไม่ได้หวือหวา โดดเด่นเมื่อเทียบกับงานก่อน ๆ แต่หนังก็ยังเต็มไปด้วยลายเซ็นของ เดล โตโร ที่แฟน ๆ น่าจะชื่นชอบไม่น้อย หรือใครที่ชอบหนังพีเรียต ลึกลับ ระทึกขวัญ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม Nightmare Alley ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar 

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Pinocchio งานรีเมคจากนิทานคลาสสิก

รีวิวหนัง Pinocchio งานรีเมคจากนิทานคลาสสิก

ผลงานรีเมคนิทานอันโด่งดังที่คนทั่วโลกต่างรู้จัก โดยในเวอร์ชั่นนี้หนังได้ โรเบิร์ต เซเมคิส (Forest Gump) มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบท พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง ทอม แฮงค์ มาร่วมแสดงนำ ซึ่งเป็นการกลับมาร่วมงานกันของทั้งคู่นับตั้งแต่ The Polar Express เมื่อปี 2004

เนื้อเรื่องของ Pinocchio เวอร์ชั่นนี้ ก็ยังคงตามเนื้อหาดั้งเดิม โดยจะว่าด้วยเรื่องราวของ เก้ปเปตโต (ทอม แฮงค์) คนประดิษฐ์นาฬิกา ที่ได้ทำการประดิษฐ์หุ่นไม้ที่มีชื่อว่า พินอคคิโอ เพื่อหวังให้เป็นตัวแทนลูกชายของเขาที่ตายไป ซึ่งในคืนนั้นเอง เก้อเปตโต้ ก็ได้ขอพรจากดวงดาว ทำให้มีนางฟ้ามาร่ายมนต์ทำให้ พินอคคิโอ มีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ จนนำมาสู่การผจญภัยของหุ่นไมเ้ตัวน้อย ที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ และความประทับใจ

ตัวหนังจะมาแนว ดราม่า ผจญภัย ผสมมิวสิคคัล ตามสไตล์หนัง Disney ส่วนใหญ่ในยุคหลัง ๆ โดยความโดดเด่นอยู่ที่งานโปรดักชั่น ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฉาก การเนรมิตรตัวละคร เสือผ้าหน้าผม และองค์ประกอบต่าง ๆ ให้เหมือนกับในอนิเมชั่นต้นฉบับ

โดยเฉพาะงาน CGI ในการสร้างสรรค์ตัวละครส่วนใหญ่ในหนัง ที่ทำออกมาได้โดดเด่น น่าจดจำ สามารถเล่นกับตัวละครที่เป็นคนแสดงได้อย่างลงตัว ฉากแอคชั่นในเรื่องยังเปี่ยมด้วยความเป็น Disney ที่เน้นไปที่ขายฉากเวอร์วังอลังการ ขายฉากผจญภัยที่ให้อารมณ์เหมือนเล่นสวนสนุก

แต่นอกเหนือจากด้านงานโปรดักชั่น และ CGI แล้ว ตัวหนังกลับล้มเหลวในด้านอื่น ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย หนังแทบไม่มีอะไรที่โดดเด่น แตกต่างจากนิทานที่เคยได้ยิน ได้ฟังมา ในบางส่วนหนังทำออกมาได้ดรอปลงกว่าฉบับอนิเมชั่นด้วยซ้ำ ด้านตัวละครในหนังที่มีมิติเบาบาง จืดชืด และแทบไม่มีแรงผลักดันอื่น ๆ ให้คนดูรู้สึกอยากเอาใจช่วย

ส่วนที่น่าเสียดายอีกหนึ่งอย่างคือการหยิบตัวละครของ ทอม แฮงค์ มาใช้งานได้ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร แม้ว่า แฮงค์ จะพยายามถ่ายทออดบทดราม่า ออกมาได้สุดเหมือนงานที่ผ่าน ๆ มา แต่กระน้ันด้วยโครงเรื่องที่ล้มเหลว ทำให้การแสดงของไม่สามารถช่วยให้หนังดีขึ้นเท่าไหร่นัก

โดยรวม Pinocchio เป็นหนังรีเมคของ Disney ที่ทำออกมาได้ไร้ซึ่งความแปลกใหม่ หรือประเด็นใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ นอกจากความบันเทิงแบบหนังป้อปคอร์น ที่เน้นขาย CGI ที่อลังการแล้ว หนังแทบไม่มีอะไรให้น่าจดจำ

สามารถรับชม Pinocchio ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: Rotten tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง