รีวิวหนัง Shazam! Fury of the Gods: งานภาคต่อ ที่ยกระดับงานโปรดักชั่น

รีวิวหนัง Shazam! Fury of the Gods: งานภาคต่อ ที่ยกระดับงานโปรดักชั่น

ภาคต่อของหนังฮีโร่อารมณ์ดีจากค่าย DC ที่ในครั้งนี้ยังได้ เดวิด เอฟ แซนด์เบิร์ก (Light Out) กลับมารับหน้าที่กำก้บอีกครั้ง พร้อมได้ทีมนักแสดงชุดเดิมกลับมา นำทีมโดย ซาชาลี่ เลวิ (Office Uprising), แอชลีย์ แองเจิล (ซีรีส์ High School Musical: The Musical: The Series), แจค ดีแลน เกรเซอร์ (It) ไจมอน ฮอนซู (A Quiet Place 2) พร้อมเสริมทัพด้วย ราเชล เซกเลอร์ (West Side Story), เฮเลน มิลเลน (Fast 9) และ ลูซี่ หลิว (Kill Bill)

เรื่องราวใน Shazam! Fury of the Gods จะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากภาคแรก หลังจากที่ บิลลี่ (แอชลีย์ แองเจิล) และเพื่อนๆ ในบ้านเด็กกำพร้าได้รับพลังให้สามารถแปลงร่างเป็นชาแซมได้ พวกเขาก็ได้ร่วมกันปกป้องผู้คนในเมือง จนกระทั่งได้มีศัตรูตัวใหม่มาเล่นงานพวกเขา นั่นคือลูกสาวทั้งสามของเทพแอตลาส ที่ได้เคียดแค้นที่ถูกขโมยพลังวิเศษ โดยพวกเธอทั้งสามได้พยายามที่จะขโมยพลังชาแซม จากพวกของบิลลี่ และทำลายล้างโลก

ในภาคนี้หนังยังคงมาพร้อมโทนเรื่องที่ไม่ต่างจากภาคแรก ที่เต็มไปด้วยความฟีลกู้ด ทั้งฉากคอเมดี้ และความเป็นหนัง Coming of age ท่ีเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่เป็นเยาวชน ซึ่งทุกคาแรคเตอร์ในเรื่องยังคงความเป็นตัวละครในภาคแรกอย่างครบถ้วน ส่วนที่เพิ่มเติมคือหนังจะไม่ได้โฟกัสที่ตัวละคร บิลลี่ และเฟรดดี้ เหมือนในภาคแรก แต่จะเล่าผ่านกลุ่มตัวละครเด็กกำพร้าทั้งหมด

จุดเด่นของภาคนี้คืองานโปรดักชั่นที่ทำได้อย่างก้าวกระโดด หนังมีฉากแอ็คชั่นที่ครบรส และยิ่งใหญ่ จัดเต็มกว่าภาคแรก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพ หรือการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด ที่เพิ่มความระทึก ความตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้หนังยังซ่อนเซอร์ไพรส์มากมาย สำหรับแฟนหนัง DC หรือใครที่ขื่นชอบตำนานปรัมปรา น่าจะเพลิดเพลินไปกับการนำเรื่องราวของเทพ มาเล่าในหนังได้อย่างชวนติดตาม

ในขณะที่พาร์ทแอ็คชั่นหนังทำได้ดีขึ้น แต่ด้านการเล่าเรื่องของหนังภาคนี้กลับดรอปลงอย่างชัดเจน เนื่องจากหนังพยายามเล่าผ่านหลากหลายตัวละคร จนทำให้พาร์ทดราม่าแบบไหนภาคแรกหายไปโดยสิ้นเชิง ส่วนที่น่าเสียดายที่สุดคือวายร้ายในภาคนี้ที่คาดมิติ จนดูเป็นตัวร้ายทื่อๆ ที่ไม่ได้มีความน่าจดจำใดๆ แม้กระทั่งการแสดงของ เฮเลน มิลเลน ก็ไม่สามารถช่วยได้

โดยรวม Shazam! Fury of the Gods ถือว่าเป็นหนังภาคต่อที่ยังพอรักษาความเป็นตัวตนจากภาคแรกเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ด้านคุณภาพหนัง ภาคนี้กลับด้อยลงอย่างน่าเสียดาย หนังมีบทที่ธรรมดา และตัวร้ายที่ไม่น่าจดจำอย่างสิ้นเชิง และกลายเป็นเพียงหนังบล็อกบัสเตอร์ที่พอดูเพลินๆ ที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร

สามารถรับชม Shazam! Fury of the Gods ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง The Black Phone: อีกหนึ่งหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ สูตรสำเร็จ

รีวิวหนัง The Black Phone: อีกหนึ่งหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ สูตรสำเร็จ

The Black Phone เป็นผลงานหนังการร่วมสร้างโดย Universal Studios และ Blumhouse Productions ที่เป็นงานกำกับโดย สก้อตต์ ดิคคินสัน (Sinister) ที่ได้ โจ ฮิล ลูกชายของเจ้าพ่อนิยายเขย่าขวัญ สตีเวน คิง มารับหน้าที่ร่วมเขียนบท พร้อมได้ อีธาน ฮอว์ค (Sinister) มาร่วมแสดงนำ

เรื่องราวของ The Black Phone จะว่าด้วยอเมริกาในปี 1978 ผ่านตัวละคร ฟินนีย์ (เมสัน ทาเมส) เด็กชายที่มักถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนรังแก จนกระทั่งวันหนึ่ง ฟินนีย์ ได้ถูกลักพาตัวโดย นักฉก (อีธาน ฮอว์ค) และนำเขาไปขังไว้ในห้องใต้ดิน ในระหว่างที่โดนขังอยู่นั้น ฟินนีย์ได้พบว่ามีโทรศัพท์ปริศนาอยู่ในห้อง ที่เขาสามารถติดต่อสื่อสารกับเหล่าวิญญาณเด็กๆ ที่ถูกฆ่าก่อนหน้านี้ได้ จนนำมาสู่การเอาชีวิตรอดสุดระทึก ผสมบรรยากาศที่น่าขนลุก

แม้จะมาพร้อมพลอตหนังที่ดูเป็นหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ ในที่ปิดตาย แต่สำหรับ The Black Phone นับว่าเป็นหนังที่เต็มไปด้วยเนื้อหา และดีเทลล์ที่มากกว่านั้น ตลอดทั้งเรื่องหนังพาคนดูย้อนไปสำรวจวิถีชีวิตของอเมริกาในปี 1978 ที่เป็นปีที่เต็มไปด้วยฆาตกรต่อเนื่อง และคดีสะเทือนขวัญ ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ คือการบูลลี่ในโรงเรียน ความเป็นคนชายขอบ และปัญหาครอบครัว

หนังสามารถใช้ช่วงองก์ 1 ของเรื่องอธิบายที่มาของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ แม้จะมีช่วงที่เนิบช้าไปบ้าง แต่ก็ทำให้คนดูรู้สึกร่วม และอยากเอาใจช่วยตัวละคร ฟินนีย์ ไปตลอดทั้งเรื่องก่อนที่องก์ 2 เป็นต้นไปหนังจะกระหน่ำความตื่นเต้น ปนสยองมาอย่างต่อเนื่อง

ในแง่ของความเป็นหนังเอาชีวิตรอด หนังมาพร้อมสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้ ที่ไม่ได้มีวิธีการเอาตัวรอดที่หวือหวา หรือแปลกใหม่มากนัก แต่ความพิเศษของ The Black Phone คือการที่หนังเล่นกับความลึกลับ น่ากลัวของโทรศัพท์ ที่ทุกครั้งที่ตัวละครรับ จะมีความน่ากลัว และบรรยากาศที่ชวนลุ้นกว่าเดิม และเพิ่มอรรถรสให้คนดูตื่นเต้นไปกับหนังมากยิ่งขึ้น

ด้านการแสดงในเรื่องนี้ ที่โดดเด่นที่สุดต้องขอยกให้ อีธาน ฮอว์ค ที่รับบทคนโรคจิตได้อย่างน่าขนลุก ทั้งความคิด พฤติกรรม โดยเฉพาะแววตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก จนต้องยกให้เป็นหนึ่งในบทคนโรคจิตที่มีความน่ากลัวเป็นธรรมชาติที่สุด ส่วนด้าน เมสัน ทาเมส ที่มารับบทหลักในหนังยาวเรืองแรก ก็นับว่าถ่ายทอดบทบาทเด็กชายที่ต้องเอาชีวิตได้อย่างสมจริง ยอดเยี่ยม

โดยรวม The Black Phone เป็นหนังระทึกขวัญ/สยองขวัญ สายบันเทิงอีกเรื่องที่ทำออกมาได้อย่างสนุก ชวนติดตาม หนังมีความครบรส ทั้งความเป็นหนังเอาชีวิตรอด หนังผี และหนังดราม่า ที่ผสมผสานกันได้อย่างกลมกล่อมลงตัว ใครที่ชอบงานระทึกขวัญ พลอตล้ำๆ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Black Phone ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวหนัง Guillermo del Toro’s Pinocchio: พินอคคิโอ เวอร์ชันดาร์ก ผ่านการตีความโดย กิแยร์โม เดล โตโร

รีวิวหนัง Guillermo del Toro's Pinocchio: พินอคคิโอ เวอร์ชันดาร์ก ผ่านการตีความโดย กิแยร์โม เดล โตโร

อีกหนึ่งหนังอนิเมชัน ที่หยิบนิทานคลาสสิกที่เด็ก ๆ ทุกคนรู้จักกันดี อย่าง พินอคคิโอ มาถ่ายทอดโดยเวอร์ชันนี้เป็นการถ่ายทอดผ่านวิสัยทัศน์ของผู้กำกับดีกรีออสการ์อย่าง กิแยร์โม เดล โตโร (The Shape of Water) มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบท ร่วมกับเจ้าพ่ออนิเมชัน สต้อปโมชันอย่าง มาร์ค กุสตาฟซอง ที่มาพร้อมเนื้อหาที่พิเศษ และแตกต่างกว่าเวอร์ชันอื่น ๆ

สำหรับ  Guillermo del Toro’s Pinocchio จะเป็นเรื่องราวของ พินอคคิโอ ที่มีพื้นหลังเป็นช่วงที่อิตาลี อยู่ในช่วงที่ถูกปกครองโดยรัฐบาลเผด็ตการของ มุสโสลินี เมื่อ เก้ปเปตโต ช่างซ่อมนาฬิกาที่สูญเสียลูกชายจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงคราม ด้วยความโศกเศร้าที่เกินจะรับได้ ทำให้ เก้ปเปตโต ตัดสินใจประดิษฐ์หุ่นไม้ขึ้นมาเพื่อหวังเป็นตัวแทนลูกชายของเขา ก่อนที่หุ่นไม้ดังกล่าวจะได้รับพรจากนางฟ้า ให้มีชีวิต และมีชื่อว่า พินอคคิโอ

แม้ว่าจะมีการปรับบริบทเนื้อหาให้มีความต่างจากเวอร์ชันดั้งเดิมไปพอสมควร แต่สำหรับใน Guillermo del Toro’s Pinocchio จะยังคงเป็นการนำเสนอเนื้อหาที่อิงตามเนื้อหาต้นฉบับ มีการพูดถึงความสัมพันธ์ของพ่อลูก การผจญภัย และอันตรายจากคนแปลกหน้า ที่ยังมีกลิ่นอายของนิทานเด็กไว้ เพียงแต่เด็กสำหรับหนังเวอร์ชันนี้อาจต้องมีวุฒิภาวะประมาณหนึ่ง

เดล โตโร ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบเดียวกับที่เขาเคยทำใน Pan’s Labyrinth คือการนำเสนอการผจญภัยของเด็ก ที่ต้องเผชิญกับภาวะช่วงสงคราม ที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย การพลัดพลาก ที่ในเรื่องนี้ เดล โตโร ก็ยังถ่ายทอดออกมาแบบตรงไปตรงมา ไร้ปราณี โดยเฉพาะวิธีการพูดถึงความตาย การสูญเสีย ที่เหมือนเป็นการมอบข้อคิดให้แก่ทั้งผู้ใหญ่ และเด็ก ๆ ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้

ไม่ใช่แค่การหยิบประเด็นที่เติบโตมากขึ้นเท่านั้น แต่ใน พินอคคิโอ เวอร์ชันนี้ ยังมีการนำเสนอมาเพื่อวิพากษ์ความเลวร้ายของรัฐบาลเผด็จการ ที่นำโดย มุสโสลินี ทั้งความเลือดเย็น การส่งเด็กไร้เดียงสาให้เป็นอาวุธสงคราม ที่ทำออกมาได้อย่างน่าสะเทือนอารมณ์

นอกจากด้านเนื้อหาที่ผสมผสานการเมือง ประวัติศาสตร์ และเนื้อหาที่เติบโตขึ้นแล้ว ใน Guillermo del Toro’s Pinocchio คือการจัดเต็มไปด้วยความเป็นศิลปะของอนิเมชันแนว สต้อปโมชัน ที่ในเรื่องนี้มีการจัดองค์ประกอบศิลป์ได้อย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่โทนสีที่ใช้ การออกแบบตัวละคร วิธีการเคลื่อนไหวของตัวละคร ที่สร้างความเพลิดเพลินแก่คนดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

Guillermo del Toro’s Pinocchio นับว่าเป็นการตีความพินอคคิโอ ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยความแตกต่าง ความแปลกใหม่ ที่เพิ่มความเติบโตให้กับนิทานเรื่องนี้ไปอีกระดับแล้ว อนิเมชันเรื่องนี้ก็ยังเปี่ยมด้วยความเป็นศิลปะ และความบันเทิงของภาพยนตร์ ที่เหมาะแก่คนดูทุกเพศทุกวัย

สามารถรับชม Guillermo del Toro’s Pinocchio ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิวหนัง The Pale Blue Eye: หนังสืบสวนฟิล์มนัวร์ เล่าเรื่องแบบ Slow Burn เน้นความสมจริง ถ่ายทอดความดำมืดของผู้คน

รีวิวหนัง The Pale Blue Eye: หนังสืบสวนฟิล์มนัวร์ เล่าเรื่องแบบ Slow Burn เน้นความสมจริง ถ่ายทอดความดำมืดของผู้คน

ผลงานหนังแนวสืบสวนสอบสวน พีเรียดเรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ หลุยส์ บายาร์ด โดยเวอร์ชันหนังได้ สก้อต คูเปอร์ (Black Mass) มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบท พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง คริสเตียน เบลล์ (Thor: Love and Thunder) มารับบทนำ ร่วมด้วย แฮร์รี เมลลิง (The Queen Gambit)

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ออกัสตัส แลนดอร์ (คริสเตียน เบลล์) ยอดนักสืบที่ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาทำการสืบคดีฆาตกรรมปริศนาของนักเรียนตำรวจรายหนึ่งที่ถูกฆ่าโดยการแขวนคอ และผ่าหัวใจออกไป ออกัสตัส ต้องทำการสืบสวนด้วยการร่วมมือกับ เอ็ดการ์ อลัน โพ (แฮร์รี่ เมลลิง) นักเรียนตำรวจผู้หลงไหลในด้านกวี เมื่อทั้งสองเริ่มสืบหาความจริงไปเรื่อย ๆ ก็ได้พบว่ามีความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะเป็นคนวงในของโรงเรียนตำรวจ

ตัวหนังมาพร้อมการดำเนินเรื่องในรูปแบบหนังฟิล์มนัวร์ Slow Burn ที่จะมีการนำเสนอที่เนิบช้า ไม่มีฉากแอ็คชัน หรือฉากระทึกขวัญมากนัก แต่จะเน้นไปที่การสืบสวน การค่อย ๆ ตามหาความจริงของตัวละคร อย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้อารมณ์แบบหนัง เดวิด ฟินเชอร์ยุคเก่าอย่าง Se7en, Zodiac ที่มีบรรยากาศที่อึมครึม มึดหม่น ตลอดทั้งเรื่อง

จุดขายของหนังคือบทที่สามารถถ่ายทอดการสืบสวนของตัวละครออกมาได้อย่างน่าติดตาม โดยหนังได้ใช้ความเป็นคู่หูระหว่างตัว ออกัสตัส และ โพ มาเป็นจุดขาย ไม่ต่างจาก โฮล์ม และวัตสัน ซึ่งเนื้อเรื่องจะค่อย ๆ ไต่ระดับความเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่าตามหาหลักฐาน การเผชิญหน้ากับสถานการณ์เสี่ยงตาย ที่ให้คนดูได้ตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่อง

เคมีการแสดงของ คริสเตียน เบลล์ และแฮร์รี เมลลิง นับว่าเป็นจดขายสำคัญของเรื่อง ทั้งสองสามารถถ่ายทอดเคมีการเป็นนักสืบได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะคริสเตียน เบลล์ ก็ยังคงมอบการแสดงที่โดดเด่น และน่าจดจำให้หนังเรื่องนี้ ในขณะที่ด้าน แฮร์รี เมลลิง ก็ถ่ายทอดบทดราม่าออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะไม่ได้เป็นตัวหลัก และยังเทียบรัศมี เบลล์ไม่ติด แต่ก็นับว่าเป็นอีกบทบาทการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงหนุ่มผู้นี้

น่าเสียดายที่แม้ว่า The Pale Blue Eye จะมีวัตถุดิบในการเป็นหนังสืบสวนฟิล์มนัวร์ที่ดี แต่ทว่าหนังกลับเลือกเดินเรื่องแบบสูตรสำเร็จไปพอสมควรทำให้หลาย ๆ ฉากของหนัง ไม่อิมแพคต่อความรู้สึกของคนดูได้เท่าที่ควร แม้หนังจะพยายามสับขาหลอกแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ด้านพาร์ทดราม่าที่ว่าด้วยปูมหลังของตัวละครหนังก็ทำออกมาได้ไม่สุด ทั้ง ๆ ที่หนังมีประเด็นที่สามารถทำได้ดีกว่านี้

อย่างไรก็ตาม The Pale Blue Eye ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังสืบสวนสอบสวน ที่ทำออกมาได้สนุก สมจริง หนังมีความกลมกล่อมลงตัวของการแสดงที่ยอดเยี่ยม และบทหนังที่น่าติดตาม แม้ว่าจะมีสูตรสำเร็จที่เดาง่ายไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นอีกเรื่องที่คอหนังสืบสวนห้ามพลาด

สามารถรับชม The Pale Blue Eye ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Call Me Chihiro หนังดราม่าจากญี่ปุ่น

รีวิวหนัง Call Me Chihiro หนังดราม่าจากญี่ปุ่น

เรียกได้ว่าปีนี้ยังคงเป็นช่วงคาขึ้นของ คอนเทนต์จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีหนัง และซีรีส์ให้ชมในสตรีมต่างๆ อย่างครบทุกแนว ทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น Gannibal ใน Disney+ Hotstar และ Slam Dunk The First Dunk ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ล่าสุดใน Netflix ก็ได้มี Call Me Chihiro หนังดราม่า ฟีลกู้ดจาก Netflix ที่ได้นักแสดงสาวสวยอย่าง คาสุมิ อาริมูระ (Rouroni Kenshin: Final Chapter Part 2) มาแสดงนำ

Call Me Chihiro จะว่าด้วยเรื่องราวของ จิฮิโระ (คาสุมิ อาริมูระ) หญิงสาวที่ทำงานในร้านเบนโตะ สิ่งที่ทำให้เธอไม่เหมือนคนอื่นคือ เธอนั้นเคยทำงานให้บริการทางเพศมาก่อน ซึ่งทำให้เธอมีลูกค้าผู้ชายมาอุดหนุนเป็นจำนวนมาก โดยจิฮิโระ เป็นคนที่เป็นจุดเด่นในด้านการมองโลกที่สดใส มีน้ำใจแก่ทุกคน ด้วยพลังบวกในชีวิตนี้เอง ที่ทำให้ จิฮิโระ ได้ดึงดูดผู้คนที่มีปัญหากับชีวิต ให้เข้ามาเติมเต็มกันและกัน จนเป็นความสัมพันธ์ที่แสนอบอุ่น ละมุนหัวใจมากมาย

ตัวหนัง Call Me Chihiro มาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องของหนังดราม่าญี่ปุ่นที่หลายคนคุ้นเคย โดยหนังจะเน้นการเล่าแบบ Slow Burn ค่อยๆ พาคนดูไปสัมผัสชีวิตตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีการเน้นบทสนทนา และการแสดงอารมณ์ มากกว่าการถ่ายทอดเป็นฉาก ซึ่งเล่าออกมาอย่างครบรส ทั้งดราม่าสะเทือนใจ และฟีลกู้ด

จุดขายของหนังคือตัวละคร จิฮิโระ ที่เป็นแกนกลางของเรื่อง ที่จะพาผู้ชมไปเห็นทั้งด้านสวยงาม และด้านดาร์ก ที่ชีวิตคนๆ หนึ่งจะได้พบเจอ ความน่าสนใจคือการสร้าง Mind Set ของตัวละคร ที่มีความคิดบวกในแบบที่ไม่เหมือนใคร ชวนให้คนดูรู้สึกเต็มเติมไปกับวิธีคิด และการกระทำต่างๆ ในขณะเดียวกันหนังก็ยังมีความตรงไปตรงมา ในการที่จะนำเสนอภาพชีวิตอีกด้าน ที่พูดถึงสังคมกลางคืน และชีวิตของหญิงขายบริการด้วยเช่นกัน ทำให้หนังเรื่องนี้มีความไม่ขาวสุด และไม่เทาจนเกินไป

ในพาร์ทการแสดง คาสุมิ อาริมูระ สามารถถ่ายทอดบทบาทจิฮิโระ ออกมาได้อย่างน่าจดจำตั้งแต่นาทีแรก จนนาทีสุดท้ายของหนัง ซึ่งในเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นบทบาทที่น้อย แต่มาก ที่แม้จะไม่ได้มีฉากอารมณ์เยอะมาก แต่การแสดงที่เข้าถึงอารมณ์ ทำให้คนดูสามารถรู้สึกร่วมไปกับ จิฮิโระ ได้เป็นอย่างดี

โดยรวม Call Me Chihiro เป็นงานดราม่าน้ำดีจากญี่ปุ่นอีกเรื่อง ที่มาพร้อมการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม หนังสามารถนำเสนอเรื่องราวชีวิตหลากหลายมุม ที่มีทั้งด้านขาว และดำ พร้อมทั้งสอดแทรกดพลังบวกเข้าไปได้อย่างสวยงาม

สามารถรับชมหนัง Call Me Chihiro ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Tetris: หนังที่สามารถหยิบเรื่องราวการแย่งชิงลิขสิทธิ์เกมในตำนาน

รีวิวหนัง Tetris: หนังที่สามารถหยิบเรื่องราวการแย่งชิงลิขสิทธิ์เกมในตำนาน

หากใครที่โตมาในยุค 90 เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่เคยเล่นเกมที่ชื่อว่า Tetris เกมตัวต่อ 8 บิท ที่เล่นง่าย สนุก แต่ด้วยเบื้องหลังของเกมนี้ที่น่าสนใจมากกว่าที่คิด จนเกิดเป็นโปรเจกต์หนังผลงานการกำกับโดย จอห์น เอส บาร์ด (ซีรีส์ Vinyl) และเขียนบทโดย โนอาห์ พิงค์ (ซีรีส์ Genius) ภายใต้การสร้างโดย Apple TV+

เรื่องราวของ Tetris จะว่าด้วยเหตุการ์ในปี 1988 เมื่อ แฮงค์ โรเจอร์ (ทารอน อีเกอร์ตัน) นักพัฒนาเกม และคนทำการตลาดในธุรกิจเกม ได้เกิดสนใจเกม Tetris ที่เป็นผลงานการพัฒนาโดย อเล็กซี่ (นิกิตา อีเฟอร์มอฟ) โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซีย แต่ทว่าการคว้าลิขสิทธิ์เกมนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมีอีกบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ที่ต้องการลิขสิทธิ์เกมนี้เช่นกัน สงครามธุรกิจ อันลุ้นระทึกในประเทศรัสเซียก็ได้เริ่มขึ้น

ความน่าสนใจของ Tetris คือการที่หนังไม่ได้เป็นแนวทำธุรกิจ ให้แรงบันดาลใจเหมือนหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ แต่นี่คือหนังดราม่า ระทึกขวัญ ที่หยิบเหตุการณ์การแย่งชิงลิขสิทธิ์เกม ออกมาได้อย่างตื่นเต้น ชวนระทึก ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของหนัง พร้อมด้วยการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย และอาจเปลี่ยนมุมมองที่คุณรู้สึกต่อเกม Tetris ไปโดยสิ้นเชิง

ตัวหนังเลือกใช้ลูกเล่นการนำเสนอ ด้วยการใช้ภาพ 8 บิท ในการช่วยเล่าเรื่องให้คนดูเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งการเล่าแบบหนังระทึกขวัญ ที่เหมือนให้ตัวละครเดินทางทำภารกิจต่างๆ มีสงครามจิตวิทยา สงครามธุรกิจ ที่น่าติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาร์ทที่เป็นการเล่าเรื่องในรัสเซีย ที่นับว่าเป็นไฮไลท์ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ และยังสามารถะสะท้อนภาพการมเมืองในยุคสงครามเย็นได้อย่างดีเยี่ยม

นอกจากในด้านของความสนุก ความบันเทิงแล้ว ใน Tetris ยังเป็นหนังที่เต็มไปด้วยการบันทึกประวัติศาสตร์วงการเกม ที่เหมือนได้พาคนดูที่เคยเป็นเด็กๆ ยุค 90 ได้กลับมารื้อฟื้นความทรงจำอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของเกมบอย และนินเทนโด รวมถึงยุคสมัยอันรุ่งเรืองของเกม 8 บิท

ด้านการแสดง ทีมนักแสดงนำในเรื่องต่างปล่อยของออกมาแบบสมน้ำสมเนื้อ ทารอน อีเกอร์ตัน เรียกได้ว่าเป็นผู้แบกหนังเรื่องนี้ ให้คนดูอยากร่วมลุ้น ร่วมเอาใจช่วยกับตัวละครนี้ไปตั้งแต่ต้นจนจบ

โดยรวม Tetris เป็นอีกหนึ่งหนังสร้างจากเรื่องจริง ที่ทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น ไม่แพ้หนัง Fiction เลย หนังเล่าเรื่องให้เข้าใจง่าย ย่อยง่าย และอัดแน่นด้วยความบันเทิง และสาระที่เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับเกมอันโด่งดังนี้

สามารถรับชมหนัง Tetris ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

เตรียมผจญภัยในโลกต่างมิติ ไปกับ 3 ซุปเปอร์ฮีโร่ในตัวอย่างล่าสุด The Flash

เตรียมผจญภัยในโลกต่างมิติ ไปกับ 3 ซุปเปอร์ฮีโร่ในตัวอย่างล่าสุด The Flash

เรียกได้ว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์จากค่าย DC ที่แฟนๆ ทั่วโลกต่างจับตามองสำหรับหนัง The Flash หนังเดี่ยวเรื่องแรกของมนุษย์สายฟ้า ที่รวดเร็วที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมจัดเต็มเซอร์ไพรส์ ล่าสุดทาง Warner Bros. ได้ปล่อยตัวอย่างที่ 2 ของหนังมาให้ได้ดูแล้ว ก่อนเตรียมฉายในเดือนมิถุนายนนี้

เรื่องราวของ The Flash จะว่าด้วยเหตุการณ์ที่ แบร์รี่ (เอสร่า มิลเลอร์) หรือเดอะแฟลช ได้ใช้พลังของตัวเอง ในการเดินทางย้อนเวลาเพื่อแก้ไขอดีตของเขา แต่ทว่าการกระทำของเขาดันส่งผลต่ออนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง จนเกิดความโกลาหลของมิติเวลา ทำให้ แบร์รี่ ดันหลุดไปในช่วงเวลาที่ นายพลซอร์ด (ไมเคิล แชนนอน) เดินทางมาทำลายโลก ทางเดียวที่แบร์รี่จะสามารถแก้ไขเหตุการณ์นี้ได้ คือการขอร้องให้ แบทแมน (เบน เอฟเฟล็กซ์ และ ไมเคิล คีตัน) ร่วมต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ และแก้ไขไทม์ไลน์ทุกอย่าง ให้เป็นเหมือนเดิม

ในตัวอย่างที่ 2 นี้ หนังได้เผยฉากให้เห็นถึงฉากแอ็คชันใหม่ๆ เพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะฉากการต่อสู้ของแบทแมน ซูปเปอร์เกิร์ล และเดอะแฟลช ทั้งสองคน ที่ทำออกมาได้อย่างตื่นตาตื่นใจ เต็มไปด้วยฉากที่ทำมาเพื่อเสิร์ฟแฟนหนัง DC ตั้งแต่ยุค 90 จนถึงปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม เพิ่มความน่าดูมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

หนังเป็นผลงานการกำกับโดย แอนดี้ มุสเชติ (It: Chapter 2) เขียนบทโดย โจดี้ ฮาโรลด์ (Edge of Tomorrow) และ คริสตินา ฮอดสัน (Bumblebee) นำแสดงโดย เอสร่า มิลเลอร​ (Fantastic Beasts) และ เบน เอฟเฟล็ก (Air) ที่ทั้งคู่จะกลับมารับบทเดิมอีกครั้งหลังจากใน Justice League สมทบด้วย ไมเคิล คีตัน (ซีรีส์ Dope Sick) ที่กลับมารับบทแบทแมน อีกครั้งในรอบ 30 ปี, ไมเคิล แชนนอน (Man of Steel) และ นักแสดงหน้าใหม่ ซาซ่า คาลลี ที่ประเดิมงานแสดงเป็นครั้งแรกในบท ซูปเปอร์เกิร์ล

สำหรับ The Flash นับว่าเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่ถูกคาดหวัง และจับตามองมากๆ สำหรับแฟน DC เพราะเป็นหนังที่รวมตัวละครที่แฟนๆ คิดถึง รวมทั้งยังเป็นเหตุการณ์ใหญ่ของจักรวาลหนัง DC ที่เคยมีมา นับตั้งแต่ใน Justice League Snyder’s Cut และยังอาจเป็นการปูทางสู่หนังฮีโร่ DC ยุคใหม่ที่ได้ เจมส์ กันน์ (The Suicide Squad) มารับหน้าที่ดูแลโปรเจกต์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โดย The Flash มีกำหนดฉาย 15 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Warner Bros.

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Devotion: หนังแอ็คชั่น ดราม่า เครื่องบินรบ ที่เล่าเรื่องได้อย่างสนุก ครบรส

รีวิวหนัง Devotion: หนังแอ็คชั่น ดราม่า เครื่องบินรบ ที่เล่าเรื่องได้อย่างสนุก ครบรส

นอกจากจะมีหนังแอ็คชั่นเครื่องบินรบอย่าง Top Gun Maverick แล้ว อีกหนึ่งผลงานแนวเดียวกันที่น่าจับตามองไม่แพ้กันคือ Devotion หนังแอ็คชั่น ดราม่า ผลงานการกำกับของ เจดี ดิลลาร์ด (Sweetheart) ที่สร้างจากหนังสือของ อดัม มาร์คอส ที่เขียนจากเรื่องจริงของมิตรภาพทหารอากาศ ในช่วงปี 1950

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวมิตรภาพของ เจสซี่ บราวน์ (โจนาธาน เมเจอร์) และ ทอม​ ฮัดเนอร์ (เกรน โพเวล)สองนักบินอากาศ ที่ได้ร่วมกันเรียนรู้มิตรภาพ และกลายเป็นสหายร่วมรบในสงครามเกาหลี ซึ่งทั้งสองจะต้องร่วมกับทำงานเป็นทีมเวิร์ค เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ แม้ว่าจะต้องเสี่ยงอันตราย และมีชีวิตเป็นเดิมพันก็ตาม

Devotion เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่น ว่าด้วยทหาร ที่มาพร้อมสูตรสำเร็จแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอความเป็นชาตินิยม ผ่านคาแร็คเตอร์ของตัวละคร การพูดถึงมิตรภาพในรั้วทหาร ความกล้าหาญ และการเสียสละ ซึ่งความเป็นสูตรสำเร็จในเรื่องนี้ก็นับว่าทำได้ดีไม่แพ้กับ Top Gun Maverick เลย

ตัวหนังอาจไม่ได้เน้นขายฉากแอ็ตชั่นเป็นจุดขายเหมือนหน้าหนัง แต่ตัวหนังจะโฟกัสไปที่ มิตรภาพของสองตัวเอกของเรื่อง ที่ต่างค่อย ๆ เรียนรู้ ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นเส้นเรื่องที่สร้างความตราตรึงใจให้คนดูในเกือบตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนี้หนังยังสอดแทรกความเป็น ประวัติศาสตร์ การเมือง เช่น การเหยียดผิว การเหยียดเชื้อชาติ เอาไว้ในหนังได้อย่างลงตัว

ด้านฉากแอ็คชั่นในหนังก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี หนังมีฉากสงครามที่ดุดัน เข้มข้น สมจริง แม้ว่าหากเทียบกับ Top Gun Maverick เรื่องนี้จะทำได้ไม่โดดเด่น หวือหวาเท่า แต่ฉากรบบนน่านฟ้าก็สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ไม่แพ้กัน แต่ที่น่าเสียดายที่สุดคือการที่คนไทยไม่ได้ดูงานโปรดักชั่นเหล่านี้ในโรงภาพยนตร์ แต่ต้องดูผ่านสตรีมแทน

ในส่วนของการแสดง ทั้ง เกรน โพเวล และโจนาธาน เมเจอร์ ต่างมีเคมีการแสดงที่เข้ากันได้อย่างลงตัว แม้ในเรื่องนี้ทั้งสองจะไม่ได้แสดงบทอารมณ์มากนัก แต่การรับส่งบทของทั้งคู่ ก็สร้างความประทับใจให้คนดูได้ไม่น้อย

โดยรวม Devotion เป็นอีกหนังแอ็ตชั่น ดราม่า ที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยมตามมาตรฐานหนังสงครามฟอร์มยักษ์ หนังมีพาร์ทดราม่าที่น่าจดจำ ฉากสงครามที่ชวนตื่นตาตื่นใจ ใครที่ยังติดใจหนังแบบ Top Gun Maverick นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Devotion ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomstoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง Don’t Breathe 2: หนังภาคต่อที่มาพร้อมโทนเรื่องที่ต่างจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง จากหนังระทึกขวัญ สู่หนังแอคชั่น ล้างแค้นอย่างเต็มตัว จนเสน่ห์เดิม ๆ ที่ควรจะเป็นของหนังถูกกลบหายไปหมดสิ้น

รีวิวหนัง Don’t Breathe 2

ภาคต่อของหนังระทึกขวัญ ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ตื่นเต้นจนไม่กล้าหายใจในโรงภาพยนตร์มาแล้วเมื่อปี 2016 โดยครั้งนี้ได้มีการเปลี่ยนมือผู้กำกับ จาก เฟเด อัลวาเรซ (Evil Dead) มาเป็น โรโด ซาเย็ค มือเขียนบทคู่ใจที่กระโดดมารับหน้าที่กำกับหนังเป็นครั้งแรก ส่วน อัลวาเรซ กลับมารับหน้าที่ร่วมเขียนบท และอำนวยการสร้างให้

โดย Don’t Breathe 2 จะว่าด้วยเรื่องราวหลังจากภาคแรกเป็นเวลา 8 ปี หลังจากที่ นอร์แมน นอร์ด สตรอม หรือชายตาบอด (สตีเฟน แลง) ได้รอดชีวิตมาได้ เขาก็ได้ทำการรับเด็กผู้หญิงนาม ฟินิกซ์ (เมเดอลีน เกรซ) มาเลี้ยงดูเป็นลูก โดย นอร์แมน ได้สอนทักษะการเอาชีวิตรอดต่าง ๆ นา ๆ ให้เด็กสาว และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันโดษ และสงบสุข จนกระทั่งคืนหนึ่ง ได้มีกลุ่มอันธพาลได้บุกเข้ามายังบ้านของนอร์แมน โดยครั้งนี้พวกมันมีเป้าหมายคือ ฟีนิกซ์ ด้านนอร์แมนเลยต้องกลับมาออกล่าอีกครั้ง เพื่อปกป้องคนที่เขารัก

แม้ว่าจะใช้คำว่าภาคต่อ แต่สำหรับ Don’t Breathe 2 กลับเป็นหนังที่มาพร้อมโทนเรื่องที่ต่างจากภาคแรกอยู่พอสมควร จากที่ในภาคที่แล้วหลายคนต่างจดจำตัวละคร นอร์แมน ในฐานะชายตาบอดสุดคลั่ง ที่น่าสะพรึงกลัว แต่ในภาคนี้หนังได้เปลี่ยนให้ นอร์แมนกลายเป็นพระเอกของเรื่องแทน ทำให้ในภาคนี้แทนที่เราจะได้เห็นบรรยากาศชวนระทึก ตื่นเต้นจนไม่กล้าหายใจแบบในภาคแรก แต่ในภาคนี้หนังกลับมาพร้อมบรรยากาศของหนังแอคชั่น ล้างแค้นแบบ John Wick แทน

ตัวหนังมาพร้อมความบันเทิงตามสไตล์หนังล้างแค้นสูตรสำเร็จ คือการค่อย ๆ สร้างเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของตัวละคร จนนำมาสู่การไล่ล่า การเอาชีวิตรอดตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าหนังจะไม่ได้ขายความน่ากลัว ความโรคจิตของ นอร์แมน เท่ากับภาคแรก แต่กระนั้นความโหด ความรุนแรง ของหนังก็ได้หาได้น้อยลง หนังยังจัดเต็มด้วยวิธีการต่อสู้ การฆ่า ที่น่ากลัว ดุดันไม่แพ้ภาคแรก

หนึ่งในความโดดเด่นของหนังภาคนี้คือการที่หนังเพิ่มมิติ เพิ่มหัวจิตหัวใจให้ตัวละครนอร์แมน มากยิ่งขึ้น ในภาคนี้เราจะได้เห็นด้านที่อ่อนโยน และอ่อนแอของตัวละครนี้ การกระทำของเขาในภาคนี้ดูมีเหตุมีผลที่มีน้ำหนักชัดเจน ทั้งนี้ต้องขอยกเครดิต ให้การแสดงของ สตีเฟน แลง ที่ยังคงเป็นตัวหลักของเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม เขายังถ่ายทอดบทบาทได้ถึงอารมณ์ทั้งพาร์ทแอคชั่น และพาร์ทดราม่า พร้อมทั้งเคมีการแสดงของเขาและ เมเดอลีน เกรซ ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว ทั้งสองสามารถทำให้คนดูเชื่อในความเป็นพ่อลูก และอยากเอาใจช่วยทั้งสองไปจนจบเรื่อง

อย่างไรก็ตาม Don’t Breathe ก็ถือว่าเป็นอีกหนังภาคต่อที่ทำออกมาได้น่าผิดหวังเมื่อเทียบกับภาคแรก ตัวหนังไม่สามารถหยิบนำจุดชายของหนังภาคแรกออกมาใช้งานได้อย่างเต็มที่อย่างที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความตื่นเต้น ความระทึก ในคอนเซปต์ตวามลุ้นจนไม่กล้าหายใจ แต่ในภาคนี้หนังกลับไม่สามารถสร้างอารมณ์ตื่นเต้น ใด ๆ แบบดังกล่าวได้ นอกจากนี้ด้านเหล่าวายร้ายของเรื่องที่น่าจะเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของหนัง ในภาคนี้ก็กลับทำบทออกมาได้แห้งแล้ง ขาดมิติ ขาดความน่าจดจำ ไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวม Don’t Breathe 2 เป็นหนังภาคต่อที่มาพร้อมโทนเรื่องที่ต่างจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง ในภาคนี้หนังมาพร้อมความบันเทิงแบบหนังแอคชั่น ล้างแค้น เรท R สูตรสำเร็จ ที่สามารถมอบความสนุก ตื่นเต้น ตลอดทั้งเรื่อง แต่น่าเสียดายที่หนังกลับทิ้งเสน่ห์จากภาคแรกไปอย่างน่าเสียดาย หนังไม่สามารถสร้างความตื่นเต้น ความระทึก แบบที่หลายคนคาดหวังได้ พร้อมทั้งบทหนังที่ดร็อปลงกว่าภาคแรก จนมันกลายเป็นหนังภาคต่อที่น่าผิดหวังเมื่อเทียบกับมาตรฐานอันดีเยี่ยมจากภาคแรก แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นงานที่เลวร้ายจนน่าสาปส่งแต่อย่างใด

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Come Play: หนังสยองขวัญทุนต่ำ

รีวิวหนัง Come Play: หนังสยองขวัญทุนต่ำ

Come Play คือหนังสยองขวัญ ทุนต่ำ ผลงานการกำกับ และเขียนบทโดย จาคอบ เชส ที่ได้ดัดแปลงมาจากหนังสั้นของเขาเอง โดยเรื่องราวของหนังจะพูดถึง โอลิเวอร์ (แอซชี่ โรเบิร์ตสัน) เด็กชายที่มีปัญหาในการเข้าสังคม จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับเพื่อนในจินตนาการที่มีชื่อว่า แลร์รี่ ที่มาจากในหนังสือนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่เขาได้รู้จักแลร์รี่ เขาก็พบว่ามีพลังงานบางอย่างเขามาติดตามเขา และมันก็ได้นำพาความสยองมาสู่เขา และครอบครัว

ความน่าสนใจของ Come Play คือการที่หนังมาพร้อมรูปแบบของหนังสยองขวัญสูตรสำเร็จ ที่เล่นกับความกลัวของเด็ก โดยหนังเลือกสร้างบรรยากาศที่น่ากลัว ผ่านจินตนาการ และความหวาดกลัวของเด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมืดภายในบ้าน ที่หนังเรื่องนี้สามารถนำเสนอออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

หนังสามารถสร้างความน่ากลัว ด้วยทุนสร้างอันมีจำกัด ด้วยการเล่นกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวคนเราในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น เงาปริศนาจากการเล่นฟีลเตอร์ เสียงหรือเงาปริศนาที่ซ่อนตามจุดต่างๆ ที่สามารถสร้างประสบการณ์ความกลัวร่วมกับคนดูได้แทบทุกฉาก โดยที่หนังแทบไม่ต้องมีฉากตุ้งแช่ที่เล่นใหญ่ หรือเอฟเฟกต์ชวนสยดสยองเหมือนหนังผีส่วนใหญ่เลย

ไม่ใช่แค่การนำเสนอความน่ากลัวที่ Come Play ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเท่านั้น แต่ในด้านการผสมผสานพาร์ทดราม่า ในหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน หนังสอดแทรกประเด็นการบูลลี่ของเด็กๆ เรื่องของครอบครัวที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของแม่ลูก ที่ถูกใส่เข้ามาช่วยเพิ่มมิติให้เรื่องราวของหนังได้ลงตัวมากๆ

ในด้านของข้อเสียของ Come Play ก็ยังเป็นการที่หนังค่อนข้างมาตามสูตรสำเร็จเยอะเกินไป ประกอบกับความที่พลอตของหนังเหมาะกับความเป็นหนังสั้นมากกว่า ทำให้ตลอดเวลา 90 นาที ของหนังอาจมีช่วงที่เนื้อหาวนอยู่กับที่ รวมทั้งที่มาของผีในเรื่อง ก็เล่าได้ไม่สุดเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม Come Play ก็นับว่าเป็นหนังสยองขวัญสูตรสำเร็จยุคหลังๆ ที่ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของหนังแนวนี้ หนังมีจังหวะการเล่าเรื่องที่ชวนลุ้น ชวนติดตาม และให้บรรยากาศความสยองแบบบ้านๆ ไม่เล่นใหญ่ แต่ความน่ากลัวอัดแน่นไม่แพ้หนังสยองขวัญทุกใหญ่ๆ เลย

สามารถรับชม Come Play ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง