วิวหนัง Snake Eyes: G.I.Joe Origins หนังแอคชั่นบล็อกบัสเตอร์

วิวหนัง Snake Eyes: G.I.Joe Origins หนังแอคชั่นบล็อกบัสเตอร์

Snake Eyes:G.I.Joe Origins คือหนังรีบูตจักรวาล G.I.Joe ครั้งใหม่ของ Paramount Pictures ที่ครั้งนี้หนังเลือกที่จะเปิดจักรวาลด้วยเรื่องราวต้นกำเนิดของตัวละคร สเนค อายส์ (เฮนรี่ โกลดิ้ง) หนึ่งในตัวละครยอดนิยมตลอดกาลของแฟรนไชส์นี้

หนังจะพาเราย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของ สเนค อายส์ ตั้งแต่ในวัยเด็ก เมื่อเขาต้องสูญเสียพ่อจากการถูกฆาตกรรมโดยชายปริศนา จนเมื่อโตมาเป็นหนุ่ม สเนค อายส์ ได้เก็บสะสมความแค้น และเป็นนักสู้สังเวียนใต้ดิน จนกระทั่งเขาได้รับการเสนองานจาก เคนตะ (ทาเคฮิโระ ฮิระ) ยากูซ่ามากอิทธิพล ที่ได้เสนอให้เขาเช้าไปรับบทเป็นสายลับ ผ่านการตีสนิทกับ ทอมมี่ (แอนดรูว์ โคจิ) ผู้สืบทอดตระกูลนินจาโบราณ โดยเคนตะหวังจะครอบครองพลังลึกลับของตระกูลนี้มาเป็นของตน ซึ่งข้อเสนอของ เคนตะคือ การมอบตัวคนที่ฆ่าพ่อของ สเนค อายส์ มาให้เขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป สเนค อายส์ เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลของ ทอมมี้ ทำให้เขาเกิดความลังเลว่าจะหักหลังเพื่อนรัก หรือจะเดินหน้าแก้แค้นต่อไป

แม้ว่าจะเป็นหนังโปรดักชั่นจากฮอลีวูด แต่ Snake Eyes เลือกที่จะเล่าเรื่องสไตล์เอเชียแบบเพียว ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร ที่เป็นทีมนักแสดงเอเชียเกือบทั้งหมด และรูปแบบการเล่าเรื่องที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแก๊งสเตอร์ญี่ปุ่น ความสนุกของหนังเรื่องนี้เลยไม่ใช่เพียงฉากแอคชั่นฟอร๋มยักษ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเล่นกับวัฒนธรรมการต่อสู้แบบเอเชียที่ใส่มาแบบจัดเต็ม

หนังใช้วิธีเล่นกับความสัมพันธ์ของสองตัวเองอย่าง สเนค อายส์ และทอมมี่ ที่มีทั้งมิตรภาพ การหักเหลี่ยมเฉือนคม ที่เรียกได้ว่ามีเกือบครบทุกอรรถรส ในขณะที่ฉากแอคชั่น ก็เข้าขั้นทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะสกิลการใช้ดาบของตัวละคร ที่ทำออกมาได้ดุดัน หนักแน่น แบบหนังซามูไร และดูไม่โหดเลือดสาดจนเกินไป นอกจากนี้หนังก็ยังซ่อนอีสเตอร์เอ้ก และการเอาใจแฟนบอยของแฟรนไชส์ชุดนี้ที่น่าจะถูกใจไม่น้อย

ด้านการแสดง เฮนรี่ โกลดิ้ง ถือว่ารับบทนำได้ค่อนข้างดี แม้ว่าบทจะดูขาดมิติไปบ้าง แต่เรื่องนี้เขาก็ได้สลัดภาพหนุ่มเรียบร้อยจาก Crazy Rich Asian สู่นักฆ่ามาดนิ่งที่ทั้งเท่ และมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ในขณะที่ แอนดรูว์ โคจิ ก็ถ่ายทอดบทพระรอง ได้ดีแบบสูสี ความเท่ของสองดาราชายนับว่าเป็นจุดขายสำคัญที่แบกหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้ นอกจากนี้บทสมทบของ อีโก อูไวส์ ก็เป็นตัวขโมยซีน ที่เติมเต็มให้หนังเรื่องนี้มีความเป็นเอเชียที่ครบเครื่องมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม Snake Eyes ก็ยังเป็นหนังที่สนุกแบบตามสูตรสำเร็จของหนังแอคชั่นบล็อกบัสเตอร์ ทั่วไป หนังแทบไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือมีอะไรให้น่าจดจำมากนัก โดยเฉพาะในด้านของบทที่ยังมีปัญหา บางช่วงหนังเดินเรื่องไวจนทำให้บทดูขาดมิติ รวมทั้งความสัมพันธ์ของตัวละครที่ยังนำเสนอออกมาแห้งแล้ง ขาดพลังให้อยากเอาใจช่วยเท่าที่ควร

โดยรวม Snake Eyes: G.I.Joe Origins ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังแอคชั่นบล็อคบัสเตอร์ ที่พอดูเอาบันเทิง แบบถอดสมองดู หนังมาพร้อมกลิ่นอายแบบหนังญี่ปุ่น โปรดักชั่นฮอลีวูดแบบเดียวกับ 47 Ronins ที่เปลี่ยนบริบทโดยเพิ่มกลิ่นอายแบบหนังอาชญากรรม นอกจากนี้หนังบังปูทางเพื่อขยายจักรวาลตัวเองในอนาคตได้อย่างน่าสนใจ

สามารถรับชม Snake Eyes:G.I.Joe Origins ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง tick, tick…BOOM! อีกหนึ่งหนัง Musical

รีวิวหนัง tick

ปี 2021 ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีทองของหนัง Musical ก็ว่าได้ เพราะนอกจากต้นปีจะมี In the Heights ของ จอห์น เอ็ม ชู (Crazy Rich Asian) แล้ว ปลายปีก็ยังมี West Side Story งานรีเมคจากหนังดังเมื่อปี 1961 โดย สตีเวน สปีลเบิร์ก (Ready Player One) อีกด้วย และก่อนจะหมดปี Netflix ก็ยังมี tick, tick…BOOM! หนังผลงานการกำกับของเจ้าพ่อละครเวทีชื่อดัง ลิน-มานูเอล มิลันดา ที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ โจนาธาน ลาร์สัน นักแต่งเพลงละครเวทีเจ้าของผลงาน Rent

tick, tick…BOOM! จะพาคนดูย้อนเวลาไปยังช่วงยุค 90 ในช่วงที่ โจนาธาน ลาร์สัน (รับบทโดย แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) กำลังจะมีอายุครบ 30 ปี ในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่ทว่า ลาร์สัน กลับพบว่าเขายังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเลย ในขณะที่เพื่อน รวมถึงคนรักกำลังไปได้ดีกับชีวิต และความฝันของพวกเขา ลาร์สัน ที่ทำงานประจำเป็นพนักงานร้านกาแฟ และต้องแต่งเพลงประกอบละครเวทีของตัวเอง เพื่อนำไปเวิร์คช็อป และพิสูจน์ว่าผลงานของเขาจะสามารถสร้างชื่อ และสานฝันของเขาให้เป็นจริงได้หรือไม่

สำหรับ tick, tick…BOOM! เรียกได้ว่าเป็นหนัง Musical ตามสูตรอีกเรื่อง ที่ยังพูดถึงประเด็นที่คุ้นเคยอย่าง ความฝัน ชนชั้น และความรัก โดยบริบทของหนังที่ออกมานั้นชวนให้นึกถึงหนังดังอย่าง La La Land เพียงแต่หนังได้ปรับบริบทให้เน้นไปที่การทำตามความฝัน มากกว่าการพูดถึงเรื่องความรัก

ส่วนที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือการนำเสนอสะท้อนภาพของคนที่กำลังจะเข้าสู่วัย 30 ที่เป็นเหมือนการสิ้นสุดวัยหนุ่ม และเป็นวัยที่หลาย ๆ คนประสบความสำเร็จในชีวิต ตัวหนังได้ใช้เสียงนาฬิกาเสมือนเป็นระเบิดเวลาที่กำลังจะนับถอยหลังสู่วัย 30 ของ โจนาธาน พร้อมทั้งยังเปรียบเปรยตัวเขากับผู้คนในวัยเดียวกันที่ประสบความสำเร็จ ตลอดทั้งเรื่องการเห็นตัวละครพยายามแข่งกับเวลาที่จำกัด คือความสนุกที่ชวนระทึก ชวนติดตามตลอดเรื่อง นอกจากนี้ตัวหนังก็เป็นเหมือนการให้กำลังใจกับคนที่อยู่ในวัยเดียวกับ โจนาธาน หรือคนที่แก่กว่า ให้ยังเดินตามความฝัน แม้ว่าวัยจะล่วงเลยแค่ไหนก็ตาม

ในด้านของเพลงที่อยู่ในหนัง จะมีความเป็นเพลงป้อป ร็อค ที่มีความร่วมสมัย ทำให้มีความไพเราะ หลายเพลงชวนติดหู จนอยากไปเปิดฟังอัลบั้มเพลงจากหนังเรื่องนี้ โดยเพลงในหนังก็เป็นการหยิบนำเหตุการณ์ในชีวิตของตัวละครมานำเสนอ เนื้อหาแต่ละเพลงจะพูดถึงเรื่อง ความฝัน ความสัมพันธ์ ความวุ่นวายของเมืองนิวยอร์ก และชนชั้น ซึ่งทำให้คนดูรู้สึกบันเทิง และเพลิดเพลินไปกับหนังได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ต้องขอชื่นชม แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ที่นอกจากจะแบกหนังไว้ทั้งเรื่องแล้ว เขายังโชว์พลังเสียงที่น่าฟังจนขอยกให้เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่น่าจดจำที่สุดอีกบทบาทหนึ่งของเขา

tick, tick…BOOM! เรียกได้ว่าเป็นอีกหนัง Musical ที่แม้ว่าประเด็นของหนังอาจไม่ได้แตกต่างจากหนังแนวนี้มากนัก แต่ด้วยความที่หนังเล่นกับปัญหาเรื่องวัย ที่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเผชิญ ทำให้หนังเรื่องนี้สามารถสร้างความรู้สึกร่วมกับคนดูได้ไม่มากก็น้อย พร้อมทั้งเพลงในหนัง และการแสดงของทีมนักแสดงที่ถ่ายทอดบทบาทได้ถึงอารมณ์ นี่จึงเป็นหนึ่งในผลงานที่คอหนังไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม tick, tick…BOOM! ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/YJserno8tyU

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Seoul Vibe  หนังแอ็คชั่น อาชญากรรม

รีวิวหนัง Seoul Vibe  หนังแอ็คชั่น อาชญากรรม

เรียกได้ว่ายังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่เป็นขาชึ้นของหนังเกาหลี ที่มีหนังฟอร์มยักษ์ฉายทั้งในโรงภาพยนตร์ และในสตรีม ล่าสุดกับหนังเรื่อง Seoul Vibe ผลงานหนังจาก Netflix ที่ได้ มุนฮยองซอง (As One) มารับหน้าที่กำกับ และได้ทีมนักแสดงนำมากฝีมือมาร่วมงานแบบคับจอไม่ว่าจะเป็น ยูอาอิน (Burning), โกคยองพโย (ซีรีส์ Reply 1988), พัคจูฮยอน (ซีรีส์ Mouse) และอีคยูฮยอง (Prison Playbook)

Seoul Vibe จะว่าด้วยเรื่องราวของกรุงโซลในช่วงปี 1988  โดยจะโฟกัสไปที่กลุ่มนักแข่งรถชังกเยดง ที่พวกเขาได้รับข้อเสนอที่ไม่อาจปฎิเสธ ด้วยการทำงานเป็นคนลักลอบขนเงินผิดกฎหมายของนักการเมืองที่มีอำนาจ ภารกิจนี้ก็ได้ ดงอุค (ยูอาอิน) นักดริฟต์มือหนึ่ง ผู้เป็นหัวหน้าทีมชังกเยดง ทำหน้าที่ขับรถ และนำทีมวางแผนต่าง ๆ ให้ แต่ทว่าเมื่อพวกเขาทำงานผิดกฎหมายนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ได้พบกับอันตรายมากมายที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน

จุดขายของ Seoul Vibe คือการหยิบบริบทของหนังรถซิ่ง มาผสมผสานกับวัฒนธรรมยุค 80 ที่ผสมผสานกันได้ลงตัว น่าสนใจ ผู้ชมจะได้เห็นลีลาการดริฟต์รถคลาสสิก ที่ไม่ค่อยมีให้เห็นในหนังยุคนี้ ในขณะเดียวกันก็มีการสอดแทรกบริบทของยุค 80 ผ่านคอสตูม เพลงประกอบ โดยเฉพาะการพูดถึงสังคมเกาหลีที่ตอนนั้นกำลังเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค และการสอดแทรกประเด็นการเมืองเข้าไปเป็นตัวเดินเรื่องให้น่าสนใจ และมีมิติมากขึ้น

ในด้านของฉากแอ็คชั่น หนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี ระดับเทียบเท่าหนังอย่าง Fast & Furious ภาคแรก ๆ โดยหนังอาจไม่ได้เน้นขายฉากวินาศสันตะโรมาก แต่จุดขายคือการนำเสนอลีลาการขับรถของตัวเอก ที่ถ่ายทอดออกมาได้สนุก น่าตื่นตาตื่นใจ และเต็มไปด้วยลูกเล่นมากมายที่ถือว่าทำได้ดีในฐานะฉากแอ็คชั่นไล่ล่า

จุดด้อยของ Seoul Vibe คือความที่หนังมัวแต่โฟกัสไปที่การขายฉากแอ็คชั่นไล่ล่ามากจนเกินไป จนทำให้บทหนังดูดรอปลงมาอย่างน่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่บริบทต่าง ๆ น่าจะสามารถเอื้อให้หนังสามารถมีมิติ และออกมาดาร์กได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะด้านฝั่งตัวละครหลักของเรื่อง ที่บทค่อนข้างธรรมดามจนแทบจะขาดเสน่ห์ หรือความน่าเอาใจช่วยจากคนดู

โดยรวม Seoul Vibe เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่นจากเกาหลี ที่นับว่าทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะในแง่โปรดักชั่น หนังทำฉากขับรถไล่ล่าออกมาได้สนุก ชวนลุ้น ที่เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับหนังเกาหลีให้ไปไกลขึ้น ใครชอบงานแอ็คชั่นป้อปคอร์นที่ดูง่าย ไม่ได้มีอะไรให้ต้องคิดต่อเยอะ นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Seoul Vibe ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: https://www.hancinema.net/

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Uncharted อีกหนึ่งหนังที่ดัดแปลงมาจากเกม

รีวิวหนัง Uncharted อีกหนึ่งหนังที่ดัดแปลงมาจากเกม

Uncharted คืออีกหนึ่งหนังที่ดัดแปลงมาจากเกมดังชื่อเดียวกัน โดยในเวอร์ชั่นหนังก็ได้ผู้กำกับขาประจำของ Sony Pictures อย่าง รูเบน เฟรตเชอร์ จาก Venom มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้นักแสดงหนุ่มน้อยอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ (Spider-Man: Far From Home) มารับบทเป็น นาธาน เดรค สมทบด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง มาร์ค วอห์ลเบิร์ก (Father Stu) และ แอนโตนิโอ แบนเดอราส (The Skin I Live In)

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ นาธาน เดรค (ทอม ฮอลแลนด์) บาร์เทนเดอร์ ผู้มีงานอดิเรกในการสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ การล่าสมบัติ และมีฝีมือการปีนป่าย การลักขโมยที่รวดเร็วจนหาตัวจับได้ยาก จนกระทั่งวันหนึ่ง นาธาน ได้รับการติดต่อจาก วิคเตอร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) นักล่าสมบัติที่ชักชวนเขาให้ไปร่วมตามหาสมบัติบนเรืออัปปาง ซึ่งภารกิจนี้ มันก็ได้เชื่อมโยงกับการหายตัวไปของพี่ชายของนาธานอีกด้วย นอกจากนี้ในภารกิจพวกเขายังต้องเผชิญกับกลุ่มนักล่าสมบัติผู้ชั่วร้ายที่มีเป้าหมายเดียวกับพวกเขาเช่นกัน

Uncharted นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังแอ็คชั่น บล็อคบัสเตอร์ ที่มาตามสูตรหนังล่าสมบัติ โดยจะมีส่วนผสมของความเป็น Indiana Jones, Tomb Raider และ National Treasure ที่จะขายความเนิร์ดของตัวเอกที่สนใจประวัติศาสตร์ และมีความสามารถในการบู๊ การเอาชีวิตรอดที่เหนือกว่าปกติ โดยในด้านเนื้อหาของพาร์ทผจญภัย ในเรื่องนี้อาจค่อนข้างสอบตก เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังเสียเวลาไปกับการลักขโมย การทำภารกิจในเมือง รวมถึงการปูเรื่อง ทำให้คนี่หวังจะได้เห็นการไล่ล่าในป่า หรือสมบัติที่เต็มไปด้วยกับดัก อาจได้เห็นค่อนข้างน้อยในเรื่องนี้

แต่กระนั้นหนังก็ถือว่าตอบโจทย์ในความเป็นหนังแอ็คชั่น ดูเอามันส์ เพราะตลอดเรื่องราวผู้ชมจะได้เห็นฉากบู๊หลายรูปแบบ ที่เวอร์วัง อลังการ แบบไม่สนความสมเหตุสมผล โดยเฉพาะฉากบู๊ของ นาธาน เดรค ที่ ทอม ฮอลแลนด์ ยังคงรูปแบบการบู๊ที่เน้นลีลาพลิ้วไหว เหมือนกับบทไอ้แมงมุมของเขา

ส่วนที่น่าเสียดายของ Uncharted คือความที่หนังยังตกม้าตายในเรื่องการสร้างมิติให้ตัวละคร เพราะนอกจากตัวละคร นาธาน เดรค ที่ดูมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว ตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องกลับมีคาแรคเตอร์ที่เบาบาง ขาดจุดหมายปลายทาง และไร้ซึ่งความน่าจดจำ แม้กระทั่งตัวละครของ แอนโตนิโอ แบนเดอราส ที่หนังไม่สามารถใช้ความสามารถของนักแสดงผู้นี้ออกมาได้ดีเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม Uncharted ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังที่สร้างจากเกม ที่ทำออกมาได้ไม่น่าผิดหวัง หนังยังสามารถหยิบเสน่ห์ของความเป็นเกม มาใช้งานได้เป็นอย่างดี ตลอดทั้งเรื่องอัดแน่นด้วยความบันเทิงแบบบล็อคบัสเตอร์ ที่เล่นใหญ่ และพร้อมปูทางสู่ภาคต่อในอนาคตให้แฟน ๆ ได้ติดตาม

สามารถรับชม Uncharted ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Avatar: The Way of Water ภาคต่อที่ทำออกมาได้สมการรอคอย

รีวิวหนัง Avatar: The Way of Water ภาคต่อที่ทำออกมาได้สมการรอคอย

ผลงานหนังภาคต่อที่คนทั่วโลกรอมานานกว่า 13 ปี โดยในภาคนี้ยังคงได้ เจมส์ คาเมร่อน (Aliens) กลับมารับหน้าที่กำกับอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะมาพร้อมเทคนิคการสร้างด้าน CGI ที่สมจริง สวยงามยิ่งกว่าเดิม พร้อมได้ทีมนักแสดงนำชุดเดิมกลับมารับบทเดิม นำทีมโดย แซม เวิร์ธธิงตัน (Clash of the Titans), สตีเฟน แลง (Don’t Breathe), โซอี้ ซัลดานา (Guardians of the Galaxy) และซิกัวนีย์ วีฟวิง (Aliens)

ในภาคนี้หนังจะว่าด้วยเรื่องราวต่อจากภาคแรก เมื่อ เจค (แซม เวิร์ธธิงตัน) ที่ได้ตัดสินใจใช้ชีวิตแบบชาวนาวี และสร้างครอบครัวร่วมกับ เนธิรี (โซอี้ ซัลดานา) จนพวกเขามีลูกด้วยกัน 4 คน แต่ทว่าความสงบสุขของพวกเขาก็สิ้นสุดลง เมื่อ นายพลควอริตช์ (สตีเฟน แลง) ได้ทำการโคลนร่างตนเองเป็นชาวนาวี และรวบรวมกำลังทหารมนุษย์เพื่อทำลายดาวนาวีอีกครั้ง พร้อมมุ่งเป้าเพื่อล้างแค้น เจค ที่ฆ่าเขาตาย จนนำมาสู่สงครามระหว่างชาวนาวี และมนุษย์ครั้งใหม่

Avatar: The Way of Water นับว่าเป็นการกลับมาที่สมการรอคอย แม้ว่าหนังจะทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกไปนานถึง 13 ปี หนังก็สามารถสานต่อเนื้อหาจากภาคแรกได้อย่างลงตัว ในภาคนี้ผู้ชมจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครในบริบทที่แตกต่างจากภาคแรก หนังได้เพิ่มบริบทของความเป็นหนังครอบครัวลงไป เพือเป็นแก่นหลักของเรื่อง และยังคงไว้ซึ่งประเด็นของการอนุรักษ์ธรรมชาติ ความโหดร้ายของการทำลายธรรมชาติโดยมนุษย์ ที่ถูกเล่าได้อย่างชวนติดตาม

ด้านภาพของหนัง เรียกได้ว่าดีงาม และโดดเด่นกว่าหนังหลาย ๆ เรื่องในยุคนี้ โดยเฉพาะการสร้างสรรค์ดาวนาวีในมุมที่ผู้ชมไม่ได้เห็นในภาคแรก โดยเฉพาะบรรยากาศของทะเล ที่นับว่าเป็นไฮไลท์เด็ดของหนัง ฉากใต้น้ำมีความงดงาม มีการออกแบบฉากต่อสู้ ไล่ล่าในน้ำที่สนุก น่าตื่นเต้น ยิ่งหากผู้ชมได้ดูในระบบ 3D ที่ทำมาเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็จะให้อรรถรส และอารมณ์ร่วมกับหนังที่มากขึ้นกว่าเดิม

นอกจากฉากใต้น้ำ และการออกแบบการสร้างที่ทำออกมาได้สวยงาม ชวนตื่นตาตื่นใจแล้ว ด้านฉากแอ็ตชั่นในหนังก็ทำได้ยิ่งใหญ่ สมกับที่เสกลหนังที่มีทุนสร้างสูงที่สุดในโลก หนังสามารถหยิบทุกองค์ประกอบของตัวเอง มาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า และสามารถสร้างฉากสงครามที่ยกระดับจากภาคแรกไปอีกระดับ

น่าเสียดายที่ด้านบทหนัง และการเล่าเรื่องใน Avatar: The Way of Water กลับทำออกมาได้ไม่สุดเท่าที่ควร โดยเนื้อหาของภาคนี้ มาตามสูตรหนังภาคต่อทั่วไป ที่มาพร้อมพลอตง่าย ๆ ที่คนดูสามารถพอคาดเดาทิศทางเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก นอกจากนี้หนังยังใช้เวลา 3 ชั่วโมงของเรื่องได้ไม่ดีเท่าที่ควร บางช่วงหนังพยายามขาย CGI โดยที่เนื้อหาของหนังยังวนอยู่กับที่ จนทำให้บางฉากของหนังชวนง่วงเหงาหาวนอน

โดยภาพรวม Avatar: The Way of Water ถือว่าเป็นหนังภาคต่อที่ยกระดับจากภาคแรกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านงานภาพ การสร้างสรรค์ฉาก CGI และฉากแอ็คชั่นที่ตื่นตาตื่นใจในแทบทุกวินาทีของหนัง แม้ว่าพลอตจะสูตรสำเร็จไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นหนังที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การรับชมในโรงภาพยนตร์

สามารถรับชม Avatar: The Way of Water ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Whole Truth งานสยองขวัญเรื่องล่าสุดจาก Netflix

รีวิวหนัง The Whole Truth งานสยองขวัญเรื่องล่าสุดจาก Netflix

ผลงานหนังไทยเรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ครั้งนี้ยังคงกลับมาในแนวระทึกขวัญ/สยองขวัญ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ได้ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง (เปนชู้กับผี) มารับหน้าที่กำกับ โดยหนังมาพร้อมพลอตสุดแปลก โดยจะว่าด้วยเรื่องราวของ พิม (ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์) และ พัท (แม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์) สองพี่น้องที่จู่ ๆ ก็พบว่าพวกเขามีคุณตา (หมู-สมภพ เบญจาทิกุล) และคุณยาย (หมู-สมภพ เบญจาทิกุล) ที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ทั้งสอง ต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านของ ตาและยาย เนื่องจากแม่ของพวกเขา (นิโคล เทริโอ) ได้ประสบอุบัติเหตุอ จนบาดเจ็บสาหัส

แต่ทว่าระหว่างที่อยู่กับ ตาและยาย ทั้ง พิม และพัท ต่างก็ได้พบกับเรื่องแปลก ๆ ของบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของตาและยาย รวมถึงรูปริศนา บนกำแพงบ้าน ที่มักจะส่งเสียงชวนขนลุกทุกครั้งที่ปรากฏ และเมื่อไปส่องดูในรูนั้น ก็จะพบกับภาพอันน่าสยดสยองของการตายของเด็กหญิงคนหนึ่ง ทั้ง พิม และพัท ได้เริ่มเกิดความสงสัยในที่มาที่ไปของ รู และบ้านหลังนี้ จนมันได้ทำให้ทั้งคู่ได้พบความจริงสุดช็อคของครอบครัวตัวเอง

The Whole Truth ยังคงเป็นงานสยองขวัญตามสไตล์ของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ที่ยังคงพาคนดูไปพบกับความระทึก ความสยองผ่านบรรยากาศของบ้าน ที่ให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดทั้งเรื่อง พร้อมทั้งการสร้างสรรค์พฤติกรรมของตัวละครที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ความแปลกประหลาด ทำให้ตลอดการดูหนังเรื่องนี้ หนังให้ความรู้สึกที่ชวนหวาดกลัวบ้าน ใกล้เคียงกับที่ วิศิษฎ์ เคยทำไว้ใน เปนชู้กับผี

นอกจากบรรยากาศที่ลึกลับแล้ว หนึ่งในไฮไลท์ของ The Whole Truth ก็คือการสร้างสรรค์ความสยองขวัญของรูปริศนา ในเรื่อง ให้ดูน่ากลัว และชวนน่าค้นหา โดยเฉพาะการนำเสนอการหลอกของผีในเรื่อง ที่แทบจะคาดเดาไม่ได้ว่าจะหลอกหลอนในรูปแบบไหน ซึ่งการหลอกหลอน และความลึกลับของรูนั้นก็ได้เป็นการปูทางไปสู่บทสรุปสุดหักมุม ที่เกินจะคาดเดา

แต่น่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่หนังเต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นดีที่จะสามารถทำให้กลายเป็นหนังสยองขวัญที่น่ากลัว และสนุกได้ แต่ The Whole Truth กลับไม่สามารถนำวัตถุดิบเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าได้ ในขณะที่ด้านบทก็เต็มไปด้วยปัญหามากมาย โดยอย่างแรกที่เห็นได้อย่างเด่นชัดคือ หนังพยายามใส่หลายประเด็นเข้าไปในตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบูลลี่ในโรงเรียน ความเหลื่อมล้ำของสังคม ประเด็นเรื่องครอบครัว ไปจนถึงการสืบหาความจริง เมื่อหนังพยายามเล่นกับทุกประเด็นเหล่านี้ในเรื่องเดียว ทำให้หนังไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะเป็นความน่ากลัว หรือพาร์ทดราม่า ที่ทำออกมาได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ

ส่วนปัญหาในด้านบท ก็เป็นปัญหาที่ชัดเจนไม่แพ้กัน โดยเฉพาะบทสนทนาหลาย ๆ ช่วง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ จนบางช่วงมันออกมาดูตลก นอกจากนี้หนังก็พยายามทำให้ตัวเองเป็นหนังสยองขวัญหักมุม ที่ซ่อนทีเด็ดมากมายเอาไว้ในช่วงท้ายเรื่อง แต่ทว่าหนังกลับทำออกมาได้ไม่ถึงขั้น ทั้งนี้เนื่องจากการพยายามสับขาหลอกคนดูมากเกินไป จนทำให้ช่วงบทสรุปของหนังเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล และไม่สามารถสร้างเซอร์ไพรส์ใด ๆ ให้กับคนดูได้

โดยรวม The Whole Truth เป็นงานสยองขวัญจาก Netflix อีกเรื่องที่ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง แม้หนังจะได้มือสร้างหนังมากฝีมือมาทำหน้าที่กำกับ แต่หนังกลับไม่สามารถใช้ประโยชน์จากองค์ประกอบที่มีได้อย่างคุ้มค่า ตัวหนังเต็มไปด้วยปัญหาโดยเฉพาะด้านบทที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้ท้ายที่สุดนี่ก็กลายเป็นอีกงานที่ไม่น่าจดจำไปอย่างน่าเสียดาย

สามารถรับชม The Whole Truth ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/cIgD8SknhoM

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Where the Crawdads Sing หนังโรแมนติก ดราม่า

รีวิวหนัง Where the Crawdads Sing หนังโรแมนติก ดราม่า

ผลงานหนังแนวโรแมนติก ดราม่า อาชญากรรม ผลงานการกำกับโดย โอลิเวีย นิวแมน (First Match) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ เดอเลีย โอเวนส์ ที่ได้นักแสดดงสาวมาแรงอย่าง เดซ่ เอ็ดการ์-โจนส์ ที่มีผลงานอย่าง Fresh และ Under the Banner of Heaven มารับบทนางเอก

Where the Crawdads Sing จะว่าด้วยเหตุการณ์ในช่วงปี 1960 เรื่องราวของ คยา (เดซี่ เอ็ดการ์-โจนส์) หญิงสาวที่เติบโตมาในครอบครัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณริมบึง ที่ปรีกวิเวกจากเมืองใหญ่ และมีพ่อที่ชอบทำร้ายร่างกายเธอ และแม่ จนทำให้ท้ายที่สุดสมาชิกในครอบครัวของเธอก็ค่อย ๆ ทิ้งเธอไปทีละคน ๆ จนทำให้ คยา ต้องเติบโตมาโดยลำพัง จนกระทั่งเธอได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมเด็กหนุ่มจากเมืองใหญ่ ซึ่งคนทั้งเมืองต่างเชื่อว่าคนที่ปรีกวิเวกจากสังคมอย่างเธอนั้นคือคนร้ายของคดีนี้ คยา เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความบรุสุทธิ์ของเธอ

หนังมาพร้อมกับประเด็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ มีกลิ่นอายของความเป็นเรื่องโรแมนติกแบบเชย ๆ ที่หลาย ๆ คนคุ้นเคย ที่มักจะพูดถึงความรักที่ต้องพลัดพลาก และคนชายขอบของสังคม โดยจุดขายของหนัง คือการนำเสนอสภาพชีวิตของ คยา ที่นอกจากจะโดดเดี่ยวแล้ว เธอยังต้องต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ตนเองนั้นสามารถอยู่รอดในสังคม ซึ่งหนังได้สร้างคาแรคเตอร์ของ คยา ออกมาได้น่าจดจำ และชวนให้เอาใจช่วยตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง

ในด้านของความเป็นพาร์ทอาชญากรรม แม้ว่าตัวพลอต และโทนเรื่องจะเปิดออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ ทั้งบรรยากาศของการว่าความในศาล การสร้างความคลุมเครือให้คนดูได้ไปหาคำตอบ แต่กระนั้นเนื้อหาของหนังกลับไม่ได้โฟกัสไปที่การสืบหาความจริงเท่าไหร่ แต่ตัวหนังพยายามขายไปท่ีความโรแมนติกเป็นหลัก โดยหนังได้พูดถึงความสัมพันธ์ของ คยา กับชายหนุ่มสองคน ที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ซึ่งแม้ว่าในด้านพาร์ทโรแมนติกจะค่อนข้างมีความน้ำเน่าอยู่บ้าง แต่ก็สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู ให้อยากติดตามเนื้อเรื่องต่อไปได้เป็นอย่างดี

การแสดงของ เดซี่ เอ็ดการ์-โจนส์ ในเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเป็นอีกบทบาทที่โดดเด่น และน่าจดจำมาก ๆ ของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดบทบาทการสู้ชีวิต การดิ้นรนต่อสู้ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ รวมถึงบทบาทโรแมนติก ที่ทั้งงดงาม และยอดเยี่ยมมาก ๆ

ในด้านข้อเสียของหนัง ไม่พ้นความเป็นการเล่าเรื่องที่มีความเชยแบบผู้หญิง ๆ ที่เป็นการดำเนินเรื่องที่คนค่อนข้างคุ้นเคย และขาดความแปลกใหม่ คนดูพอสามารถคาดเดาเนื้อหาในเรื่องได้ รวมทั้งการใช้ความเป็นหนังอาชญากรรมมาเป็นตัวขาย แต่ท้ายที่สุดหนังกลับเล่าประเด็นนี้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ทำให้ท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้ก็เป็นเพียงหนังป้อปคอร์น ที่ไม่ได้มีแง่มุมใหม่ ๆ ให้ตีความนัก

โดยรวม Where the Crawdads Sing เป็นหนังโรแมนติก ดราม่า ผสมอาชญากรรม ที่เล่าเรื่องได้ค่อนข้างสนุก แม้หนังจะค่อนข้างขาดความแปลกใหม่ และมีความน้ำเน่าอยู่บ้าง แต่หนังก็ประสบความสำเร็จในด้านการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นงานที่เน้นดูเอาบันเทิง อาจไม่ได้มีอะไรให้คิดต่อมากนัก

Where the Crawdads Sing มีกำหนดฉายในไทย 22 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com FB : รวมพลคนบันเทิง

รีวิวหนัง Bones And All หนังโรแมนติก

รีวิวหนัง Bones And All หนังโรแมนติก

ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับสายอินดี้ คุณภาพอย่าง ลูก้า กัวดานีโน่ (Call Me By Your Name) ที่ครั้งนี้เขาได้หยิบนิยายของ คามิล เดอแองเจลิส มาดัดแปลง พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง ทีโมที ชาลาเมซ (Dune) มารับบทนำ ร่วมกับนักแสดงหน้าใหม่อย่าง เทย์เลอร์ รัสเซล (Waves)

Bones And All จะว่าด้วยเรื่องราวของ มาเรน (เทย์เลอร์ รัสเซล) หญิงสาวที่มีด้านมืดคือเธอนั้นชื่นชอบการกินเนื้อมนุษย์ จนบางครั้งเธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้ท้ายที่สุดพ่อแท้ ๆ ของเธอก็ต้องทิ้งเธอไป และทำให้เธอเองกลายเป็นคนที่ระหกระเหเร่ร่อน โดยจุดหมายของเธอคือการเดินทางไปตามแต่ละรัฐของอเมริกา เพื่อตามหาแม่ของเธอ ระหว่างทางเธอก็ได้พบกับ ลี (ทีโมที ชาร์ลาเมซ) ชายหนุ่มที่มีรสนิยมการกินเนื้อมนุษย์แบบเดียวกับเธอ จนทั้งสองก็ได้ร่วมเดินทาง และก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ ที่มีทั้งความอบอุ่น ปนความสยอง

ตัวหนังมาพร้อมการเล่าเรื่องที่ผสมผสานความเป็นหนังดราม่า โร้ดทริป โรแมนติก และสยองขวัญ ที่รวมกันได้อย่างลงตัว หนังพาคนดูไปสำรวจชีวิตของึคนชายขอบ ที่ในเรื่องนี้คือกลุ่มคนทีหลงไหลการกินเนื้อคน ที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้มีความแตกแยก และต้องหลบซ่อนตัวเองจากสังคม Bones And All เลยเป็นหนังที่มาพร้อมบรรยากาศที่เปลี่ยวเหงาของเหล่าตัวละครในเรื่อง

การดำเนินเรื่องของ Bones And All จะยังคงมาในรูปแบบ Slow Burn ที่ค่อย ๆ เล่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการพาคนดูไปร่วมเดินทางกับตัวละคร พร้อมค่อย ๆ สำรวจความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ในระหว่างทางนี้ก็จะมีการสอดแทรกประเด็นความรัก การค้นหาตัวตน มิตรภาพ รวมถึงความสยดสยองจากการกินเนื้อคนให้คนดูได้ลุ้นระทึกเป็นระยะ ๆ

พาร์ทสยองขวัญของเรื่องเรียกได้ว่าทำออกมาได้สุดสมกับการเป็นหนังว่าด้วยคนกินคน แม้ว่าหนังจะไม่ได้มีฉากการกินคนที่เห็นแบบจะ ๆ หรือการตายที่สยดสยอง แต่ด้วยเลือดจำนวนมากที่มีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง พร้อมทั้งเนื้อหา และบรรยากาศต่าง ๆ ที่หนังสร้างมาได้อย่างดี ทำให้เกือบตลอดทั้งเรื่องหนังสามารถสร้างความขนลุก ขนพองสยองเกล้าให้กับคนดูได้

ด้านการแสดง ในเรื่องนี้หนังยังได้ ทีโมที ชาลาเมซ มาเป็นทีเด็ด ด้วยการแสดงที่สะกดคนดูได้อย่างอยู่หมัด ในเรื่องนี้เขายังคงถ่ายทอดบทอารมณ์ออกมาได้ทรงพลังพอ ๆ กับการแสดงในเรื่อง Call Me By Your Name นอกจากนี้บทสยองในเรื่องนี้เขาก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่ากลัว และมีความน่าจดจำมาก ๆ ด้าน เทย์เลอร์ รัสเซล เองก็สามารถส่งอารมณ์ร่วมกับ ชาลาเมซ และเป็นอีกส่วนที่แบกหนังไว้ได้ดีไม่แพ้กัน

โดยรวม Bones And All เป็นอีกหนึ่งงานจาก ลูก้า กัวดานีโน่ ที่ยังคงมาตรฐานไว้ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานระหว่าง ดราม่า และความสยองขวัญ ที่ทำได้อย่างลงตัว สามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่เปลี่ยวเหงาของคนชายขอบอย่างคนกินคน ออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ จนกลายเป็นหนังรักรสชาติแปลกที่ทั้งซึ้ง ทั้งสยอง ในเวลาเดียวกัน

สามารถรับชม Bones And All ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง ปฏิบัติการณ์กู้หวย หนังคอเมดี้ อาชญากรรม

รีวิวหนัง ปฏืบัติการณ์กู้หวย หนังคอเมดี้ อาชญากรรม

ผลงานหนัง Original Netflix ไทย เรื่องล่าสุดที่ได้ผู้กำกับอารมณ์ดี พฤกษ์ เอมะรุจิ เจ้าของผลงาน ไบค์แมน และอีเรียมซิ่ง มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้ทีมนักแสดงดังมารวมตัวไว้แบบคับจอ นำทีมโดย สกาย วงศ์รวี นทีธร, มินนี่ ภัณฑิรา พิพิธยากร, แพท ณปภา ตันตระกูล, แจ๊ส ชวนชื่น, สมจิตร จงจอหอ และ ปาน ธนพร แวกประยูร

เนื้อหาของ ปฏิบัติการณ์กู้หวย จะว่าด้วยเรื่องราวของ เต (สกาย วงศ์รวี) เด็กหนุ่มที่ทำงานเป็นคนขายลอตเตอรี่ ที่วันหนึ่งชีวิตได้เล่นตลกเมื่อแผงของเขาได้มีหวยที่ถูกรางวัลที่หนึ่งอยู่ แต่ทว่าหวยชุดนั้นดันถูกเจ้าหนี้ของเขายึดเอาไป ทำให้ เต ต้องร่วมมือกับ บีท (มินนี่ ภัณฑิรา) ,โซ่ (แพท ณปภา),เหวิ่น (แจ๊ส ชวนชื่น) และ คุ้ง (สมจิตร จงจอหอ) เหล่าคนที่เป็นคนซื้อหวยชุดนั้น เพื่อร่วมกันทำการตามหาหวยขุดนี้กลับมา เพื่อนำเงินที่ได้ไปเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น

ตัวหนังยังคงมาพร้อมสไตล์การกำกับของ พฤษ์ เอมะรุจิ ที่นำเสนอความคอเมดี้ ผสมผสานกับความเป็นหนังทำภารกิจ ในเรื่องนี้จะเน้นไปที่การวางแผนปฏิบัติการณ์ตามหาหวย ที่เต็มไปด้วยการวางแผน การสับขาหลอก และกลยุทธ์ ที่ชวนให้นึกถึงหนังไทยแนวเดียวกันก่อนหน้านี้อย่าง อ้ายคนหล่อลวง ซึ่งจุดขายของหนังก็คือคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละครที่มีความโดดเด่น น่าสนใจที่แตกต่างกันไป และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การดำเนินเรื่องของหนังเป็นไปอย่างสนุก น่าติดตาม

ส่วนที่น่าสนใจของ ปฏิบัติการณ์กู้หวย คือการเลือกหยิบประเด็นของชนชั้นล่าง มานำเสนอได้อย่างสมจริง และสะท้อนออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงความคิดของชนชั้นล่าง ที่ฝากความหวังกับหวย รวมถึงการสร้างทั้ง 5 ตัวละครหลัก ที่เป็นตัวแทนของชนชั้นล่างแต่ละรูปแบบ ที่ต่างมีความฝัน ความต้องการ ที่ใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งประเด็นนี้ทำให้หนังสามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้อย่างดีเยี่ยม

ส่วนที่น่าเสียดายของ ปฏิบัติการณ์กู้หวย คือการที่หนังไม่สามารถนำเสนอเรื่องราวของพาร์ทปฏิบัติการณ์ให้ออกมาได้สนุก ชวนระทึกได้เท่าที่ควร หนังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากคาแรคเตอร์ตัวละครได้ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้หากเทียบกับงานก่อน ๆ ปฏิบัติการณ์กู้หวย กลับมีมุกตลกที่ค่อนข้างธรรมดา และไม่ตลกเท่ากับงานก่อน ๆ ของผู้กำกับ แต่กระนั้นหนังก็ยังมีเนื้อหาที่พอดูได้เพลิน ๆ เช่นเดียวกับลายเซ็นของผู้กำกับที่คุ้นเคย

โดยรวม ปฏิบัติการณ์กู้หวย เป็นหนังคอเมดี้ไทย ที่มาพร้อมความบันเทิงสูตรสำเร็จ ตามสไตล์งานของ พฤษ์ เอมะรุจิ ที่เต็มไปด้วยคาแรคเตอร์ตัวละครที่มีเสน่ห์ ชวนให้เอาใจช่วย และมีมุกตลกที่ขำบ้าง แป้กบ้าง เป็นอีกงานที่เหมาะแก่การดูเพื่อคลายเครียดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม ปฏิบัติการณ์กู้หวย ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

รีวิวหนัง The Tragedy of Macbeth หนังอินดี้ เปี่ยมคุณภาพโดย A24

รีวิวหนัง The Tragedy of Macbeth หนังอินดี้ เปี่ยมคุณภาพโดย A24

The Tragedy of Macbeth คือหนังเรื่องแรกประเดิมปี 2022 จาก Apple TV+ ที่ก่อนหน้านี้เคยสร้างเสียงฮือฮามาแล้วในเวที AFI Award จนได้รับรางวัล Movie of the Year ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นผลงานการร่วมสร้างของ Apple และ A24 เป็นงานกำกับเดี่ยวของ โจเอล โคเอ็น (Fargo)

โดยหนังเรื่องนี้เป็นการหยิบบทประพันธ์อันโด่งดังของ วิลเลียม เชคสเปียร์  มาสร้างในรูปแบบภาพยนตร์อีกครั้ง สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า Macbeth เกี่ยวกับเรื่องอะไรนั้น ขอเผยคร่าว ๆ ว่าบทประพันธ์นี้พูดถึงเรื่องราวของนักรบนาม แมคเบธ ที่ได้รับคำทำนายจากแม่มด 3 นางว่า เขาจะเป็นกษัตริย์องค์ถัดไปของสกอตแลนด์ แต่เมื่อได้ยินคำทำนายเช่นนั้น แมคเบธ ก็เกิดความทะเยอทะยาน ที่จะหาทางทำให้อำนาจ ตำแหน่งมาเป็นของตนดังคำทำนาย จนนำมาสู่การนองเลือด และโศกนาฏกรรม

สำหรับตัวหนังในเวอร์ชั่นนี้เรียกได้ว่ามีความโดดเด่น แตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อน ๆ พร้อมทั้งยังต่างจากหนังพีเรียตเรื่องอื่น ๆ โดยหนังได้ใช้วิธีการนำเสนอผ่านภาพที่เป็นขาวดำตลอดทั้งเรื่อง พร้อมทั้งยังใช้สัดส่วนภาพ 4:3 เช่นเดียวกับหนังคลาสสิก ทำให้งานที่ออกมานอกจากจะมีความบรรจง วิจิตรแล้ว ยังให้ความรู้สึกเหมือนการได้ดูหนังคลาสสิกดี ๆ แบบงานของ อิงมาร์ เบิร์กแมน หรือ อากิระ คะโรซาว่า อีกครั้ง

โดยงานภาพนอกจากความสวยงามแบบบรรยากาศของหนังขาวดำแล้ว งานกำกับภาพของ บรูโน เดลบอนเนล ก็ทำออกมาได้บรรจงงดงาม มีการวางองค์ประกอบภาพที่ทั้งสมมาตร และสื่อความหมายได้อย่างยอดเยี่ยม ราวกับว่าผู้ชมกำลังดูภาพวาดที่ร้อยเรียงกันเป็นเรื่องราวของหนัง

ในส่วนของการดำเนินเรื่อง หนังใช้รูปแบบการถ่ายทอดของละครเวที ที่เต็มไปด้วยบทพรรณนา บทพูดที่สะท้อนความคิดของตัวละคร ที่ค่อนข้างเป็นศัพท์สมัยก่อน ทำให้บทของเรื่องนี้ค่อนข้างมีความเข้าถึงยาก ยิ่งหากใครที่ไม่เคยรู้เรื่องราวของ แมคเบธมาก่อน อาจดูหนังไม่รู้เรื่องไปเลย นอกจากนี้ The Tragedy of Macbeth ยังต่างจากหนังพีเรียตของ A24 ก่อนหน้านี้อย่าง The Green Knight  ที่ในของ Macbeth นั้นหนังเลือกจะเน้นขายบทสนทนา มากกว่าขายงานโปรดักชั่น แต่ทีเด็ดคือหนังมีฉากแอคชั่นในช่วงท้าย ที่ค่อนข้างมาได้ถูกจังหวะ และดีงามมากทจนอยากยกให้เป็นฉากแอคชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของค่ายหนังอินดี้ค่ายนี้

แต่กระนั้น การเล่าแบบละครเวที ก็ได้เป็นเสน่ห์ที่ทำให้หนังได้ใช้พลังการแสดงของทีมนักแสดงได้อย่างคุ้มค่า เพราะทุกตัวละครในเรื่องต่างมีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อโศกนาฏกรรมในเรื่องทั้งสิ้น การแสดงของ เดนเซล วอชิงตัน และ ฟรานเซส แมคเดอมานน์ เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของหนังเพราะทั้งคู่ต่างรับส่งบทบาทกันได้อย่างยอดเยี่ยม และที่น่าตราตรึงสุดคือการแสดงของ แคทรีน ฮันเตอร์ ที่รับบทแม่มด ออกมาได้แปลก และมีความน่าขนลุกอยู่ในตัว

โดยรวม The Tragedy of Macbeth คืองานคุณภาพอีกเรื่องของ A24 ที่น่าจะถูกจดจำ และถูกพูดถึงในกลุ่มคอหนังรางวัล ตัวหนังมีความโดดเด่นในการนำเสนอที่ทั้งวิจิตรบรรจง และเต็มไปด้วยคุณค่าทางศิลปะ แต่มันอาจไม่ใช่งานที่ถูกใจคนดูหนังทั่วไปนัก แต่หากใครที่ชื่นชอบงานของ เช็กสเปียร์ นี่คืองานที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Tragedy of Macbeth ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง