รีวิวหนัง Bones And All หนังโรแมนติก

รีวิวหนัง Bones And All หนังโรแมนติก

ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับสายอินดี้ คุณภาพอย่าง ลูก้า กัวดานีโน่ (Call Me By Your Name) ที่ครั้งนี้เขาได้หยิบนิยายของ คามิล เดอแองเจลิส มาดัดแปลง พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง ทีโมที ชาลาเมซ (Dune) มารับบทนำ ร่วมกับนักแสดงหน้าใหม่อย่าง เทย์เลอร์ รัสเซล (Waves)

Bones And All จะว่าด้วยเรื่องราวของ มาเรน (เทย์เลอร์ รัสเซล) หญิงสาวที่มีด้านมืดคือเธอนั้นชื่นชอบการกินเนื้อมนุษย์ จนบางครั้งเธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้ท้ายที่สุดพ่อแท้ ๆ ของเธอก็ต้องทิ้งเธอไป และทำให้เธอเองกลายเป็นคนที่ระหกระเหเร่ร่อน โดยจุดหมายของเธอคือการเดินทางไปตามแต่ละรัฐของอเมริกา เพื่อตามหาแม่ของเธอ ระหว่างทางเธอก็ได้พบกับ ลี (ทีโมที ชาร์ลาเมซ) ชายหนุ่มที่มีรสนิยมการกินเนื้อมนุษย์แบบเดียวกับเธอ จนทั้งสองก็ได้ร่วมเดินทาง และก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ ที่มีทั้งความอบอุ่น ปนความสยอง

ตัวหนังมาพร้อมการเล่าเรื่องที่ผสมผสานความเป็นหนังดราม่า โร้ดทริป โรแมนติก และสยองขวัญ ที่รวมกันได้อย่างลงตัว หนังพาคนดูไปสำรวจชีวิตของึคนชายขอบ ที่ในเรื่องนี้คือกลุ่มคนทีหลงไหลการกินเนื้อคน ที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้มีความแตกแยก และต้องหลบซ่อนตัวเองจากสังคม Bones And All เลยเป็นหนังที่มาพร้อมบรรยากาศที่เปลี่ยวเหงาของเหล่าตัวละครในเรื่อง

การดำเนินเรื่องของ Bones And All จะยังคงมาในรูปแบบ Slow Burn ที่ค่อย ๆ เล่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการพาคนดูไปร่วมเดินทางกับตัวละคร พร้อมค่อย ๆ สำรวจความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ในระหว่างทางนี้ก็จะมีการสอดแทรกประเด็นความรัก การค้นหาตัวตน มิตรภาพ รวมถึงความสยดสยองจากการกินเนื้อคนให้คนดูได้ลุ้นระทึกเป็นระยะ ๆ

พาร์ทสยองขวัญของเรื่องเรียกได้ว่าทำออกมาได้สุดสมกับการเป็นหนังว่าด้วยคนกินคน แม้ว่าหนังจะไม่ได้มีฉากการกินคนที่เห็นแบบจะ ๆ หรือการตายที่สยดสยอง แต่ด้วยเลือดจำนวนมากที่มีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง พร้อมทั้งเนื้อหา และบรรยากาศต่าง ๆ ที่หนังสร้างมาได้อย่างดี ทำให้เกือบตลอดทั้งเรื่องหนังสามารถสร้างความขนลุก ขนพองสยองเกล้าให้กับคนดูได้

ด้านการแสดง ในเรื่องนี้หนังยังได้ ทีโมที ชาลาเมซ มาเป็นทีเด็ด ด้วยการแสดงที่สะกดคนดูได้อย่างอยู่หมัด ในเรื่องนี้เขายังคงถ่ายทอดบทอารมณ์ออกมาได้ทรงพลังพอ ๆ กับการแสดงในเรื่อง Call Me By Your Name นอกจากนี้บทสยองในเรื่องนี้เขาก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่ากลัว และมีความน่าจดจำมาก ๆ ด้าน เทย์เลอร์ รัสเซล เองก็สามารถส่งอารมณ์ร่วมกับ ชาลาเมซ และเป็นอีกส่วนที่แบกหนังไว้ได้ดีไม่แพ้กัน

โดยรวม Bones And All เป็นอีกหนึ่งงานจาก ลูก้า กัวดานีโน่ ที่ยังคงมาตรฐานไว้ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานระหว่าง ดราม่า และความสยองขวัญ ที่ทำได้อย่างลงตัว สามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่เปลี่ยวเหงาของคนชายขอบอย่างคนกินคน ออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ จนกลายเป็นหนังรักรสชาติแปลกที่ทั้งซึ้ง ทั้งสยอง ในเวลาเดียวกัน

สามารถรับชม Bones And All ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง ปฏิบัติการณ์กู้หวย หนังคอเมดี้ อาชญากรรม

รีวิวหนัง ปฏืบัติการณ์กู้หวย หนังคอเมดี้ อาชญากรรม

ผลงานหนัง Original Netflix ไทย เรื่องล่าสุดที่ได้ผู้กำกับอารมณ์ดี พฤกษ์ เอมะรุจิ เจ้าของผลงาน ไบค์แมน และอีเรียมซิ่ง มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้ทีมนักแสดงดังมารวมตัวไว้แบบคับจอ นำทีมโดย สกาย วงศ์รวี นทีธร, มินนี่ ภัณฑิรา พิพิธยากร, แพท ณปภา ตันตระกูล, แจ๊ส ชวนชื่น, สมจิตร จงจอหอ และ ปาน ธนพร แวกประยูร

เนื้อหาของ ปฏิบัติการณ์กู้หวย จะว่าด้วยเรื่องราวของ เต (สกาย วงศ์รวี) เด็กหนุ่มที่ทำงานเป็นคนขายลอตเตอรี่ ที่วันหนึ่งชีวิตได้เล่นตลกเมื่อแผงของเขาได้มีหวยที่ถูกรางวัลที่หนึ่งอยู่ แต่ทว่าหวยชุดนั้นดันถูกเจ้าหนี้ของเขายึดเอาไป ทำให้ เต ต้องร่วมมือกับ บีท (มินนี่ ภัณฑิรา) ,โซ่ (แพท ณปภา),เหวิ่น (แจ๊ส ชวนชื่น) และ คุ้ง (สมจิตร จงจอหอ) เหล่าคนที่เป็นคนซื้อหวยชุดนั้น เพื่อร่วมกันทำการตามหาหวยขุดนี้กลับมา เพื่อนำเงินที่ได้ไปเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น

ตัวหนังยังคงมาพร้อมสไตล์การกำกับของ พฤษ์ เอมะรุจิ ที่นำเสนอความคอเมดี้ ผสมผสานกับความเป็นหนังทำภารกิจ ในเรื่องนี้จะเน้นไปที่การวางแผนปฏิบัติการณ์ตามหาหวย ที่เต็มไปด้วยการวางแผน การสับขาหลอก และกลยุทธ์ ที่ชวนให้นึกถึงหนังไทยแนวเดียวกันก่อนหน้านี้อย่าง อ้ายคนหล่อลวง ซึ่งจุดขายของหนังก็คือคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละครที่มีความโดดเด่น น่าสนใจที่แตกต่างกันไป และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การดำเนินเรื่องของหนังเป็นไปอย่างสนุก น่าติดตาม

ส่วนที่น่าสนใจของ ปฏิบัติการณ์กู้หวย คือการเลือกหยิบประเด็นของชนชั้นล่าง มานำเสนอได้อย่างสมจริง และสะท้อนออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงความคิดของชนชั้นล่าง ที่ฝากความหวังกับหวย รวมถึงการสร้างทั้ง 5 ตัวละครหลัก ที่เป็นตัวแทนของชนชั้นล่างแต่ละรูปแบบ ที่ต่างมีความฝัน ความต้องการ ที่ใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งประเด็นนี้ทำให้หนังสามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้อย่างดีเยี่ยม

ส่วนที่น่าเสียดายของ ปฏิบัติการณ์กู้หวย คือการที่หนังไม่สามารถนำเสนอเรื่องราวของพาร์ทปฏิบัติการณ์ให้ออกมาได้สนุก ชวนระทึกได้เท่าที่ควร หนังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากคาแรคเตอร์ตัวละครได้ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้หากเทียบกับงานก่อน ๆ ปฏิบัติการณ์กู้หวย กลับมีมุกตลกที่ค่อนข้างธรรมดา และไม่ตลกเท่ากับงานก่อน ๆ ของผู้กำกับ แต่กระนั้นหนังก็ยังมีเนื้อหาที่พอดูได้เพลิน ๆ เช่นเดียวกับลายเซ็นของผู้กำกับที่คุ้นเคย

โดยรวม ปฏิบัติการณ์กู้หวย เป็นหนังคอเมดี้ไทย ที่มาพร้อมความบันเทิงสูตรสำเร็จ ตามสไตล์งานของ พฤษ์ เอมะรุจิ ที่เต็มไปด้วยคาแรคเตอร์ตัวละครที่มีเสน่ห์ ชวนให้เอาใจช่วย และมีมุกตลกที่ขำบ้าง แป้กบ้าง เป็นอีกงานที่เหมาะแก่การดูเพื่อคลายเครียดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม ปฏิบัติการณ์กู้หวย ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

รีวิวหนัง The Tragedy of Macbeth หนังอินดี้ เปี่ยมคุณภาพโดย A24

รีวิวหนัง The Tragedy of Macbeth หนังอินดี้ เปี่ยมคุณภาพโดย A24

The Tragedy of Macbeth คือหนังเรื่องแรกประเดิมปี 2022 จาก Apple TV+ ที่ก่อนหน้านี้เคยสร้างเสียงฮือฮามาแล้วในเวที AFI Award จนได้รับรางวัล Movie of the Year ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นผลงานการร่วมสร้างของ Apple และ A24 เป็นงานกำกับเดี่ยวของ โจเอล โคเอ็น (Fargo)

โดยหนังเรื่องนี้เป็นการหยิบบทประพันธ์อันโด่งดังของ วิลเลียม เชคสเปียร์  มาสร้างในรูปแบบภาพยนตร์อีกครั้ง สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า Macbeth เกี่ยวกับเรื่องอะไรนั้น ขอเผยคร่าว ๆ ว่าบทประพันธ์นี้พูดถึงเรื่องราวของนักรบนาม แมคเบธ ที่ได้รับคำทำนายจากแม่มด 3 นางว่า เขาจะเป็นกษัตริย์องค์ถัดไปของสกอตแลนด์ แต่เมื่อได้ยินคำทำนายเช่นนั้น แมคเบธ ก็เกิดความทะเยอทะยาน ที่จะหาทางทำให้อำนาจ ตำแหน่งมาเป็นของตนดังคำทำนาย จนนำมาสู่การนองเลือด และโศกนาฏกรรม

สำหรับตัวหนังในเวอร์ชั่นนี้เรียกได้ว่ามีความโดดเด่น แตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อน ๆ พร้อมทั้งยังต่างจากหนังพีเรียตเรื่องอื่น ๆ โดยหนังได้ใช้วิธีการนำเสนอผ่านภาพที่เป็นขาวดำตลอดทั้งเรื่อง พร้อมทั้งยังใช้สัดส่วนภาพ 4:3 เช่นเดียวกับหนังคลาสสิก ทำให้งานที่ออกมานอกจากจะมีความบรรจง วิจิตรแล้ว ยังให้ความรู้สึกเหมือนการได้ดูหนังคลาสสิกดี ๆ แบบงานของ อิงมาร์ เบิร์กแมน หรือ อากิระ คะโรซาว่า อีกครั้ง

โดยงานภาพนอกจากความสวยงามแบบบรรยากาศของหนังขาวดำแล้ว งานกำกับภาพของ บรูโน เดลบอนเนล ก็ทำออกมาได้บรรจงงดงาม มีการวางองค์ประกอบภาพที่ทั้งสมมาตร และสื่อความหมายได้อย่างยอดเยี่ยม ราวกับว่าผู้ชมกำลังดูภาพวาดที่ร้อยเรียงกันเป็นเรื่องราวของหนัง

ในส่วนของการดำเนินเรื่อง หนังใช้รูปแบบการถ่ายทอดของละครเวที ที่เต็มไปด้วยบทพรรณนา บทพูดที่สะท้อนความคิดของตัวละคร ที่ค่อนข้างเป็นศัพท์สมัยก่อน ทำให้บทของเรื่องนี้ค่อนข้างมีความเข้าถึงยาก ยิ่งหากใครที่ไม่เคยรู้เรื่องราวของ แมคเบธมาก่อน อาจดูหนังไม่รู้เรื่องไปเลย นอกจากนี้ The Tragedy of Macbeth ยังต่างจากหนังพีเรียตของ A24 ก่อนหน้านี้อย่าง The Green Knight  ที่ในของ Macbeth นั้นหนังเลือกจะเน้นขายบทสนทนา มากกว่าขายงานโปรดักชั่น แต่ทีเด็ดคือหนังมีฉากแอคชั่นในช่วงท้าย ที่ค่อนข้างมาได้ถูกจังหวะ และดีงามมากทจนอยากยกให้เป็นฉากแอคชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของค่ายหนังอินดี้ค่ายนี้

แต่กระนั้น การเล่าแบบละครเวที ก็ได้เป็นเสน่ห์ที่ทำให้หนังได้ใช้พลังการแสดงของทีมนักแสดงได้อย่างคุ้มค่า เพราะทุกตัวละครในเรื่องต่างมีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อโศกนาฏกรรมในเรื่องทั้งสิ้น การแสดงของ เดนเซล วอชิงตัน และ ฟรานเซส แมคเดอมานน์ เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของหนังเพราะทั้งคู่ต่างรับส่งบทบาทกันได้อย่างยอดเยี่ยม และที่น่าตราตรึงสุดคือการแสดงของ แคทรีน ฮันเตอร์ ที่รับบทแม่มด ออกมาได้แปลก และมีความน่าขนลุกอยู่ในตัว

โดยรวม The Tragedy of Macbeth คืองานคุณภาพอีกเรื่องของ A24 ที่น่าจะถูกจดจำ และถูกพูดถึงในกลุ่มคอหนังรางวัล ตัวหนังมีความโดดเด่นในการนำเสนอที่ทั้งวิจิตรบรรจง และเต็มไปด้วยคุณค่าทางศิลปะ แต่มันอาจไม่ใช่งานที่ถูกใจคนดูหนังทั่วไปนัก แต่หากใครที่ชื่นชอบงานของ เช็กสเปียร์ นี่คืองานที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Tragedy of Macbeth ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Wandering Moon หนังที่ว่าด้วย รักต้องห้าม

รีวิวหนัง The Wandering Moon หนังที่ว่าด้วย รักต้องห้าม

ผลงานหนังญี่ปุ่นแนวโรแมนติก ดราม่า ผลงาาการกำกับของ อีซางอิล (Rage) ที่ครั้งนี้ได้ทีมนักแสดงมากความสามารถจากแดนปลาดิบมาร่วมแสดงนำไม่ว่าจะเป็น ฮิโรเสะ ซึสึ (Our Little Sister), โทริ มัตสึซากะ (Until the Break of Dawn), ริวสุเกะ โยโกฮามะ (The Journalist) และ มิคาโกะ ทาเบะ (Midnight Diner)

The Wandering Moon จะว่าด้วยเรื่องรางของ ซาราสะ (ฮิโรเสะ ซึสึ) หญิงสาวที่เมื่อในวัยเด็กของเธอ ได้ไปพบกับ ฟูมิ (โทริ มัตสึซากะ) ชายหนุ่มผู้ชื่นชอบใน โลลิคอน หรือกลุ่มคนที่สนใจมีความสัมพันธ์กับเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี แม้ว่า ซาราสะ ในวัยเด็กจะชื่นชอบกับการได้อยู่กับ ฟูมิ แค่ไหนก้ตาม แต่สุดท้ายทั้งสองก็ต้องจากกัน โดย ฟูมินั้นถูกจับฐานลักพาตัวเด็กหญิง

จนเมื่อเวลาผ่านไปนานกว่า 10 ปีทั้ง ฟูมิ และซาราสะ ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ทว่าทั้งเขาและเธอต่างก็มีคนรักของตนเอง แต่ด้วยปัญหาชีวิตคู่ และอดีตที่คอยหลอกหลอน ทำให้ท้ายสองอีกครั้ง จนนำมาสู่โศกนาฏกรรมความรักที่น่าเศร้าของคนทั้งสอง

ตัวหนังมาพร้อมสูตรของหนังโรแมนติก ดราม่า ที่พาเราไปสำรวจค่านิยมของสังคมชีวิตคู่ในญี่ปุ่น และความสัมพันธ์ของตัวละคร อย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วงปูเรื่องหนังใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ในการถ่ายทอดความสัมพันธ์ของซาราสะ และฟูมื ในอดีต และปัจจุบัน เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูไปเรื่อย ๆ

ความเข้มข้นของหนังคือหลังจากที่พาคนดูไปเป็นส่วนหนึ่งกับตัวละครแล้ว หนังก็ได้ใส่ฉากดราม่าต่าง ๆ มาแบบไม่ยั้ง เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ที่แสนอึดอัดของซาราสะ และคนรักของเธอ รวมทั้งความสัมพันธ์ต้องห้ามของเธอและฟูมิ ที่ค่อนข้างถูกหยิบมาเล่นในเชิงเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน คนดูจะรู้สึกสงสาร และโศกเศร้าไปกับตัวละคร ทั้งนี้ตัวหนังก็นำเสนอเหตุการณ์ต่าง ๆ แบบไร้ปราณีต่อคนดู ทำให้อิมแพคที่หนังเรื่องนี้ดูรุนแรง น่าจดจำมากขึ้น

การแสดงของหนังต้องขอชื่นชม ฮิโรเสะ ซึสึ ที่เล่นบทหญิงสาวที่เติบโตจากบทที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ในเรื่องนี้เธอต้องแสดงบทดราม่า และฉากเลิฟซีนที่มีความเรทพอสมควร โดยเฉพาะฉากอารมณ์ ที่เกือบตลอดทั้งเรื่องเธอต้องแสดงความอึดอัด ทรมานให้คนดูเข้าใจตัวละคร ซาราสะ มากยิ่งขึ้น ส่วนด้าน โทริ มัตสึซากะ ก็สามารถรับส่งบทกับ ซึสึ ได้เป็นอย่างดี เป็นบทที่ไม่ได้มีบทพูดเยอะ แต่ก็ถ่ายทอดผ่านสีหน้าท่าทางได้อย่างดีเยี่ยม

โดยรวม The Wandering Moon เป็นหนังโรแมนติกดราม่า เนื้อหาดีอีกเรื่องแห่งปี 2022 ที่นอกจากจะมาพร้อมเนื้อหาของรักต้องห้ามที่หนักหน่วงแล้ว หนังยังสะท้อนค่านิยมต่าง ๆ ของสังคมได้เป็นอย่างดี ใครที่ชอบหนังดราม่าเนื้อหาดี ๆ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Wandering Moon ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: สหมงคลฟิล์ม

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Power: หนังสยองขวัญที่เล่นกับความมืด

รีวิวหนัง The Power

ในปี 2021 นี้ยังเป็นปีที่เต็มไปด้วยหนังสยองขวัญพลอตแหวกแนวมาให้ชมกันแบบเรื่อย ๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มี Host หนังผีที่ถ่ายทำผ่านโปรแกรม Zoom ในปีนี้ก็ยังมี The Power หนังสยองขวัญผลงานการกำกับเรื่องแรกของ คอรินนา เฟธ โดยครั้งนี้จะเป็นหนังที่มาพร้อมกับเนื้อหาที่ว่าด้วยการกลัวความมืด และโรงพยาบาล

The Power จะว่าด้วยเรื่องราวในอังกฤษช่วงปี 1974 เมื่อ วัล (โรส วิลเลี่ยม) นางพยาบาลสาว พึ่งได้งานใหม่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่ทว่าในวันแรกที่เธอเข้าไปทำงานนั้น ก็ดันเป็นช่วงที่เกิดการประท้วงรัฐบาลโดยคนงานเหมือง ทำให้ทั้งเมืองต้องถูกตัดไฟ และไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่ง วัล ได้ถูกมอบหมายให้เข้าเวรกะดึก ท่ามกลางความมืด และบรรยากาศที่ชวนขนลุกของโรงพยาบาล ทำให้ วัลต้องพบกับเรื่องชวนสยองมากมาย และความลับอันดำมืดของสถานที่แห่งนี้

หนังมาพร้อมกับวิธีการเล่าเรื่องแบบหนังผียุคใหม่ คือการนำเสนอเนื้อหาแบบ Slow Burn ที่จะไม่เน้นการเล่าเรื่องที่มีจังหวะโบ๊ะบ๊ะ และเดินเรื่องตามสูตร แต่จะใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบค่อย ๆ พาคนดูเข้าไปร่วมสำรวจบรรยากาศในโรงพยาบาล และพบกับความน่ากลัวที่ไม่ได้มาจากแค่จังหวะตุ้งแช่ หรือผีสางเท่านั้น แต่ความน่ากลัวของหนังยังมาจากความเป็นจิตวิทยา สภาพการเมือง ที่สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ก็น่ากลัวไม่แพ้สิ่งเหนือธรรมชาติ

ตัวหนังสามารถหยิบนำประโยชน์จากจุดเช็งของตัวเองมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับที่มืด ที่หนังได้สร้างความรู้สึกให้คนดูกลัวความมืด ร่วมไปกับตัวละคร เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าภายในความมืดนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ ทำให้ทุกครั้งที่หนังใช้ความมืดในการสร้างจังหวะหลอกหลอนก็สามารถทำออกมาได้น่ากลัวแทบทุกครั้ง นอกจากนี้หนังยังใช้ประโยชน์จากสถานที่เกิดเหตุอย่างโรงพยาบาล มาเพิ่มความน่าขนลุก ความน่าหวาดระแวงมากขึ้น เมื่อสองจุดแข็งนี้มารวมกัน มันก็ทำให้ The Power เป็นหนังผีที่มีองค์ประกอบความเป็นหนังผีที่ครบถ้วน

ส่วนงานแสดงต้องขอชื่นชม โรส วิลเลี่ยม ที่สามารถเป็นตัวหลักของเรื่องที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะในเรื่องนี้เธอไม่ได้รับบทในฐานะเหยื่อเท่านั้น แต่เธอยังเป็นผู้ที่ต้องเอาชีวิตรอด ทั้งจากสิ่งเหนือธรรมชาติ และสังคมที่ชายเป็นใหญ่อีกด้วย ซึ่ง วิลเลี่ยน ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ ทั้งพาร์ทดราม่า และพาร์ทสยองขวัญ

ในส่วนของข้อเสีย คือการที่หนังยังนำเสนอพาร์ทการหลอกของผีออกมาได้ไม่สุดเท่าที่ควร เนื่องจากหนังมัวไปเสียเวลากับการค่อย ๆ ปูเรื่องมากเกินไป ทำให้เหลือพื้นที่ให้มิติตัวละครของผีในเรื่องมีค่อนข้างน้อย และยิ่งในช่วงเฉลยปมทั้งหมด หนังกลับทำออกมาได้คลุมเครือ ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร

 The Power เรียกได้ว่าเป็นอีกหนังสยองขวัญยุคใหม่ ที่สามารถใช้งานจุดขายของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม หนังสามารถสร้างความน่ากลัวให้กับคนดูผ่านความมืด บรรยากาศของโรงพยาบาลได้คุ้มค่า จนทำให้เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบแล้วคุณอาจกลัวที่มืด หรือกลัวโรงพยาบาลไปเลย นอกจากนี้หนังยังมีบท และการแสดงที่น่าจดจำ ใครที่ชอบหนังสยองขวัญที่มาพร้อมความน่ากลัวแบบไม่ซ้ำใคร และมีการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Power ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Mongkol Major

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/-cFUNJffi8c

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Matrix Resurrection: การกลับมาของ The Matrix

รีวิวหนัง The Matrix Resurrection

การกลับมาในรอบเกือบ 20 ปี ของหนังไซไฟระดับตำนานอย่าง The Matrix ที่ได้ตัวหนึ่งในผู้กำกับชุดเก่าอย่าง ลานา วาโชวสกี กลับมารับหน้าที่กำกับ และเขียนบทอีกครั้ง พร้อมได้ คีอานู รีฟส์ (John Wick) และ แครี่-แอนน์ มอส (Memento) กลับมาสานต่อบท นีโอ และทรินิตี้ อีกครั้งในการผจญภัยครั้งใหม่บนโลกเมทริกซ์

The Matrix Resurrections จะว่าด้วยเรื่องราวของ นีโอ (คีอานู รีฟส์) ที่ได้กลายเป็นชายธรรมดา ที่ทำงานเป็นนักเขียนโค้ดเกม The Matrix ที่พูดถึงมนุษย์ที่ต่อสู้กับเครื่องจักร แต่กระทั่งเขาได้พบว่าเกมที่เขาสร้างนั้น มันไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นความทรงจำของเขาจากการต่อสู้กับเครื่องจักร และได้รู้ว่าโลกที่เขาอาศัยอยู่นี้คือ เมทริกซ์อันใหม่ ที่ได้ขังเขาไว้ในโลกสมมติ โดยการควบคุมของเครื่องจักร นีโอ ได้พบกับ มอร์เฟียส (ยาย่า อับดุล มาทีนที่ 3) และ บั๊ก (เจสสิก้า เฮนวิค) สองนักปฎิวัติที่ได้พาเขากลับสู่โลกอนาคตอีกครั้ง แต่ นีโอ ก็ได้พบว่า ทรินิตี้ (แครี่-แอนน์ มอส) ยังคงติดอยู่ใน เมทริกซ์ เขาและพรรคพวกเลยต้องหาทางพาทรินิตี้ ตื่นจากเมทริกซ์สู่โลกความจริงอีกครั้ง

ตัวหนังในภาคนี้เปรียบเสมือนกับการรีเมคตัวเอง ด้วยการกลับคืนสู่ความเป็นหนังภาคแรกอีกครั้ง โดยไทม์ไลนืในหนังได้นำเสนอเหตุการณ์ที่อิงกับโลกปัจจุบันมากขึ้น มีตัวละครใหม่ ๆ มาเป็นสีสัน ส่วนตัวเนื้อหาหนังใช้วิธีการย้อนสู่จุดเริ่มต้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการปูเรื่องสู่การผจญครั้งใหม่ มีการใช้ฟุตเทจ และอีสเตอร์เอ้ก จาก 3 ภาคก่อน มาใช้ในการช่วยเล่าเรื่อง

ตัวหนังใช้เวลาปูเรื่องค่อนข้างนาน โดยกว่าที่หนังจะเข้ารูปเข้ารอยก็ใช้เวลาในการปูเรื่องเกือบ 1 ชั่วโมง แต่กระนั้นหนังก็สามารถนำเสนอตัวเองให้น่าติดตามด้วยการสอดแทรกฉากแอคชั่น และการผูกโยงเรื่องราวทั้งหมด หนังยังคงสไตล์ของ The Matrix คือการพูดถึงประเด็นเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็น ปรัชญาไซไฟ สงครามกับเครื่องจักร  ไปจนถึงความโรแมนติกของสองพระนางในเรื่อง แม้ตัวละคร และเซ็ตอัปในหนังจะใหม่เกือบหมด แต่ภาพรวมหนังยังคงความเป็น The Matrix ดั้งเดิมไว้อย่างเต็มเปี่ยม

ด้านฉากแอคชั่นในภาคนี้ยังทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น ตามสไตล์ The Matrix ที่ยังผสมผสานการต่อสู้แบบหนังกำลังภายใน และฉากแอคชั่นแบบยิงกันหูดับตับไหม้ เรียกได้ว่าใครที่เป็นคอหนังแอคชั่น น่าจะเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้แน่นอน แต่กระนั้นหากเทียบกับ 3 ภาคก่อนแล้วการสร้างฉากแอคชั่นในภาคนี้ยังคงห่างชั้นโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นความตื่นตาตื่นใจ หรือความแปลกใหม่

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ ๆ ของหนังคือประเด็นของมัน ที่ดูเบาบางลง หากเทียบกับความเป็นปรัชญาแบบภาคก่อน ๆ ในภาคนี้เป็นเสมือนหนังที่ทำมาเพื่อย้อนรอยภาคแรก ที่แทบไม่มีความจำเป็นต้องมี หากเทียบกับความสมบูรณ์แบบที่ไตรภาคเก่าทำไว้ ทำให้ท้ายที่สุดแล้วหนัง The Matrix ภาคนี้กลับกลายเป็นเพียงหนังแอคชั่น ไซไฟ ทำภารกิจทั่วไปที่ดูจบแล้วจบเลย ไม่ได้มีอะไรให้ตั้งคำถามหรือคิดต่อใด ๆ

โดยรวม The Matrix Resurrection อาจไม่ได้เป็นงานภาคที่ดีที่สุดของ The Matrix และเป็นการกลับมาที่ไม่น่าภูมิใจนัก แต่กระนั้นหนังก็ยังพอได้มอบความบันเทิงแบบหนังป้อปคอร์น ที่คนดูสามารถสนุกกับมันได้แบบไม่ต้องคิดตาม เป็นความบันเทิงแบบถอดสมองดู ที่น่าจะถูกใจคอหนังแอคชั่นไม่น้อย

สามารถรับชม The Matrix Resurrection ได้แล้ววันนี้ที่ HBO GO

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/9ix7TUGVYIo

https://youtu.be/9ix7TUGVYIo

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Last Duel

รีวิวหนัง The Last Duel

The Last Duel คือหนึ่งในผลงานหนังฟอร์มยักษ์ของ ริดลีย์ สก้อตต์ (Aliens) ซึ่งนอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็ยังมีอีกหนึ่งที่หนังรวมดาราอย่าง House of Gucci ที่เตรียมจะเข้าฉายในเร็ว ๆ นี้อีกด้วย โดยงานทั้งสองเรื่องนี้ก็ล้วนแต่ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง

สำหรับ The Last Duel จะเป็นหนังที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 14 ในประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ฌอง เดอ คาร์รูจน์ (แมตต์ เดม่อน) และ ฌาร์ เลอ กรีส (อดัม ไดรเวอร์) สองนักรบผู้มีชื่อเสียง ที่ครั้งหนึ่งทั้งสองเคยเป็นเพื่อนรักที่ร่วมรบมาด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็แตกหักกัน เมื่อ มาเกอเรต (โจดี้ คอร์เมอร์) ภรรยาสาวของ เดอ คาร์รูจน์ ได้บอกกับเขาว่าเธอนั้นได้ถูก เลอ กรีส บุกเข้ามาข่มขืนเธอ ในขณะที่ด้านตัว เลอ กรีส ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น ทำให้พวกเขาและเธอเลยต้องทำการพิพากษาคดีนี้ด้วยการดวลกัน หากใครแพ้คนนั้นจะต้องถูกลงโทษ

โดยหนังเรื่องนี้ ริดลีย์ สก้อตต์ เลือกใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบหนังราโชมอน คือการเล่าเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง ผ่านสายตา ผ่านมุมมองของแต่ละตัวละครที่ให้ความจริงที่ต่างกันไป ซึ่งนั่นก็ทำให้ประเด็นหลักของเรื่องอย่างเรื่องการพิพากษาคดี มีความจริงจัง เข้มข้น และทำให้คนดูได้เห็นตื้นลึกหนาบางของแต่ละตัวละคร ผ่านมุมมองที่หนังเลือกที่จะเผย

ซึ่งแก่นของหนังเรื่องนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่หนังสงคราม การเมืองแต่อย่างใด แต่มันคือการพูดถึงชีวิตของผู้หญิงในสมัยนั้น ที่มีการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งบทบาทของผู้หญิงเป็นเพียงแค่แม่บ้าน แม่เรือน ที่มีหน้าที่ผลิตลูกในท้อง พร้อมทั้งต้องเผชิญกับความกดดันในด้านบทบาททางสังคม และเมื่อตัวละคร มาเกอเรต ที่ถูกข่มขืนด้วยแล้ว มันทำให้เธอต้องถูกเหยียดหยามดูถูกจากรอบข้างมากไปอีก โดยหนังก็ได้นำเสนอบทบาทของตัวละครนี้ ออกมาได้อย่างมีมิติ และทรงพลัง แม้ว่าบทบาทของตัวละครนี้จะมีอยู่เพียงในช่วงท้ายเรื่อง แต่หนังก็ได้ถ่ายทอดประเด็นความไม่เท่าเทียมทางเพศ และเรื่อง Sexual Harassment ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แบบที่เอาคนดูได้อยู่หมัด

งานโปรดักชั่นของหนังเรื่องนี้ ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม โดยหนังได้มีการนำเสนอบริบท สังคม วัฒนธรรม ของคนฝรั่งเศสในยุคนั้นออกมาได้อย่างสมจริง รวมทั้งการสร้างสรรค์ฉากสงคราม ที่ดุดัน โหดร้าย ป่าเถื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากดวลกันในช่วงท้ายเรื่อง ที่เป็นการต่อสู้ที่นำเสนอได้ชวนลุ้น ชวนตื่นเต้น จนคาดเดาไม่ได้ว่าจะลงเอยแบบไหน

การแสดงของทีมนักแสดงนำในเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเชือดเฉือนบทบาทกันได้เมามันส์มาก ๆ อีกเรื่อง โดยเฉพาะสามนักแสดงหลักอย่าง แมตต์ เดม่อน,อดัม ไดรเวอร์ และ โจดี้ คอร์เมอร์ ที่ต่างถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้อย่างถึงอารมณ์ โดยเฉพาะ คอร์เมอร์ ที่ต้องแสดงอารมณ์ที่อึดอัด ทุกข์ทรมาน จากชะตากรรมที่ตัวเองเผชิญ จนเรียกได้ว่าเธอคือตัวละครที่แบกให้หนังเรื่องนี้มีดราม่าที่ทรงพลัง และเติมเต็มแก่นของเรื่องให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

โดยรวม The Last Duel ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานชั้นดีของ ริดลีย์ สก้อตต์ ที่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เขายังเป็นมือทำหนังที่สามารถทำหนังหลากหลายแนว และคุณภาพที่แทบไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะด้านความเป็นหนังราโชมอน จะไม่ได้มีความแปลกใหม่ และไม่ได้สร้างความหวือหวามากนัก แต่ในด้านบทของหนัง และการแสดงของทีมนักแสดง เรียกได้ว่าเปี่ยมด้วยคุณภาพอย่างเต็มเปี่ยม จนเป็นหนังอีกเรื่องของปีนี้ ที่คอหนังไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Last Duel ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Black Panther: Wakanda Forever: ภาคต่อที่สามารถสานต่อเรื่องราวแบล็คแพนเธอร์ ได้อย่างคงเส้นคงวา

รีวิวหนัง Black Panther: Wakanda Forever: ภาคต่อที่สามารถสานต่อเรื่องราวแบล็คแพนเธอร์ ได้อย่างคงเส้นคงวา

ภาคต่อของหนัง MCU ที่ผู้คนรอคอยมากที่สุดของปีนี้ สำหรับ Black Panther: Wakanda Forever ที่หลังจากก่อนหน้านี้ แชดวิก โบสแมน เจ้าของบท แบล็คแพนเธอร์ ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันจากโรคมะเร็งกะเพาะอาหาร ทำให้หลายคนต่างลุ้นว่าใครจะมารับบท แบล็คแพนเธอร์ คนต่อไป และทิศทางจะเป็นอย่างไร โดยในภาคนี้ยังได้ ไรอัน คูกเลอร์ ผู้กำกับจากภาคแรกกลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้ง พร้อมได้ทีมนักแสดงนำจากภาคแรกกลับมารับบทเดิมแบบครบทีม

เนื้อหาในภาคนี้จะว่าด้วย วากานด้า ที่ได้สูญเสีย กษัตริย์ทีชัลล่า (แชดวิก โบสแมน) ไปได้ 1 ปี ทำให้ราชินีรามอนดา (แองเจลา บาสเซต) และองค์หญิงซูริ (ลาลิเทีย ไรท์) สองผู้นำหญิงที่ต้องดูแลประเทศนี้แทน ซึ่งพวกเธอต้องเผชิญกับความขัดแย้งกับสหประชาชาติจากการมีแร่ไวเบรเนียมไว้ครอบครอง จนทำให้มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการพยายามหาไวเบรเนียมจากที่อื่น จนทำให้เผ่าใต้น้ำ ที่มี เนมอร์ (เตนอช เวร์ตา) เกิดความเกรี้ยวกราด และได้เตรียมประกาศสงครามกับมนุษย์โลก โดยมีชาววากานด้า เป็นคนกลางในกลางสงบศึกครั้งนี้

Black Panther: Wakanda Forever ยังคงเป็นหนังที่รักษามาตรฐานจากภาคแรกไว้ได้เป็นอย่างดี หนังสามารถหยิบเอกลักษณ์ความเป็นเผ่าพันธุ์วากานด้า ที่มีความเฉพาะตัว ดนตรีประกอบที่มีเอกลักษณ์ติดหู รวมถึงสไตล์การเล่าเรื่องที่เน้นดราม่าการเมืองไว้ได้อย่างครบครัน โดยเฉพาะประเด็นการเมืองที่ในภาคนี้มีความเข้มข้น ดุดันมากกว่าในภาคแรกในแง่ของความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากร ซึ่งจะไม่ได้เน้นแอ็คชั่นมาเท่าภาคแรก

ในภาคนี่หนังจะมีดราม่าที่หนักไปที่ประเด็นของการสูญเสีย ความแค้น ซึ่งจะมีการอาลัยให้กับตัวนักแสดง แชดวิก โบสแมน อยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้ผู้ชมได้น้ำตารื้น ซึ่งทีมนักแสดงในเรื่องต่างก็ถ่ายทอดบทโศกเศร้าออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ และทำให้นี่เป็นงานดราม่าที่มีอารมณ์หนักหน่วงกว่าหนัง MCU เรื่องที่ผ่าน ๆ มา

ฉากแอคชั่นในภาคนี้ อาจไม่ได้เยอะเท่าภาคก่อน แต่ว่าแต่ละฉากก็ทำออกมาได้อย่างจัดเต็ม สมกับสเกลเนื้อหาที่ใหญ่ขึ้น ฉากสงครามระหว่างวากานด้า และเผ่าใต้ทะเล ทำออกมาได้ดุเดือด อลังการ โดยเฉพาะพลังของเนมอร์ ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ดุดัน จนน่าจะถูกใจหลาย ๆ คน รวมถึงการซ่อนไฮไลท์ แบล็คแพนเธอร์ตนใหม่เอาไว้ท้ายเรื่อง ที่ทำออกมาได้พีคสมการรอคอย

ในส่วนของข้อเสียของภาคนี้ เป็นปัญหาที่หนัง MCU เฟส 4 หลายเรื่องเผชิญ คือการที่หนังพยายามใส่ตัวละครใหม่ ๆ เข้าไปในเรื่องเยอะจนเกินจำเป็น อย่างในเรื่องนี้ที่หนังพยายามขาย ไอร่อนฮาร์ต รวมถึงการใส่หลาย ๆ ประเด็นเข้าไปในเรื่อง จนทำให้เนื้อหาของหนังออกมาไม่สุดเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม Black Panther: Wakanda Forever ก็นับว่าเป็นหนัง MCU ปิดท้ายปี 2022 ที่ทำออกมาได้สมการรอคอย หนังมีดราม่าที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยมมากกว่าหนัง MCU ที่ผ่านมา ที่เป็นการอำลา แชดวิก โบสแมน อย่างสมเกียรติ เป็นงานที่แฟน Marvel ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Black Panther: Wakanda Forever ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: IMDB

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/_Z3QKkl1WyM

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Holy Spider: หนังอาชญากรรม ที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้หนักหน่วง มีฉากฆาตกรรมที่สมจริงจนชวนหดหู่ และมาพร้อมประเด็นการเมือง ศาสนา ที่นำเสนอออกมาได้ยอดเยี่ยม และทรงพลัง

รีวิวหนัง Holy Spider

Holy Spider คือหนังสัญชาติอิหร่านผลงานการกำกับของ อาลี อาบาซี หนึ่งในทีมผู้กำกับซีรีส์ The Last of Us ที่เตรียมฉาย HBO ในปีหน้า โดยผลงานเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเทศอิหร่านเมื่อช่วงปี 2000-2001 กับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่มีเหยื่อเป็นโสเภณีมากถึง 16 ราย

ตัวหนังจะว่าด้วย ราฮิมี (ซาร์ อามีร์-อีบราฮีมี) นักข่าวสาวที่ได้เดินทางมายังเมืองมัชฮัด ในประเทศอิหร่าน ที่ในตอนนั้นได้เกิดเหตุการณ์คดีฆาตกรมต่อเนื่องขึ้น ในขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว หรือความพยายามท่ีจะจับตัวคนร้ายมาลงโทษ ทำให้ ราฮิมี ตัดสินใจลงมือตามสืบคดีนี้ด้วยตัวเธอเอง จนทำให้เธอพบกับอันตรายมากมาย รวมทั้งได้เห็นความเหลื่อมล้ำ ความโหดร้ายรุนแรงที่สังคมมีต่อโสเภณี ณ เมืองอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

ตัวหนังมาพร้อมเรทฉายในไทย ฉ20+ ที่จะมีเนื้อหาที่ติดเรท ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงอาชีพโสเภณี ความรุนแรง ฉากการฆาตกรรม และประเด็นศาสนา ที่หนังเล่าแบบไม่เซ็นเซอร์ ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่หนังที่เหมาะสมกับคนดูทุกคน

หนังมาพร้อมการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ด้วยการนำเสนอภาพสังคมในประเทศอิหร่าน ที่เป็นด้านมืด ไม่ว่าจะเป็นมุมอาชญากรรม คนยากจน และสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง แต่ความโหดร้ายของหนังจะมาจากการเล่าเรื่องผ่านเส้นเรื่องของตัวฆาตกรในเรื่อง ที่หนังได้ถ่ายทอดมิติ และแง่มุมต่าง ๆ ของตัวละครนี้ออกมาได้อย่างครบรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายทอดฉากการลงมือฆาตกรรมที่นอกจากจะออกมาสมจริงจนน่าขนลุกแล้ว เรายังได้เห็นทัศนคติ และความคิดอันบิดเบี้ยวของตัวฆาตกรอีกด้วย

นอกจากพาร์ทอาชญากรรมที่หนังนำเสนอผ่านเส้นเรื่องของตัวฆาตกรแล้ว ในด้านเส้นเรื่องของ ราฮิมี ที่เป็นนางเอก หนังก็ได้นำเสนอมุมมองที่เป็นด้านการเมือง ศาสนา และสังคมที่มีชายเป็นใหญ่ ที่ผู้ชมจะได้เห็นภาพการกดขี่ข่มเหงต่าง ๆ นานา การที่สังคมมองผู้หญิงไม่เท่ากัน ที่ทำให้การดูหนังเรื่องนี้มีบรรยากาศที่ชวนอึดอัดใจตลอดทั้งเรื่อง

ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมการแสดงของ ซาร์ อามีร์-อีบราฮีมี ที่ถ่ายทอดบทเหยี่ยวข่าวสาวผู้สู้ชีวิต ออกมาได้ยอดเยี่ยม สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูอยากเอาใจช่วยตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะฉากไคล์แมกซ์ในช่วงท้าย ท่ีทำเอาคนดูนั่งลุ้นจนตัวเกร็ง

โดยรวม Holy Spider นับว่าเป็นหนังอาชญากรรมชั้นเยี่ยม ที่นอกจากจะมาพร้อมการนำเสนอที่สมจริง และทำออกมาได้ถึงอารมณ์แล้ว หนังยังสามารถสะท้อนภาพความเชื่ออันบิดเบี้ยวของศาสนา การมองคนไม่เท่ากัน ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง เรียกได้ว่าเป็นหนังอาชญากรรมที่ไม่ควรพลาดแห่งปีเลย

Holy Spider เข้าฉายวันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Sahamongkol Film

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/drbM0kgtezA

https://youtu.be/drbM0kgtezA

รีวิวหนัง Enola Holmes 2: ภาคต่อที่ยังรักษามาตรฐานความสนุก

รีวิวหนัง Enola Holmes 2: ภาคต่อที่ยังรักษามาตรฐานความสนุก

ภาคต่อของหนังแอ็คชั่น สืบสวนสอบสวน จาก Netflix ที่ในภาคนี้ยังคงได้ทีมผู้สร้าง และนักแสดงชุดเดิม โดยได้ แฮร์รี่ แบรดเบียร์ มือกำกับจากภาคแรกกลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้ง ด้านนักแสดงนำยังได้ มิลลี่ บ้อบบี้ บราวน์ (ซีรีส์ Stranger Things) ที่กลับมารับบท เอโนล่า โฮล์มส์ และ เฮนรี่ คาร์วิล (Man of Steel) ที่กลับมารับบท เชอร์ล็อค โฮล์มส์ อีกครั้ง

สำหรับในภาคนี้ หนังจะเล่าเหตุการณ์หลังจากภาคแรกไปไม่นาน เมื่อ เอโนล่า ได้ทำการเปิดสำนักงานนักสืบของตนเอง เพื่อหวังจะได้ทำงานแบบเดียวกับผู้เป็นพี่ชายอย่าง เชอร์ล็อค โฮล์มส์ แต่ทว่าลูกค้าเธอกลับน้อยนิด จนกระทั่งเธอได้รับการว่าจ้างจากสาวน้อยคนหนึ่งที่ต้องการให้เธอช่วยตามหาพี่สาวที่หายไปของตน จนนำมาสู่การผจญภัยครั้งใหม่ที่ทั้งตื่นเต้น และเต็มไปด้วยเรื่องเหนือความคาดเดา

ในภาคนี้หนังยังคงนำเสนอโดยรักษามาตรฐานความดีงามจากภาคแรกไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอเรื่องราวการสืบสวนให้ออกมาสนุก เข้าใจง่าย และชวนติดตาม, มีการผสมผสานความเป็นแอ็คชั่น คอเมดี้ ที่เป็นส่วนเพิ่มความบันเทิงให้หนังได้ตลอดทั้งเรื่อง และการใส่ฉากโรแมนติกมาเพิ่มให้รสชาติของหนังน่าจดจำมากขึ้น นอกจากนี้หนังก็ยังคงลายเซ็นในการทำลายกำแพงที่ 4 ที่ให้ตัวละคร เอโนล่า สามารถคุยกับคนดูเป็นระยะ ที่ทำให้เพิ่มความผ่อนคลายระหว่างดูหนังมากขึ้น

ด้านการสืบสวน ในภาคนี้ยังคงดำเนินเรื่องเหมือนภาคแรก คือการตามหาคนหาย ก่อนที่หนังจะค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุก ความเข้มข้น ด้วยการยกระดับปริศนาที่ยาก และอันตรายขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรมที่ในภาคนี้จะมีความโหดร้ายมากขึ้น รวมถึงการปูทางสู่การเปิดตัววายร้ายของแฟรนไชส์นี้อย่าง มอริอาร์ตี้ ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในหนังภาคนี้ ในขณะที่ด้านความหักมุมก็ยังทำออกมาได้เหนือการคาดเดา และสร้างเซอร์ไพรส์ให้คนดูได้ไม่น้อย

นอกจากพาร์ทสืบสวนที่ทำออกมาได้อย่างเข้มข้นแล้ว อีกหนึ่งจุดขายของหนัง Enola Holmes คือการใส่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์เข้ามาเป็นจุดเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะการพูดถึงการก่อกำเนิดของกลุ่มสิทธิสตรี ที่ถูกใส่เข้ามาอย่างถูกจังหวะ และลงตัวกับเนื้อเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม

การแสดงในเรื่องนี้ ก็ยังคงต้องขอชื่นชม มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ ที่ยังคงสามารถแบกหนังไว้ทั้งเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม เธอสามารถมอบความสดใส ความแก่นแก้วในแบบของตัวเองได้อย่างมีเสน่ห์ น่าเอาใจช่วยตลอดทั้งเรื่อง ส่วนใครที่อยากเห็นบทบาท เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ของ เฮนรี่ คาร์วิล แบบจัดเต็ม ในภาคนี้เราจะได้เห็นเขามากยิ่งขึ้น ในบทที่ทั้งโดดเด่น และสำคัญยิ่งกว่าเดิม

โดยรวม Enola Holmes 2 ยังคงเป็นหนังสืบสวนที่อัดแน่นด้วยความบันเทิง ดูง่าย ชวนติดตาม หนังมีคุณสมบัติของความเป็นหนังสืบสวนที่ดี ที่เต็มไปด้วยปริศนา และการหักมุมที่เหนือความคาดเดา และการปูทางไปสู่ภาคต่อไปที่ชวนให้แฟน ๆ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ รอคอยติดตามต่อไปในอนาคต

สามารถรับชม Enola Holmes 2 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/X9ncGw064PI

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง