รีวิวหนัง ใจฟูสตอรี่

รีวิวหนัง ใจฟูสตอรี่

อีกหนึ่งผลงานหนังไทยแห่งปี 2022 ที่เป็นผลงานการกำกับโดย พฤษ์ เอมะรุจิ (ปฏิบัติการกู้หวย) ที่ในเรื่องนี้ได้เปลี่ยนจากโทนหนังคอเมดี้ สู่การเป็นหนังโรแมนติก ที่รวมดารารุ่นใหม่มาไว้ในเรื่องเดียวกัน นำทีมโดย พีช พชร (ไบค์แมน 1-2) ,มินนี่-ภัณฑิรา (แสงกระสือ) ,ณัฏฐ์ กิจจริต (Fast & Feel Love) ,เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา (รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน) และ ฝน – ศนันธฉัตร (ไบค์แมน 1-2)

เรื่องราวของ ใจฟูสตอรี่ จะว่าด้วย เดี่ยว (พีช พชร) มือเขียนบทหนัง ที่ต้องมาเขียนบทหนังโรแมนติก คอเมดี้ เรื่องใหม่ที่โรงพยาบาล เพื่อเฝ้าแม่ของเขาที่ป่วยหนักอยู่ในห้อง ICU ในระหว่างนั้นเอง เดี่ยว ก็ได้พบกับ บัว (มินนี่-ภัณฑิรา) หญิงสาวที่มาเฝ้าคนรักที่ป่วย ICU เช่นกัน ระหว่างนั้นเอง ทั้งสองก็ได้สานสัมพันธ์มิตรภาพร่วมกัน โดย เดี่ยวได้นำบทหนังที่เขาเขียนมาให้เธออ่าน ซึ่งเป็นหนังสั้นหลากเรื่อง หลากอรรถรส ที่เป็นหลากเรื่องสั้นที่เกิดขึ้นระหว่างเรื่อง

ด้วยความที่หนังมีการแบ่งเนื้อหาเป็นเส้นเรื่องหลัก และเรื่องสั้นที่มีเนื้อหาไม่ได้เชื่อมโยงกัน ทำให้จุดเด่นของ ใจฟูสตอรี่ คือการทำให้ทั้ง 5 เรื่องสั้นในเรื่องมีความเป็นหนังยาวเรื่องเดียว ที่ถูกเชื่อมโยงกันผ่านเส้นเรื่องหลักของ เดี่ยว และบัว โดยการดำเนินเรื่องของหนังก็มาพร้อมสูตรสำเร็จของหนังรักไทย ที่จะพูดถึงเรื่องราวการแอบชอบ แอบรักของคนหนุ่มสาว ที่มีช่วงวัย และอาชีพ ที่แตกต่างกัน

อีกหนึ่งจุดขายที่ทำให้ ใจฟูสตอรี่ เป็นหนังโรแมนติกที่มีลายเซ็นโดดเด่นคือการเป็นหนังโรแมนติกที่เล่าเรื่องที่มีพื้นหลังเป็นประเทศไทยในยุคโควิด-19 ที่มีการพูดถึงการกักตัว การปรับตัวของผู้คนในยุคนี้ ที่ได้เป็นเงื่อนไขให้หนังเรื่องนี้มีความขัดแย้ง และอุปสรรค ให้ตัวละครต้องพิสูจน์ความรัก ซึ่งนับว่าเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ผ่านหนังรักที่ทำได้อย่างชาญฉลาด

ภาพรวมของหนัง สามารถเล่าเรื่องออกมาได้สนุกตามสไตล์หนังรัก ที่มีฉากเข้าคู่พระนางที่ชวนยิ้ม ให้คนดูได้อิน ได้รู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้ นอกจากนี้ตัวผู้กำกับ ยังสามารถหยิบความคอเมดี้ที่เป็นลายเซ็นของหนังตนเอง มาสอดแทรกให้คนดูได้ขำเป็นช่วง ๆ แต่กระนั้นน่าเสียดายที่หนังค่อนข้างตามสูตรหนังรักจนเกินไป ทำให้ในแต่ละเรื่องสั้นของค่อนข้างมีการจบแบบห้วน ๆ และขาดความเซอร์ไพรส์อย่างน่าเสียดาย

โดยรวม ใจฟูสตอรี่ เป็นหนังรักไทย ที่พอดีได้เพลิน ๆ หนังมีการดำเนินเรื่องที่หยิบเหตุการณ์โควิด-19 มาเล่าได้อย่างร่วมสมัย และยังสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ดีเยี่ยม แม้ว่าจะสูตรสำเร็จไปบ้าง แต่ก็น่าจะถูกใจคอหนังรัก ไม่มากก็น้อย

สามารถรับชม ใจฟูสตอรี่ ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

แองเจลิน่า โจลื่ เป็นนักดับเพลงสาวที่ต้องปกป่องเด็กชายจากการตามล่า ในตัวอย่างแรก Those Who Wish Me Dead

แองเจลิน่า โจลื่ เป็นนักดับเพลงสาวที่ต้องปกป่องเด็กชายจากการตามล่า ในตัวอย่างแรก Those Who Wish Me Dead

หลังจากที่เว้นช่วงจากการทำหนังใหญ่มานานถึง 2 ปี ในที่สุดปีนี้คอหนังแอคชั่น ทริลเลอร์ ก็กำลังจะได้พบกับผลงานใหม่ล่าสุดของ ไทเลอร์ เชอร์ริแดน ผู้กำกับ และมือเขียนบทมากฝีมือ เจ้าของผลงาน Wind River โดยในครั้งนี้เขาก็ได้กลับมาพร้อมกับสไตล์หนังที่คุ้นเคยกับเรื่อง Those Who Wish Me Dead

โดยหนังเรื่องนี้จะว่าด้วยเรื่องราวของ ฮันนาห์ (แองเจลิน่า โจลี่) นักดับเพลิงทางอากาศ ที่ต้องทุกข์ทรมานกับบาดแผลในใจ เมื่อภารกิจล่าสุดของเธอล้มเหลวม จนทำให้มีคนเสียชีวิต จนกระทั่งจู่ ๆ เธอก็ได้พบกับ เด็กชายวัย 12 ปีคนหนึ่ง ที่กำลังหลบหนีคนกลุ่มหนึ่ง ที่ตามล่าตัวเขา เมื่อเห็นดังนั้น ฮันนาห์ เลยต้องจับพลัดจับผลู ช่วยเหลือเด็กชายคนนี้ด้วยการใช้ทักษะการดับเพลิงที่เธอมี

Those Who Wish Me Dead เป็นผลงานที่ เชอร์ริแดน รับหน้าที่กำกับ และร่วมเขียนบทกับ ชาร์ลส เลวิตต์ (In The Heart of The Sea) และ ไมเคิล คอริตา โดยหนังเรื่องนี้ก็เป็นการดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อเดียวกัน ที่เขียนโดย คอริตา นั่นเอง

ส่วนนักแสดงนำทีมโดย แองเจลิน่า โจลี่ (Maleficent) ซึ่งถือว่าเป็นการกลับมาแสดงในหนังแอคชั่น ทริลเลอร์อีกครั้งในรอบ 10 ปีของเธอนับตั้งแต่ The Tourist เมื่อปี 2010 นอกจากนี้หนังยังสมทบด้วย จอห์น เบิร์นตอล (Wind River), นิโคลัส โฮลท์ (เจ้าของยท บีสท์ จากหนังชุด X-Men), เอแดน ทิลเลน (ซีรีส์ Game of Thrones) และ ไทเลอร์ เพอร์รี่ (Gone Girl)

สำหรับความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ คือการยังคงลายเซ็นของสไตล์ ไทเลอร์ เชอร์ริเดน ไว้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายของหนังตะวันตก การนำเสนอประเด็นหนังที่พูดถึงความรุนแรง อาชญากรรม ทั้ง Sicario ที่พูดถึงความรุนแรงในชายแดนเม็กซิโก, Wind River ที่สะท้อนความมืดหม่นของจิตใจคน ฯลฯ ซึ่งในเรื่องนี้ เชอร์ริแดน ก็ได้มีการเพิ่มเรื่องราวของมิตรภาพ การก้าวผ่านความเจ็บปวดของตัวละคร เข้าไปเป็นสีสันด้วย ผิดจากเรื่องก่อน ๆ ของเขาที่จะเน้นไปที่การเอาชีวิตรอด หรือเน้นไปที่การสืบสวน ไล่ล่าเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะการแสดงของ โจลี่ ที่จากตัวอย่างจะพบว่านี่เป็นอีกการแสดงของเธอที่ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมาได้ทรงพลังมาก

นอกจาก Those Who Wish Me Dead แล้ว ในช่วงสิ้นเดือนนี้ เชอร์ริแดน ก็ยังมีอีกหนึ่งผลงานหนังแอคชั่นสุดเดือดที่เขาได้ไปร่วมเขียนบทให้อย่าง Tom Clancy’s Without Remorse ที่นำแสดงโดย ไมเคิล บี จอร์แดน (Black Panther) ที่มีกำหนดฉาย 30 เมษายนนี้ที่ Amazon Prime ส่วน โจลี่ ก็กำลังจะมีผลงานการแสดงร่วมกับ Marvel Studios เป็นครั้งแรกกับ Eternals ที่มีกำหนดฉายในช่วงปลายปีนี้

Those Who Wish Me Dead จะมีกำหนดฉาย 6 พฤษภาคมนี้นี้ ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ : เว็บไซต์ Rotten Tomatoes, IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

The Woman in the Window หนังระทึกขวัญ จิตวิทยา ผลงานจากผู้กำกับ Darkest Hour เตรียมฉายบน Netflix 14 พฤษภาคมนี้

The Woman in the Window หนังระทึกขวัญ จิตวิทยา ผลงานจากผู้กำกับ Darkest Hour เตรียมฉายบน Netflix 14 พฤษภาคมนี้

อีกหนึ่งหนังที่ถูกผลกระทบจาก โควิด-19 และการที่ค่ายหาจังหวะที่ลงตัวไม่ได้ จนทำให้ถูกดอง และเลื่อนฉายจนลืม สำหรับ The Woman In The Window หนังระทึกขวัญที่เดิมเป็นของค่าย 20th Century Studio ที่ตอนนี้ได้ถูกสตรีมดังอย่าง Netflix ซื้อลิขสิทธิ์นำมาฉายเรียบร้อยแล้ว โดยล่าสุดทางสตรีมดังก็ได้ทำการประกาศวันฉายทางการของหนังเรื่องนี้ พร้อมปล่อยตัวอย่างใหม่มาให้ได้ชมกันแล้ว

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ แอนนา ฟอกซ์ (เอมี่ อดัมส์) หญิงสาวที่ป่วยเป็นโรคหวาดกลัวการเข้าสังคม จนทำให้เธอต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไร้เพื่อน ไร้สังคม จนกระทั่งเธอได้รู้จักกับ  เจน (จูลี่แอนน์ มัวร์) เพื่อนบ้านวัยกลางคนที่เธอดูเหมือนจะเข้าใจตัว แอนนา ทุกอย่าง จนวันหนึ่งเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ แอนนา ได้แอบดูบ้านของ เจนผ่านหน้าต่างและพบว่าเพื่อนบ้านหญิงของเธอ ได้ถูกสามี (แกรี่ โอลด์แมน) ทำการฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม

จากนั้น แอนนนา ก็ได้ทำการโทรแจ้งตำรวจ เพื่อดำเนินการเอาผิดสามีของ เจน แต่เธอกลับพบว่า เจนนั้นยังไม่ตาย และเธอกลับมีหน้าตาต่างจาก เจนที่แอนนา รู้จักก่อนหน้า ด้วยเหตุนี้ทำให้การแจ้งความของเธอฟังไม่ขึ้น ด้าน แอนนาที่เห็นแบบนั้นเธอก็ได้พยายามตามหาความจริงของเรื่องทั้งหมดว่ามันคือคดีฆาตดรรม หรือเป็นเพียงอาการตื่นตระหนกของเธอ

The Woman in the Window เป็นผลงานการกำกับของ โจ ไรท์ (Pride & Prejudice, Darkest Hour) และเขียนบทโดย เทรซี่ เลทซ์ ที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ เอ.เจ.ฟินน์ พร้อมได้นักแสดงสาวอย่าง เอมี่ อดัมส์ (Zack Snyder’s Justice League) ที่แปลงโฉมเพิ่มน้ำหนัก และปรับลุ้คให้ดูโทรม เหมือนว่าป่วยเป็นโรคไม่กล้าเข้าสังคมจริง ๆ นอกจากนี้ก็ยังร่วมสมทบด้วย จูลี่แอนน์ มัวร์ (Still Alice), แกรี่ โอลด์แมน (Darkest Hour), แอนโธนี่ แมคกี้ (ซีรีส์ The Falcon and the Winter Soldier) และไบรอัน ไทรี เฮนรี (Godzilla Vs. Kong)

ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือการผสมผสานระหว่างหนังสืบสวนสอบสวน และนักจิตวิทยาระทึกขวัญ ที่ให้อารมณ์ใกล้เคียงกับหนังคลาสสิกอย่าง Rear Window อีกหนึ่งผลงานอันโด่งดังของ อัลเฟร็ด ฮิตช์ค้อค ที่พูดถึงเรื่องราวของตากล้องที่ขาหัก และต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ โดยมีงานอดิเรกคือแอบส่องชีวิตเพื่อนบ้าน จนวันหนึ่งเขาได้พบว่าเพื่อนบ้านของเขาได้ทำการฆาตกรรมภรรยาของตน ซึ่งใน The Woman In The Window ก็ได้เล่นกับความสอดรู้สอดเห็นของตัวละคร และคนดู ผสมกับความเป็นจิตวิทยา ที่สับขาหลอกให้เราสงสัยว่าแท้จริงแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดคือเรื่องจริง หรือแค่จินตการของตัวละครแอนนา กันแน่ ทำให้พอคาดเดาได้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีตอนจบที่หักมุมคนดูได้ไม่มากก็น้อย

สำหรับ เอมี่ อดัมส์ และจูลี่แอนน์ มัวร์ ทั้งคู่กำลังจะมีผลงานการแสดงร่วมกันอีกเรื่องที่จะฉายในปีนี้คือเรื่อง Dear Evan Hansen หนังดราม่า มิวสิคคัล ผลงานการกำกับของ สตีเฟ่น ชาบอสกี้ (The Perks of Being a Wallflower, Wonder)

โดย The Woman in the Window จะมีกำหนดฉาย 14 พฤษภาคมนี้ทาง Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

เตรียมนับถอยหลังสู่คืนล้างบาปครั้งสุดท้าย ในตัวอย่างแรก The Forever Purge

เตรียมนับถอยหลังสู่คืนล้างบาปครั้งสุดท้าย ในตัวอย่างแรก The Forever Purge

ในที่สุดก็ปล่อยออกมาแล้ว สำหรับตัวอย่างแรก และใบปิดแรกอย่างเป็นการทางของ The Forever Purge หนังภาคที่ห้าของแฟรนไชส์ The Purge ที่ว่าด้วยคืนล้างบาปในตำนาน ซึ่งภาคนี้ก็ถูกวางตัวให้เป็นภาคสุดท้ายของหนังชุดนี่

โดยในภาคนี้หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ฮวน และอเดล่า สองคู่รักชาวเม็กซิกัน ที่ทำงานเป็นคนรับใช้ให้ครอบครัวมหาเศรษฐีครอบครัวหนึ่งในเท็กซัส เหตุการณ์ในเรื่องก็ได้เริ่มขึ้นหลังจากคืนล้างบาปครั้งล่าสุดได้สิ้นสุดลง แทนที่ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติ เรื่องไม่ปกติก็ได้เริ่มขึ้นเมื่อครอบครัวเศรษฐีที่ ฮวน และอเดล่ารับใช้นั้นได้ถูกลักพาตัวไปจากกลุ่มคนสวมหน้ากากปริศนา พร้อมทั้งได้มีการไล่ล่า เข่นฆ่าเหล่าคนรวย และคนต่างสัญชาติที่ไม่ใช่อเมริกัน ฮวน และอเดล่า เลยต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่าครั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ชุลมุน และเต็มไปด้วยการนองเลือด

The Forever Purge เป็นผลงานการกำกับของ เอเวอร์ราโด กุต (Days of Grace) เขียนบทโดย เจมส์ เดอโมนาโค มือเขียนบทขาประจำของหนังชุดนี้ พร้อมได้มือสร้างหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญแห่งยุคอย่าง เจสัน บรัมส์ จาก Blumhouse Productions มาร่วมอำนวยการสร้าง หนังนำแสดงโดย อนา เดอ ลา เรกูล่า  (ซีรีส์ Narcos), เทอโนช ฮูเอต้า (Days of Grace), วิล แพตตัน (Minari), จอช ลูคัส (Ford v Ferrari) และ โจชัว โดฟ (ซีรีส์ Narcos: Mexico)

ความน่าสนใจของ The Forever Purge คือการเลือกที่จะฉีกกรอบจากทุกภาคที่ผ่าน ๆ มา อย่างแรกคือหนังไม่ได้เล่นกับเรื่องราวการไล่ล่าในคืนล้างบาปอย่างเดียวเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นผู้คนแหกกฎสำคัญของคืนล้างบาป สู่การไล่ล่า เข่นฆ่าในช่วงกลางวัน นอกจากนี้หนังยังเลือกเปลี่ยนการเล่าเรื่องจากในเมือง เป็นเขตชายแดน อเมริกา และเม็กซิโก ที่ให้บรรยาแบบตะวันตก และมีกลิ่นอายของหนังคาวบอยค่อนข้างสูง ทำให้ภาคนี้นอกจากที่เราจะได้เห็นฉากไล่ล่า เอาชีวิตรอดสุดระทึกแล้ว เรายังจะได้เห็นฉากแอคชั่น ดวลปืนเท่ ๆ แบบหนังคาวบอยอีกด้วย

สำหรับ The Purge เป็นหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญ ภายใต้การสร้างของ Universal และ Blumhouse Productions โดยจะว่าด้วยอเมริกา ที่ทางรัฐบาลได้เกิดไอเดียที่จะลดการเกิดอาชญากรรม โดยให้มี 1 คืนในทุกปีจะเป็นคืนล้างบาป ที่จะปล่อยให้ผู้คนสามารถก่ออาชญากรรมใด ๆ ก็ได้ และจะไม่ถูกตำรวจจับ รวมถึงสถานพยาบาลก็จะปิดการรับรักษาภายในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งหนังก็มีมาแล้วทั้งหมด 4 ภาค ซึ่งแต่ละภาคก็จะมีลูกเล่นการเล่าเรื่องแตกต่างกันไป นอกจากนี้ The Purge ก็ยังมีเวอร์ชั่นซีรีส์อีก 2 ซีซั่น ที่จะให้ความสนุก ความระทึกคนละแบบกับเวอร์ชั่นหนัง สำหรับใครที่สนใจสามารถเข้าไปรับชมได้ที่ Amazon Prime โดยซีรีส์มีซับไทยให้เรียบร้อย

ส่วน The Forever Purge จะมีกำหนดฉายในไทย 1 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

Cr. ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/pidJR84oIIg

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

อัศวินรัตติกาลเตรียมออกมไล่ล่าเหล่าวายร้ายในเมืองก็อทแธม ในตัวอย่างล่าสุด The Batman

The Batman

หลังจากที่ปล่อยตัวอย่างแรกในงาน DC Fandome เมื่อปีที่แล้ว จนล่าสุดในงานเดียวกันของปีนี้ ล่าสุดเราก็ได้เห็นตัวอย่างที่ 2 ที่เป็น Main Trailer ของ The Batman หนังฮีโร่สุดดาร์คเรื่องล่าสุดจาก DC ที่กำลังจะมีกำหนดฉายในช่วงต้นปีหน้านี้

โดยหนังยังไม่มีการเผยเรื่องย่อออกมาอย่างเป็นทางการ แต่จากในตัวอย่างคาดว่าหนังจะพูดถึงเรื่องราวของเมืองก็อทแธม ที่ได้ถูกคุกคามจากสองวายร้าย คือ ริดเลอร์ (พอล ดาโน่) และเพนกวิ้น (โคลิน ฟาเรลล์) ทำให้ บรู๊ซ เวยน์ หรือ แบทแมน (โรเบิร์ท แพททินสัน) ต้องรับมือกับเหล่าผู้ร้าย ร่วมกับ แคทวูแมน (โซอี้ คราวิตช์) เพื่อปกป้องเมืองนี้ ให้กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง

ความน่าสนใจของ The Batman คือการที่ DC กลับมาสร้างหนังโทนดาร์ค แนวอาชญากรรมเต็มตัวอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อปี 2019 ได้มีผลงานอย่าง Joker ของ ท็อดด์ ฟิลลิปส์ ซึ่งในตัวอย่างนี้ก็ได้มีการเผยฟุตเทจใหม่ ๆ ที่ไม่มีในตัวอย่างแรก ซึ่งเราจะได้เห็นโฉมหน้าเต็ม ๆ ของ แบทแมน, แคทวูแมน, อัลเฟร็ด และ เพนกวิ้น ซึ่งในด้านฉากแอคชั่น ที่เผยให้เห็นก็ทำออกมาได้เท่ ดุดัน ชวนให้นึกถึง The Dark Knight Trilogy ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน

หนังเป็นผลงานการกำกับของ แมทท์ รีฟส์ (War for the Planet of the Apes) ที่เขาได้ร่วมเขียนบทกับ ปีเตอร์ เครก (Bad Boys for Life) ซึ่งบทหนังเรื่องนี้ รีฟส์ ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากคอมิค Batman Year One ที่เขียนโดย แฟรงก์ มิลเลอร์ โดยจะเป็นการเล่าเรื่องของแบทแมนในวัยหนุ่ม นำแสดงโดย โรเบิร์ต แพททินสัน (Tenet), โซอี้ คราวิตช์ (ซีรีส์ Big Little Lies), พอล ดาโน่ (12 Years a Slave), โคลิน ฟาเรลล์ (Voyagers), เจฟฟรี่ย์ ไรท์ (No Time To Die) และ แอนดี้ เซอร์คิส (Black Panther)

ซึ่งนอกจากตัวอย่างใหม่ The Batman แล้ว ในงาน DC Fandome ก็ยังได้ปล่อยตัวอย่าง และอัปเดทข่าววงการหนัง และเกมที่สร้างจากคอมิคของ DC ที่น่าสนใจเตรียมปล่อยเร็ว ๆ นี้อีกเพียบไม่ว่าจะเป็นการประกาศสร้างหนัง Wonder Woman 3 ที่กำลังอยู่ในระหว่างพัฒนา, การเผยภาพ และคลิปเบื้องหลังจากหนัง Aquaman 2 และ Shazam!: Fury of the Gods ที่เตรียมฉายในปี 2023 และคลิปทีเซอร์จากหนัง The Flash และ Black Adam รวมถึงซีรีส์ Peacemaker ที่มีกำหนดฉายในปี 2022 นี้

โดย The Batman จะมีกำหนดฉายในไทย 3 มีนาคม 2022 นี้ ในโรงภาพยนตร์

Cr. ภาพ: DC Fandome

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

โปรเจกต์หนัง The Flash เผยคลิปโลโก้แรกอย่างเป็นทางการ

โปรเจกต์หนัง The Flash เผยคลิปโลโก้แรกอย่างเป็นทางการ

หลังจากที่โปรเจกต์ถูกปล่อยลอยแพอยู่มานานหลายปี จนเมื่อปีที่แล้วได้มีการปล่อยข่าวดีให้ได้ลุ้น ทั้งผํกำกับ และทีมนักแสดง ในที่สุดโปรเจกต์หนังเดี่ยว The Flash ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว เพราะเมื่อไม่นานมานี้ทางค่าย Warner Bros. ได้ทำการเผยคลิปโลโก้แรกจากหนังเรื่องนี้ พร้อมประกาศว่าหนังได้ทำการเปิดกล้องถ่ายทำเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา

โดยโปรเจกต์ The Flash จะเป็นหนังจากจักรวาล DCEU (DC Extended Universe) ซึ่งจะเป็นหนังที่จะเชื่อมโยงจักรวาล DC ของ Zack Snyder’s Justice League โดยจะได้ เอสร่า มิลเลอร์ กลับมารับบท บิลลี่ อัลเลน หรือ เดอะ แฟลช อีกครั้ง ส่วนเนื้อหายังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ที่รู้แน่ชัดคือหนังน่าจะมีการพูดถึงจักรวาลคู่ขนานเพราะในครั้งนี้เราจะได้เห็นแบทแมนถึงสองเวอร์ชั่นด้วยกันคือ แบทแมน ที่แสดงโดย เบน เอฟเฟล็ก และแบทแทน ที่แสดงโดย ไมเคิล คีตัน ที่มาจากหนัง Batman ที่กำกับโดย ทิม เบอร์ตัน เมื่อปี 1989 และปี 1992

ตัวหนังจะได้ แอนดี้ มุชเชติ จาก It ทั้งสองภาค มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้ คริสติน่า ฮอดสัน มือเขียนบทจาก Birds of Prey มาร่วมเขียนบทให้ และนอกจาก เบน เอฟเฟล็ก และไมเคิล คีตัน ที่จะมาร่วมแสดงแล้ว หนังยังได้ทีมนักแสดงสมทบไม่ส่าจะเป็น เคียร์ซี่ย์ เคิลมอนส์ (Dope), รอน ลิวิงตัน (The Conjuring) และ มาริเบล เวอร์ดู (Pan’s Labyrinn)

สำหรับความน่าสนใจของ The Flash คือข่าวที่เผยมาจากทีมผู้สร้างหนัง DC ก่อนหน้านี้ที่มีการประกาศว่าหนังในจักรวาล DCEU นั้นจะมีทั้งหมด 2 Earth หรือสองโลกคู่ขนาน โดย Earth 1 จะเป็นจักรวาลของ Wonder Woman 1984 รวมถึงหนัง Justice League ของ แซค สไนเดอร์ ส่วน Earth 2 จะเป็นของ The Batman หรือแบทแมนฉบับของ โรเบิร์ท แพททินสัน ที่เตรียมเข้าฉายปี 2022 ส่วน The Flash นั้นจะเป็นการเชื่อมโยงจักรวาลหนัง DC เข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก และนั่นอาจทำให้เราได้เห็นเซอร์ไพรส์อีกเพียบในหนังเรื่องนี้ หรือหนังเรื่องต่อ ๆ ไปของ DC ก็เป็นได้

สำหรับปีนี้จะยังมีอีกหนึ่งหนังฟอร์มยักษ์จาก DC มาให้ได้ชมกันคือ The Suicide Squad หนังรวมทีมวายร้าย ที่รวมนักแสดงไว้แบบคับจอ ที่กำกับโดย เจมส์ กันน์ เตรียมเข้าฉายสิงหาคมปีนี้ และในปี 2022 ก็จะมีอีกถึง 3 เรื่องได้แก่ The Batman ที่วางกำหนดฉาย 4 มีนาคม  Black Adam ที่วางกำหนดฉายเดือน กรกฎาคม และ The Flash ที่วางกำหนดฉายเดือน พฤศจิกายน

Cr. ภาพ : เว็บไซต์ IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Guardians of the Galaxy Holiday Special

รีวิวหนัง The Guardians of the Galaxy Holiday Special

หนังขนาดสั้นส่งท้ายปีจาก MCU Phase 4 โดยเป็นการปูเรื่องราวของ The Guardians of the Galaxy Vol.3 ที่จะเป็นภาคบทสรุปของแก๊งพิทักษ์จักรวาล ที่ได้มือกำกับขาประจำอย่าง เจมส์ กัน กลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้ง โดยครั้งนี้ก็ได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง เควิน เบคอน (Footloose) มาร่วมเสริมทัพ ด้วยการรับบทเป็นตัวเอง

เรื่องราวของ The Guardians of the Galaxy Holiday Special จะว่าด้วยเหตุการณ์ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ของเหล่าแก๊งพิทักษ์จักรวาลซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความทรงจำของ สตาร์ลอร์ด (คริส แพรต) ในขณะที่ด้าน แดรกซ์ (เดฟ บาทิสต้า) และ เมนทิส (พอม คลีเมนทิส) ได้เกิดไอเดียที่จะทำเซอร์ไพรส์ให้กับสตาร์ลอร์ด ด้วยการพา เควิน เบค่อน ดาราในดวงใจของเขา มายังดาวที่พวกเขาอาศัยอยู่ แต่ภารกิจนี้ก็ได้นำมาสู่เรื่องวายป่วงบนโลกมากมาย

แม้ว่าจะเป็นคอนเทนต์ขนาดสั้น แต่ The Guardians of the Galaxy Holiday Special คืองานที่ยังคงสไตล์ความเป็น เจมส์ กัน ไว้ได้อย่างครบถ้วน ที่เรียกได้ว่าคุณภาพไม่ได้ลดลงจากมาตรฐานของหนังสองภาคก่อนหน้าเลย หนังสามารถเลือกหยิบคาแรคเตอร์ของตัวละครเก่า ๆ กลับมาต่อยอดอีกครั้ง พร้อมผสมผสานบรรยากาศของความเป็นหนังคริสต์มาส ที่อบอวลไปด้วยเทศกาลแห่งความสุข ละมุนหัวใจ

แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคอนเทนต์ที่เน้นฉากแอ็คชั่น หรือฉากอลังการเหมือนหนัง Marvel เรื่องอื่น ๆ แต่เนื้อหาของหนังกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่สนุก ชวนให้อยากติดตามในตลอด 40 นาทีของเรื่อง เจมส์ กัน ยังสามารถเล่นมุกตลกกับความเป็นทีมสุดเกรียนของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งความวายป่วง การล้อเลียนกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นลายเซ็นของ เจมส์ กัน ที่ทุกคนคุ้นเคย ที่ในเรื่องนี้ก็ยังนำเสนอแบบไม่มีกั้ก

นอกจากพาร์ทคอเมดี้ที่เล่าออกมาได้อย่างดีเยี่ยมมาก ๆ แล้ว อีกหนึ่งส่วนที่ The Guardians of the Galaxy Holiday Special ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน คือการนำเสนอพาร์ทดราม่า ที่เป็นส่วมเสริมปิดท้ายของเรื่องได้อย่างดีงาม หนังสามารถหยิบอีสเตอร์เอ้กจากภาค 1 และ 2 มาต่อยอด และใช้คาแรคเตอร์ของ สตาร์ลอร์ด มาต่อยอดประเด็นต่าง ๆ ซึ่งจะกลายเป็นเนื้อหาที่จะมีบทบาทสำคัญในหนังภาค 3 ที่กำลังจะเข้าฉายในเร็ว ๆ นี้ 

การแสดงในเรื่องนี้ ต้องขอชื่นชมเคมีของ เดฟ บาทิสต้า และ พอม คลีเมนทิส ที่แทบจะเป็นสิ่งที่แบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้อย่างดี ด้วยการยิงมุก ตบมุกที่เข้าขากันได้ลงตัว ด้าน เควิน เบค่อน ก็สามารถมาร่วมสร้างสีส้นให้กับหนังได้ไม่น้อย ด้วยการเล่นเป็นตัวเอง ที่แทบจะไม่ต้องแอคติ้งจนเกินจริงแต่อย่างใด

โดยรวม The Guardians of the Galaxy Holiday Special เป็นหนังสั้นบรรยากาศสุดชิลล์จาก Marvel ที่นอกจากอบอวลไปด้วยเทศกาลแห่งความสุขแล้ว หนังยังเปี่ยมด้วยมุกตลกสุดเกรียนสไตล์ เจมส์ กัน แถมยังเป็นหนังที่ปูเนื้อหาสู่ภาคบทสรุปได้อย่างชาญฉลาด นับว่าเป็นงานส่งท้ายปี 2022 ที่แฟนหนัง Marvel ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Guardians of the Galaxy Holiday Special ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Bullet Train งานแอ็คชั่นรวมดารา สุดวายป่วงแห่งปี แม้จะสูตรสำเร็จไปบ้าง แต่ก็เป็น 2 ชั่วโมงที่มันส์ ระทึกใจ เคล้าด้วยมุกตลกที่ชวนขำ และเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์คอหนังตลอดทั้งเรื่อง 

รีวิวหนัง Bullet Train งานแอ็คชั่นรวมดารา สุดวายป่วงแห่งปี

Bullet Train เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ รวมดาราแห่งปี 2022 ผลงานการกำกับโดยมือสร้างหนังแอ็คชั่นแห่งยุคอย่าง เดวิด ไลตซ์ (Hobbs & Shaw) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ โคทาโร อิซากะ พร้อมได้ แบรด พิตต์ (The Lost City) มาแสดงนำสมทบด้วยทีมนักแสดงมากฝีมือไม่ว่าจะเป็น แอร่อน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (Tenet), ไบรอัน ไทรี เฮนรี (The Eternals), ไมเคิล แชนนอน (Man of Steel) และ ฮิโรยูกิ ซานาดะ (John Wick 4)

เรื่องราวของ Bullet Train จะว่าด้วยเรื่องราวของ เลดี้ บั๊ค (แบรด พิตต์) นักฆ่าผู้ดวงซวย ที่เกือบตลอดชีวิตมือสังหารของเขา มักจะเต็มไปด้วยความโชคร้าย แต่เขาก็สามารถเอาชีวิตรอดมาได้ จนกระทั่งในภารกิจล่าสุดของเขาที่เหมือนจะเป็นงานง่าย ๆ อย่างการขโมยกระเป๋าบนรถไฟชินกันเซน แต่ทว่าภารกิจนี้กลับโหดหินกว่าที่คิด เมื่อบนรถไฟขบวนดังกล่าวเต็มไปด้วยมือสังหารที่ต่างมีเป้าหมายที่แตกต่างกันไป แต่มีจุดเชื่อมโยงเดียวกันคือนักฆ่าในตำนานนาม มัจจุราจสีขาว (ไมเคิล แชนนอน)

หนังมาพร้อมพลอตตามสูตรสำเร็จของหนังแอ็คชั่นพื้นที่ปิด แนวเดียวกับ Non-Stop (2014) แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือความคอเมดี้ ที่เป็นลายเซ็นของ เดวิด ไลตซ์ นอกจากการเล่าเรื่องแบบจำกัดพื้นที่แล้ว หนังยังใช้คาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละครมากมายในเรื่องมาเชื่อมโยงเหตุการณ์ได้อย่างมีชั่นเชิง แต่ละตัวละครต่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน และเมื่อมาอยู่ร่วมกัน คือความวายป่วง ที่เป็นขุดขายหลักของหนังเรื่องนี้

ด้านฉากแอ็คชั่น หนังสามารถถ่ายทอดออกมาได้ยอดเยี่ยม สมกับที่เป็นงานของ ไลตซ์ หนังไม่ได้มีแค่ฉากดวลปืน หรือการต่อสู้แบบมือเปล่า แต่หนังยังยกระดับฉากต่อสู้ด้วยการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในฉากมาใช้เป็นอาวุธ ชวนให้นึกถึง John Wick ไม่น้อย พร้อมทั้งความโหด ดิบ ที่เต็มไปด้วยเลือดสาดเกือบตลอดทั้งเรื่อง

อีกหนึ่งจุดขายคือบทหนัง ที่แม้ว่าหนังจะมีการสร้างตัวละครที่มีมิติแบนราบไปหน่อย แต่ว่าการสร้างความขัดแย้ง การเชื่อมโยงเรื่องราวของตัวละครของหนังกลับสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้คาแรคเตอร์ของแต่ละตัวก็มีเสน่ห์ และมุกตลกเฉพาะตัว ที่เมื่อพวกเขา และเธอเหล่านั้นเข้าฉากด้วยกันสามารถสร้างเสียงหัวเราะให้คนดูได้เป็นระยะ

การแสดงของทีมนักแสดงนำ เรียกได้ว่าเป็นอีกไฮไลท์ของหนัง ไม่ว่าจะเป็น แบรด พิตต์ ที่สามารถเล่นบทกระเอกได้ปั่น และมีมาดกวน ที่ชวนให้คนดูอยากเอาใจช่วยตลอดทั้งเรื่อง ด้าน แอร่อน เทย์เลอร์-จอห์นสัน และ ไบรอัน ไทรี เฮนรี ก็ถือว่าเป็นบทคู่หูนักฆ่า ที่ขโมยซีนคนดูได้ดีไม่แพ้กัน แต่ที่ถือว่าเป็นทีเด็ดของเรื่องคือ ฮิโรยูกิ ซานาดะ ที่แม้จะบทไม่เยอะ แต่การปรากฏตัวของเขาก็ทรงพลัง และน่าจดจำมาก ๆ

โดยรวม Bullet Train นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่นแห่งปี 2022 ที่อัดแน่นด้วยความบันเทิงแบบครบรส ทั้งฉากบู๊ที่ทั้งโหด ทั้งมันส์ ทีมนักแสดงที่ต่างประชันบทบาทกันได้ถึงอารมณ์ และมุกตลกที่จัดเต็มตั้งแต่ต้นจนจบ นับว่าเป็นงานที่คอหนังบู๊ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Bullet Train ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Richard Jewell งานดราม่าเนื้อหาเข้มข้นจากคลินต์

รีวิวหนัง Richard Jewell งานดราม่าเนื้อหาเข้มข้นจากคลินต์

อีกหนึ่งผลงานการกำกับของ คลินต์ อีสต์วู้ด (Captain Phillips) จากเมื่อปี 2019 ที่ครั้งนี้เป็นการหยิบอีกหนึ่งเหตุการณ์จริงมานำเสนออีกครั้ง กับเรื่องราวของข้อกล่าวหาสุดอื้อฉาวเมื่อปี 1996 เมื่อ ริชาร์ด จูวล์ (พอลล์ วอเตอร์ เฮาส์เตอร์) หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผู้ตั้งใจ แน่วแน่ในการทำหน้าที่ของตนเอง ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่คืนหนึ่งของงานแอตแลนตา โอลิมปิก แต่ทว่าในระหว่างที่เขาทำหน้าที่อยู่นั้น ริชาร์ด ก็ดันพบกระเป๋าปริศนาใบหนึ่ง ที่เขาเกิดสงสัยว่ามันอาจจะเป็นระเบิด ริชาร์ดเลยแจ้งเจ้าหน้าที่กูระเบิดมาดูแล และในคืนนั้นก็ได้เกิดระเบิดจริงโดย ริชาร์ดได้เป็นฮีโร่ที่ช่วยผู้คนจากเหตุดังกล่าว

แต่ทว่าวินาทีการเป็นฮีโร่ของ ริชาร์ด กลับสั้นนัก เมื่อจู่ ๆ เขาได้ถูกทางเจ้าหน้าที่ FBI สงสัยว่าแท้จริงเขานั้นคือมือระเบิดตัวจริง จนนามาสู่การสอบปากคำ และการเค้นความจริงที่ไม่ชอบธรรมของเจ้าหน้าที่ จนทำให้ ริชาร์ดต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจาก วัตสัน ไบรอัน (แซม ร็อคเวล) ทนายความที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของเขา พวกเขาต้องหาทางพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตัวเอง และผ่านพ้นเรื่องนี้ไปให้ได้

Richard Jewell อาจไม่ได้เป็นงานที่สร้างจากเรื่องจริงของ คลินต์ อีสต์วู้ด ที่หวือหวานักหากเทียบกับงานก่อน ๆ ของเขา ที่มีทั้งฉากแอคชั่น และความน่าสะเทือนใจ แต่สำหรับในหนังเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเป็นงานขายดราม่าเพียว ๆ ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยประเด็นที่น่าสนใจ และหนักหน่วงแล้ว ตัวบทหนังยังถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนหลายฉากสามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด

หนังพาเราไปสำรวจชีวิตของ ริชาร์ด จูวล์ เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุไม่นาน และการพาเราไปตามติดชีวิตของเขาในช่วงที่ถูกใส่ความอย่างละเอียดลออ คนดูจะได้เห็น จูวล์ ในแง่ของคน ๆ หนึ่งที่อ่อนต่อโลก และยึดมั่นในความยุติธรรม ความซื่อ ๆ และตรงไปตรงมาของ จูวล์ คือเสน่ห์สำคัญที่ทำให้คนดูรู้สึกรักในตัวละครนี้ และอยากเอาใจช่วยเขาไปตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ในขณะเดียวกันหนังก็ได้สะท้อนภาพของ FBI รวมถึงสื่อที่เป็นเหมือนตัวร้ายหลักของเรื่อง ที่เกิดจากเพราะความไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ของตนเอง

ด้วยความที่หนังพูดถึงประเด็นของคนธรรมดา ที่วันหนึ่งถูกคนที่มีอำนาจในด้านกระบวนการยุติธรรมใช้กฎหมายรังแก ความสนุกของหนังเรื่องนี้คือการต่อสู้ของคนธรรมดา และคนที่มีอำนาจ ที่มันมีความตรงไปตรงมา และน่าติดตาม โดยตลอดเรื่องหนังจะเต็มไปด้วยบทสนทนาที่สร้างความสะเทือนอารมณ์คนดูไม่น้อย โดยเฉพาะบทพูดที่ว่าด้วยการพิสูจน์ความบริสุทธ์ของ ริชาร์ด ที่มันได้บีบอารมณ์คนดู และสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างยอดเยี่ยม

อีกหนึ่งในส่วนที่น่าชื่นชมมาก ๆ ของหนังคือการแสดงของทีมนักแสดงนำ และนักแสดงสมทบที่ต่างถ่ายทอดบทบาทของตนเองออกมาได้อย่างสมจริง เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในด้านเคมีการแสดงของ พอลล์ วอเตอร์ เฮาส์เตอร์ และแซม ร็อคเวล ในฐานะคู่หูที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคของการกล่าวหานี้ ซึ่งทั้งคู่ก็มีเคมีการแสดงที่เข้ากันจนเอดประทับใจในมิตรภาพจริง ๆ ของ จูวล์ และวัตสันไม่ได้ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของ จูวล์ และแม่ (เคที่ เบตส์) ที่ถ่ายทอดความสัมพันธ์แม่ลูกออกมาได้ชวนน้ำตาไหลในหลาย ๆ ฉาก การแสดงของ เคที่ เบตส์ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่น่าจดจำ และทรงพลังมาก ๆ ของหนังเรื่องนี้ไม่แพ้กัน

โดยรวม Richard Jewell นับว่าเป็นงานดราม่า ที่สร้างจากเรื่องจริงของ คลินต์ อีสต์วู้ด ที่ยังรักษามาตรฐานเอาไว้ได้เป็นอย่างดี หนังมีครบทุกอรรถรสทั้ง ระทึกขวัญ อาชญากรรม และดราม่า ที่มาพร้อมเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ชวนติดตาม โดบเฉพาะการเล่นประเด็นของการใช้อำนาจกฎหมายในทางที่ผิด น่าจะเป็นประเด็นที่เข้าถึงกับหลาย ๆ คนได้เป็นอย่างดี ใครที่ชอบงานดราม่าน้ำดี นี่คืออีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Richard Jewell ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes, IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Scream งานคืนฟอร์มที่น่าจดจำอีกครั้งของหนัง

รีวิวหนัง Scream งานคืนฟอร์มที่น่าจดจำอีกครั้งของหนัง

การกลับมาอีกครั้งในรอบ 10 ปีของหนังไล่เชือดสุดโด่งดังแห่งยุค 90 ที่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเป็นภาคที่ 5 ของหนังชุดนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการนำเสนอหนังชุดนี้ผ่านตัวละครชุดใหม่ โดยหนังได้ตัว แมท แบตติเนลลิ-ออร์ฟิน และ ไทเลอร์ กิลเลต สองผู้กำกับจาก Ready or Not มารับหน้าที่กำกัแทนผู้กำกับผู้ล่วงลับ เวส คราเวน ที่อยู่คู่หนังเรื่องนี้มาตลอด 4 ภาค

ใน Scream ภาคล่าสุดนี้หนังจะพาคนดูกลับไปยังเมืองวู้ดเบอร์รี่ อีกครั้ง เมื่อฆาตกรหน้ากากผี หรือ Ghost Face ได้กลับมาอาละวาดอีกครั้ง โดยครั้งนี้มันมุ่งจะเล่นงานไปยัง แซม (เมลิสซ่า เบอร์เรร่า) และทาร่า (จีนน่า ออเทก้า) สองพี่น้องที่มีความลับบางอย่างเกี่ยวกับการการฆาตกรรมในหนังภาคแรก เพื่อหาทางหยุดยั้งการฆาตกรรมครั้งต่อไป และหาตัวจริงของฆาตกร ทำให้ผู่รอดชีวิตก่อนหน้านี้อย่าง ซิดนีย์ (เนฟ แคมป์เบล), เกล (คอร์ทนีย์ ค้อก) และ ดิวอี้ (เดวิด อาร์เควด) ต้องกลับมาร่วมไล่ล่าหาตัวฆาตกรอีกครั้ง

Scream เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งการกลับมาของหนังสยองขวัญ ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย และยังสามารถส่งต่อความสยองจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับที่ Halloween ทำไว้ได้ก่อนหน้านี้ โดยหนังได้พาตัวเองย้อนกลับไปสู่ภาคแรกอีกครั้ง ผ่านตัวละคร และช่วงเวลาใหม่

ตัวหนังยังคงสไตล์เดิมของ Scream ทั้ง 4 ภาคก่อน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของฆาตกร ที่ยังคงใช้อาวุธดั้งเดิมอย่างมีดสั้น และมีวิธีการลงมือที่ตามสูตรต้นฉบับทั้งการแปลงเสียง การโทรศัพท์ถึงเหยื่อก่อนลงมือ นอกจากนี้หนังยังคงอ้างอิงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Scream ทุกภาคตั้งแต่การล้อเลียนตัวเองในหนังเรื่อง “Stab” รวมถึงการแซะถึงวงการฮอลีวูด และหนังสยองขวัญยุคใหม่ ที่หากใครเป็นเนิร์ดหนังสยองขวัญ หรือหนังแฟรนไชส์ ก็จะยังสนุกไปกับบทสนทนาเชิงล้อเลียนจากหนังเรื่องนี้ ที่ทำออกมาได้ดุเด็ดเผ็ดมันส์ไม่แพ้ภาคก่อน ๆ

ในด้านความสยอง Scream ภาคนี้เรียกได้ว่าโหด เลือดสาดกว่าภาคก่อน ๆ หนังมีการนำเสนอฉากการฆ่าที่สมจริง ในขณะเดียวกันตัว Ghost Face ในภาคนี้ก็โหดเหี้ยม และบ้าคลั่งแบบสุด ๆ เช่นกัน ซึ่งหนังยังสามารถนำเสนอความน่ากลัวผ่านการใช้จิตวิทยาสับขาหลอกคนดูได้อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งการเล่นกับฉากตุ้งแช่ การเล่นกับความฉงนสงสัยของคนดู ที่ยากจะเดาได้ว่าคนร้ายตัวจริงนั้นคือใคร

อย่างไรก็ตาม Scream ก็ยังคงมีข้อด้อย ในความซ้ำซากจำเจบางอย่างของหนังแนว Slasher ทั้งคาแรคเตอร์ของนางเอก ที่ยังคงมาแนวหญิงสาวที่มีความอ่อนต่อโลก และค่อนข้างจะเป็นบทนางเอกสูตรสำเร็จที่เราเดาการกระทำได้ตลอด รวมทั้งการใช้จังหวะการหลอกซ้ำ ๆ บ่อยเกินไปจนบางครั้งมันก็หลอกคนดูไม่ได้ผล

โดยรวม Scream คืองานคืนฟอร์มที่น่าจดจำอีกครั้งของหนัง Slasher หนังยังคงสามารถนำสไตล์การเล่าของภาค 1 กลับมาใช้อีกครั้ง ได้อย่างมีชั้นเชิง และยังคงเป็นหนังที่นำหน้าคนดูได้เสมอ ใครที่โตมากับหนังชุดนี้ นี่คืออีกหนึ่งภาคที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Scream ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง