รีวิวหนัง Venom: Let There be Carnage

รีวิวหนัง Venom Let There be Carnage

ผลงานภาคสองของหนัง Anti-Hero จากจักรวาล Spider-Man ของ Sony Pictures ที่ครั้งนี้ได้ แอนดี้ เซอร์คิส (Mowgli: Legend of the Jungle) มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้ทีมนักแสดงชุดเดิมกลับมาร่วมงานอีกครั้ง นำโดย ทอม ฮาร์ดี้ (Mad Max: Fury Road), มิเชล วิลเลี่ยม (Blue Valentine) และวู้ดดี้ ฮาร์เรนสัน (Zombieland) ที่ครั้งนี้มารับบทวายร้ายในภาคนี้อย่างเต็มตัว

หนังจะว่าด้วยเหตุการณ์หลังจากภาคแรก เมื่อ เอ็ดดี้ บล็อค (ทอม ฮาร์ดี้) นักข่าวหนุ่มที่ต้องปรับตัวใช้ชีวิตร่วมกับวีน่อม ปรสิตจากต่างดาวที่ต้องการอาหารตลอดเวลา แต่ด้วยความแตกต่างระหว่างคน กับเอเลี่ยนมทำให้ทั้งสองเป็นทั้งคู่หู และคู่กัด จนกระทั่ง เอ็ดดี้ ได้โอกาสไปทำข่าวของ คลีตัส คาเซดี้ (วู้ดดี้ ฮาร์เรนสัน) ฆาตกรต่อเนื่องชื่อดัง จากการพูดคุยครั้งนั้น เอ็ดดี้ก็ได้ข้อมูลสถานที่ลงมือฆาตกรรมของ คลีตัส จนสามารถเป็นหลักฐานทำให้เขาได้รับโทษประหาร แต่ในระหว่างที่ เอ็ดดี้ ได้ไปพบกับ คลีตัส อีกครั้งเขาดันเผลอทำให้ตนโดนคลีตัสกัดที่มือจนเลือดออก ทำให้ คลีตัส ได้รับพลังจากเลือดของ เอ็ดดี้ และก่อเกิดเป็น คาร์เนจ วายร้ายที่น่ากลัวไม่แพ้วีน่อม ที่พร้อมฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า

ตัวหนังในภาคนี้ค่อนข้างมาพร้อมโทนหนังที่ต่างจากภาคแรกไปพอสมควร ด้วยการที่หนังได้นำเสนอภาพความสัมพันธ์ระหว่าง เอ็ดดี้ และวีน่อม ในด้านที่ดูเป็นบั้ดดี้เกรียน ๆ เต็มไปด้วยฉากทะเลาะกันที่ชวนขำเกือบตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าตัวหนังจะยังคงมีความโหด ตามสไตล์ Anti-Hero อยู่บ้าง แต่ความดาร์ก ความลึกลับ ระทึกขวัญในภาคนี้กลับลดทอนลงอย่างเห็นได้ชัด

ตัวหนังค่อนข้างดำเนินเรื่องกระชับ รวดเร็ว ด้วยเวลาเพียง 90 นาทีหนังใช้วิธีการปูความสัมพันธ์ และนำเสนอตัวละครเก่า ใหม่ ภายในเวลาอันสั้น แม้จะทำให้มิติตัวละครดูเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังดีที่ผู้ชมยังพอสามารถสนุก และลุ้นไปกับการกระทำของตัวละครได้ โดยเฉพาะตัว คลีตัส ที่มีความดาร์กแบบฆาตกรต่อเนื่อง ที่มาพร้อมความเลือดเย็นที่สมดีกรี

ในด้านฉากแอคชั่นในเรื่องนี้ค่อนข้างน้อยกว่าภาคแรกอยู่พอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมที่ทีมผู้สร้างยังสามารถถ่ายทอดความสามารถอันร้ายกาจของตัวคาร์เนจ ออกมาได้ดีเยี่ยม แต่ละฉากการปรากฎตัวของคาร์เนจ มีความบ้าพลัง ดุเดือด และทำให้หนังเรื่องนี้มีกลิ่นอายความระทึกขวัญ/สยองขวัญอยู่บ้าง และด้วยการสร้างตัวร้ายที่ทรงพลัง ก็ทำให้ฉากแอคชั่นไคลแมกซ์ของภาคนี้ดูสนุก สมการรอคอย เต็มไปด้วยฉากให้ชวนลุ้น ชวนเอาใจช่วย

โดยรวม Venom: Let There be Carnage เป็นภาคต่อที่อาจไม่ได้ดีงามกว่าภาคแรกนัก หนังมีปัญหาด้านบท และการเล่าเรื่องที่ชัดเจน แต่กระนั้นหนังก็ยังคงมีความบันเทิงที่เบาสมอง ดูง่าย ย่อยง่าย ที่น่าจะถูกใจคอหนังแอคชั่น หรือใครที่เป็นแฟนหนังมาร์เวลอยู่บ้าง

สามารถรับชม Venom: Let There be Carnage ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวสารคดี The Rescue

รีวิวสารคดี The Rescue

สารคดีที่ถ่ายทอดภารกิจช่วยชีวิตทีม “หมูป่า” ผ่านมุมที่ต่างจากที่เคยรับรู้ ด้วยการเจาะลึกภารกิจ และเชิดชูนักดำน้ำ ที่ถูกนำเสนอออกมาได้ครบรส

ผลงานหนังสารคดีจาก National Geographic ที่สตรีมลง Disney+ โดยดป็นการหยิบเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี 2018 อย่างเหตุการณ์ช่วย 13 ชีวิตนักฟุตบอลทีม “หมู่ป่า” มานำเสนอในมุมที่ต่างจากการนำเสนอของสำนักข่าวโดยสิ้นเชิง

สารคดีใช้วิธีการนำเสนอเรียงตามไทม์ไลน์เหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 1 ไปจนถึงวันสุดท้ายของภารกิจ โดยในนะหว่างทาง เนื้อหาจะมีการนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยรอบของสถานการณ์นี้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบรรดานักดำน้ำจากนานาชาติ เจ้าหน้าที่จากไทย ที่ได้มีส่วนสำคับในการทำภารกิจครั้งนี้ ไปจนถึงการพูดถึงความท้าทายของภารกิจ ที่มันได่กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญระดับโลก

เช่นเดียวกับสารคดีหลาย ๆ เรื่อง หนังได้รวบรวมฟุตเทจที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหน รวมถึงฟุตเทจที่เราอาจเคยได้เห็นตามสื่อต่าง ๆ มานำเสนอ รวมถึงแง่มุมที่สื่อไม่ได้พูดถึง โดยเฉพาะวิธีการช่วยชีวิตของทีมนักดำน้ำ ที่ในรายละเอียดจากการสัมภาษณ์เต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง   ซึ่งด้วยการเปลี่ยนมุมมองการนำเสนอเหตุการณ์มาเป็นการโฟกัสที่ตัวทีมหลักในการช่วยชีวิต ทำให้เราได้เห็นมุมมองของเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป จากที่เคยรับรู้

ในครึ่งเรื่องแรกหนังนำเสนอตามไทม์ไลน์เหตุการณ์ผลัดกับการค่อย ๆ แนะนำตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก แต่ช่วงครึ่งหลังเรียกได้ว่าคือทีเด็ดของหนัง เพราะอย่างที่หลายคนทราบกันดีว่าการพาเด็ก ๆ ทีมหมูป่าออกมาจากถ้ำคือเรื่องยาก และอันตราย แต่วิธีที่ทีมนักดำน้ำใช้ก็เสี่ยงตายมาก ๆ ซึ่งมันก็ได้นำมาสู่ความน่าตื่นเต้น และเหตุการณ์ชวนลุ้น รวมทั้งภาพจำลองเหตุการณ์ ไปจนถึงภาพเหตุการณ์จริงที่ทำออกมาได้เห็นภาพเข้าใจง่าย

นอกจากการนำเสนอข้อมูลใหม่ ๆ แล้ว หนึ่งในสิ่งที่สารคดี The Rescue ทำได้ดีมาก ๆ ไม่แพ้กันคือการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู เหมือนว่ากำลังได้ดูหนังดราม่า ระทึกขวัญ ตลอกทั้งเรื่องมีการสอดแทรกประเด็นย่อยต่าง ๆ ที่เข้ามาเติมมิติให้ตัวละครมากขึ้น คนดูจะได้เห็นทั้งโมเมนต์โรแมนติก ดราม่าสะเทือนอารมณ์ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งการพาคนดูกลับไปย้อนรำลึกโมเมนต์สำคัญเหล่านั้นอีกครั้ง ด้วยอารมณ์ที่เปี่ยมล้นไม่ต่างจากครั้งแรกที่เห็น

The Rescue นับว่าเป็นงานสารคดี ที่หยิบอีกหนึ่งเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของไทย มาถ่ายทอดออกมาได้ชวนติดตาม และได้มุมมองใหม่ ๆ โดยเฉพาะการยกย่องเชิดชูควาสามัคคีของนักดำน้ำ ที่เราอาจไม่เคยได้รับรู้หรือได้เห็นมาก่อน ใครชอบสารคดีสนุก ๆ และครบทุกอรรถรส นี่คืออีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Rescue ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Dune

รีวิวหนัง Dune

ผลงานไซไฟฟอร์ยักษ์ ที่เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานองเดนิส วิลเนิร์ฟ ตัวหนังจัดเต็มด้วยงานโปรดักชั่นสุดยิ่งใหญ่ ตระการตา การเล่าเรื่องแบบหนังมหากาพย์ที่ชวนติดตาม

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ เดนิส วิลเนิร์ฟ (Blade Runner 2049) ที่ครั้งนี้เขาได้หยิบนิยายไซไฟเรื่องโปรดอย่าง Dune ของ แฟรงก์ ฮาเบิร์ต มาสร้างเป็นหนังในวิสัยทัศน์ของตนเอง ด้วยทุนสร้างที่สูงที่สุด และยังเป็นงานที่รวมดาราดังเอาไว้แบบคับจอ

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ เมื่อวันหนึ่งตระกูลอาร์เทรดีส ได้รับมอบหมายจากองค์จักรพรรดิให้เดินทางไปดูแลดาวอาร์ราคิส ดวงดาวที่เป็นทะเลทราย และอุดมไปด้วยสไปซ์ เครื่องเทศสุดล้ำค่า โดย ดยุคเลโท (ออสการ์ ไอแซค) ผู้ปกครองตระกูลอาร์เทรดีส ได้เข้าไปทำการดูแลดาวอาร์ราคิส ด้วยการล้มล้างระบบการปกครองเก่าของตระกูลฮาร์คอนเน และทำให้ดาวดวงนี้มีความสมบูรณ์ และสงบสุขอีกครั้ง

ด้าน พอล อาร์เทรดีส (ทีโมธี ชาลาเมซ) ลูกชายคนเดียวของ ดยุคเลโท ที่กำลังเข้าสู่วัยหนุ่ม ก็ได้พยายามเรียนรู้ถึงการทำหน้าที่กษัตริย์ และฝึกฝนวิชาการต่อสู้ให้แกร่งกล้า ในขณะเดียวกัน พอล ก็ได้ฝันเห็นถึงหญิงสาวปริศนา และชนเผ่าเฟรแมน ชาวพื้นเมืองของดาวอาร์ราคิส รวมทั้งยังเห็นนิมิตว่าตระกูลของเขาอาจถึงคราวล่มกลาย โดยพอล ได้หารู้ไม่ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของชะตากรรมที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา และจักรวาลไปตลอดกาล

Dune ยังคงเป็นหนังสไตล์ วิลเนิร์ฟ ที่เต็มไปด้วยลายเซ็นที่เราคุ้นเคย คือการเล่าเรื่องแบบเนิบช้า ค่อยเป็นค่อยไป การพาคนดูค่อย ๆ ไปร่วมสำรวจจิตใจ และความคิดของตัวละคร นอกจากนี้ วิลเนิร์ฟ ก็ยังใส่ความเป็นเนิร์ดไซไฟของตัวเองเหมือนเมื่อครั้งที่ทำใน Blade Runner 2049 ด้วยการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ต่าง ๆ ของตัวเองออกมาได้แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร และยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ตามที่งานเขียนของ แฟรงก์ ฮาเบิร์ตเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นยานอวกาศ ชุดนักรบ สัตว์ประหลาด ไปจนถึงคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละคร ที่ทำออกมาเคารพงานเขียนต้นฉบับโดยแท้จริง

ด้านการเล่าเรื่อง ด้วยความที่นี่เป็นหนังสเกลใหญ่ และมีการวางแผนแบ่งเรื่องราวออกเป็น 2 ภาค ทำให้ในช่วงแรกหนังอาจดำเนินเรื่องค่อนข้างเชื่องช้า เพราะต้องมีการปูความสัมพันธ์ของตัวละคร และพาคนดูค่อย ๆ ไปรู้จักโลกของหนังทีละนิด ๆ แนะนำว่าหากใครอยากดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกควรหาข้อมูลเกี่ยวกับคำศัพท์ และตระกูลต่าง ๆ ในเรื่อง อย่างไรก็ตามเมื่อหนังถึงช่วงที่เป็นจุดพีค ก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้จัดเต็มสมการรอคอยมาก ๆ โดยหนังเรื่องนี้ได้มอบความสนุก ความบันเทิง แบบหนังมหากาพย์ ที่ให้ความรู้สึก อลังการ ใกล้เคียงกับที่เคยสัมผัสในหนังชุด The Lord of the Rings หรือ Star Wars เลยก็ว่าได้

ในส่วนของงานโปรดักชั่น เรียกได้ว่านี่เป็นงานที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดของ วิลเนิร์ฟ และนั่นก็ทำให้สเกลของหนังเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ ตระการตา นับตั้งแต่การออกแบบงานสร้างฉากต่าง ๆ การสร้างสรรค์ฉากสงครามที่ชวนตื่นตาตื่นใจ ไปจนถึงการสร้างสรรค์ฉากไฮไลท์ของหนังเรื่องนี้อย่างหนอนยักษ์ ที่วิลเนิร์ฟ สามารถถ่ายทอดตัวของหนอนออกมาได้อย่างสมจริง

อีกหนึ่งส่วนที่เพิ่มความสมบูรณ์ให้ Dune เวอร์ชั่นนี้ ยิ่งใหญ่ อย่างที่ควรจะเป็นคือการที่หนังได้ ฮานซ์ ซิมเมอร์ มารับหน้าที่ทำดนตรีประกอบให้ โดยดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้เพิ่มอรรถรสให้แต่ละฉากในหนังมีพลังมากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังทำหน้าที่ในการช่วยในการดำเนินเรื่องอีกด้วย ซึ่งดนตรีของฮานซ์ ก็ยังคงให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มีทำนองที่ติดหู และเมื่อยิ่งได้ฟังดนตรีเหล่านี้ในโรงภาพยนตร์ มันจะเพิ่มประสิทธิภาพให้หนังมากขึ้นไปอีก

ในส่วนของการแสดง เรียกได้ว่าต้องชื่นชมทีมนักแสดงทุกคนในหนังเรื่องนี้ที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม ทุกคนต่างสามารถถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ แต่ถ้าจะให้พูดถึงเป็นพิเศษต้องขอยกให้ ทีโมธี ชาลาเมซ และ รีเบคก้า เฟอร์กูสัน ที่สามารถรับส่งอารมณ์แม่ลูก ได้อย่างลงตัว จนสามารถทำให้คนดูอยากเอาใจช่วยทั้งสองตัวละครไปจนจบ โดย ทีโมธี ในเรื่องนี้ก็สามารถแสดงบทแอคชั่นออกมาได้มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง แม้ว่ารูปร่างของเขาจะอ่อนบางก็ตาม นอกจากนี้ ออสการ์ ไอแซค ก็ยังเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของเรื่อง ในบทดยุคเลโท ซึ่งไอแซค ก็ถ่ายทอดอุดมการณ์อันแรงกล้าของตัวละครนี้ออกมาได้มีพลัง จนกลายเป็นอีกบทที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ  ของเขา

โดยรวม Dune ยังคงเป็นงานของ เดนิส วิลเนิร์ฟ ที่ยังรักษามาตรฐานเอาไว้ได้ดี ตัวหนังทำออกมามีเสน่ห์ มีความเป้นเนิร์ดไซไฟไม่แพ้ Blade Runner 2049 แต่ครั้งนี้มาพร้อมสเกลที่ใหญ่กว่าเดิม ทั้งพลอตเรื่อง และทุนสร้าง ซึ่ง วิลนิร์ฟ ก็ผสมผสานของความเป็นหนังอินดี้ และหนังมหากาพย์ได้อย่างลงตัว จนน่าจะถูกใจใครหลาย ๆ คน เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งงานไซไฟฟอร์มยักษ์ประจำปี 2021 ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Dune ได้แล้ววันนี้ในHBO

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes, IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Don’t Look Up

Don't Look Up

งานตลกร้ายส่งท้ายปีจาก Netflix ที่บันเทิงเกินคาด ทีมนักแสดงนำต่างถ่ายทอดบทบาทแบบไม่มีใครยอมใคร พร้อมการจิกกัดการเมืองอเมริกา ที่ทำได้เจ็บแสบ จนแทบจะขำไม่ออก

หนังรวมนักแสดงดัง ส่งท้ายปีจาก Netflix ที่ได้ อดัม แมคเคย์ (The Big Short) มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบท พร้อมนำทีมแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ (The Revenant) และ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (The Hunger Games) ซึ่งถือว่าเป็นการร่วมงานครั้งแรกของทั้งสามกับสตรีมดัง

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ดร.แรนดัล (ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ) และ เคต (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) สองนักดาราศาสตร์ ที่ได้พบว่ากำลังจะมีดาวหางพุ่งชนมาที่โลก ซึ่งระดับความแรงของการพุ่งชน และขนาด มันสามารถทำลายล้างโลกได้เลย ทั้งสองเลยได้นำข้อมูลนี้ไปบอกกับประธานาธิบดี (เมอร์รีล สตีฟ) เผื่อวางแผนรับมือ และหาทางป่าวประกาศให้คนทั่วโลกรับรู้ แต่ทว่าทุกคนกลับมองมันเป็นเรื่องตลก พร้อมทำให้ แรนดัล และ เคต กลายเป็นตัวตลกเพียงชั่วข้ามคืน พวกเขาเลยต้องหาทางอื่นที่จะเตือนผู้คนถึงภัยพิบัติครั้งนี้

Don’t Look Up ถือว่าเป็นหนังแนววันสิ้นโลกที่ฉีกจากสไตล์เดิม ๆ ที่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง แทนที่หนังจะเลือกนำเสนอฉากภัยพิบัติชวนตื่นตาตื่นใจ แต่ตัวหนังกลับอัดแน่นด้วยมุกตลกร้าย และการแซะการเมืองอเมริกาออกมาได้อย่างแสบสัน ความสนุกของหนังเรื่องนี้เลยเป็นการพาคนดูไปร่วมผจญภัยกับสองนักดาราศาสตร์ประสาทแดก ที่ต้องหาทางประกาศถึงเจตนารมย์ของพวกเขาด้วยวิธีการที่ไม่ธรรมดา ในขณะเดียวกันตัวละครอื่น ๆ ที่ปรากฎในเรื่องก็มีความเพี้ยน ความเกรียน ด้วยเช่นกัน

แม้หนังจะเป็นงานตลกร้ายที่ตลอดทั้งเรื่องจะเต็มไปด้วยบทสนทนา แต่กระนั้น แมคเคย์ ก็สามารถนำเสนอมันให้ออกมาเข้าใจง่าย แม้ว่าคุณจะแทบไม่ใช่คอหนังไซไฟก็สามารถสนุกไปกับมันได้ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งนี้ประเด็นหลัก ๆ ของหนังกลับไม่ใช่การโฟกัสเรื่องดาราศาสตร์มากนัก แต่หนังจะเน้นไปที่พาร์ทการเมืองที่พูดถึงการฉวยโอกาสของคนรวย จากเหตุการณ์นี้ และเกมการเมืองของคนที่หวังอำนาจมากกว่า ซึ่งหนังก็ได้ตีแผ่ประเด็นนี้ออกมาได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ ใครที่ชอบหนังแซะการเมือง น่าจะรู้สึกร่วมไปกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

นอกจากการนำเสนอบท และการเล่าเรื่องที่ชวนติดตามตลอดทั้งเรื่องแล้ว หนังเรื่องนี้ยังสามารถใช้งานทีมนักแสดงทั้งหลัก และสมทบได้อย่างคุ้มค่า น่าจดจำ โดย ดิคาร์ปริโอ และ ลอว์เรนซ์ ทั้งคู่คหัวใจหลักของเรื่องที่ต่างถ่ายทอดอารมณ์ของคนที่เนิร์ดได้อย่างสมจริง ส่วน เมอร์รีล สตีฟ ในเรื่องนี้เธอก็ถ่ายทอดบทประธานาธิบดีหญิงผู้โง่เขลา ออกมาได้ทั้งกวน ทั้งเกรียน แต่ที่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ คือบทของ อะเดรียนา แกรนเด ที่เธอมันร้บบทเป็นนักร้องสาว ผู้โผล่มาสร้างสีสันตลอดทั้งเรื่อง โดยเพราะฉากที่เธอได้โชว์พลังเสียงนั้น เป็นหนึ่งในฉากทีทั้งขำ ทั้งเพลิดเพลินมาก ๆ ฉากหนึ่ง

ปัญหาของหนังคือการที่เหตุการณ์ในเรื่องมันมีมากมาย พร้อมทั้งตัวละครที่ค่อนข้างเยอะ การไต่ระดับความเข้มข้นของหนัง เลยทำให้บางช่วงหนังดูเร่งจังหวะการดำเนินเรื่องจนขาดความคมคายนุ่มลึด ต่างจากงานก่อนของ แมคเคย์ อย่าง The Big Short นอกจากนี้มิติตัวละครบางตัวในเรื่องดูเบาบาง ขาดจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวม Don’t Look Up คืองานส่งท้ายปีจาก Netflix ที่ทำออกมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี หนังดูง่าย ย่อยง่าย และสนุกกว่าที่คิดมาก นอกจากนี้หนังยังน่าจะสร้างอารมณ์ร่วมกับหลาย ๆ คนที่อินการเมือง เพราะบริบทของพาร์ทการเมืองในหนังมเสมือนการจำลองสถานการณ์ประเทศไทยตอนนี้ได้อย่างเจ็บแสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทสรุปที่ทำออกมาตลกร้ายจนเราขำไม่ออกเลยทีเดียว

สามารถรับชม Don’t Look Up ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Doctor Strange in Multiverse of Madness

Doctor Strange in Multiverse of Madness

หนังที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความสยองขวัญ และความโหดแบบที่ไม่เคยเห็นใน MCU มีการต่อยอดประเด็นมัลติเวิร์สได้อย่างสนุก และครบรส

หนังเดี่ยวเรื่องที่สองของอีกหนึ่งตัวละครสำคัญจาก MCU ในตอนนี้อย่าง ดอคเตอร์สเตรนจ์ (เบเนดิค คัมเบอร์แบตช์) และยังเป็นหนัง Marvel เรื่องแรกประจำปี 2022 นี้อีกด้วย ซึ่งตัวหนังก็ค่อนข้างเปี่ยมด้วยความคาดหวังตากคนดูทั้งการพูดถึงเรื่อง มัลติเวิร์ส อย่างจริงจัง หลังจากที่ปูใน Spider-Man: Far From Home และ No Way Home มาแล้ว พร้อมทั้งยังเป็นการกลับมาร่วมงานอีกครั้งของ แซม ไรมี่ (Evil Dead) กับ Marvel ที่ถูกจั่วหัวว่านี่เป็นหนัง Marvel ที่มีกลิ่นของความสยองขวัญมากที่สุดเท่าที่มีมา

หนังจะว่าด้วยเหตุการณ์หลังจากซีรีส์ WandaVision และ Spider-Man: No Way Home เมื่อ ดอคเตอร์สเตรนจ์ได้พบกับ อเมริกา ซาเวจ (โซชิลท์ โกเมซ) หญิงสาวที่มีพลังในการท่องมัลติเวิร์ส หรือพหุจักรวาลได้ ซึ่งเธอได้หนีการตามล่าของปีศาจร้ายมาจากอีกจักรวาลหนึ่ง จากการช่วยเหลือของ ดอคเตอร์สเตรนจ์ ทำให้เขาได้พบว่าคนที่ส่งปีศาจมาเล่นงาน ซาเวจ คือ วันด้า (อลิซาเบธ โอลเซน) ที่กลายเป็น สการ์เลต วิตช์ ผู้ต้องการใช้พลังท่องมัลติเวอร์ส ในการไปไปหาลูก ๆ ของเธอในจักรวาลอื่น จนนำมาสู่สงครามระหว่างพ่อมด และแม่มดผู้ทรงพลัง และน่ากลัวก็ได้เริ่มขึ้น

Doctor Strange in Multiverse of Madness นับว่าเป็นงานจาก Marvel Studios ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากหนังเดี่ยวเรื่องอื่น ๆ โดย แซม ไรมี่ ได้ใส่ความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะงานโปรดักชั่นแบบหนังสยองขวัญ ที่สนเรื่องนี้จะค่อนข้างเต็มไปด้วยความดิบ โหด แบบที่ Marvel ไม่เคยทำ และมีความรุนแรงแบบเท่าที่เรต PG-13 จะใส่เข้าไปได้

ซึ่งในเรื่องผู้ชมจะได้เห็นงานเรฟเฟอร์เรนซ์เก่า ๆ ของ ไรมี่ หรือการใส่ไอเดียที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสยองขวัญในตำนานมากมาย ทั้ง Evil Dead ของเขาเอง หรือแม้แต่ Carrie ของ ไบรอัน เดอ พัลมา นอกจากนี้เสน่ห์ของหนังจากภาคแรกก็ยังคงอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะการสร้างฉากการต่อสู้ด้วยเวทมนต์ ที่ในภาคนี่ยกระดับขึ้นจากภาคที่แล้วแบบเท่าตัว ฉากการดวลเวทมนต์มีความน่าติดตาม มีความลุ้นระทึกแบบที่ไม่เหมือนใคร

ในส่วนของการเล่นกับ มัลติเวิร์ส เรียกได้ว่าทำออกมาได้น่าสนใจ และครบรสมาก หนังมีทั้งเซอร์ไพรส์แบบกำลังดี แม้ว่าจะไม่ได้เหนือกว่าที่คาดไว้มากนัก แต่การเล่นประเด็นของความหลากหลายของตัวละครในพหุจักรวาล การเล่มกับปมของดอคเตอร์สเตรนจ์ หนังสามารถตีโจทย์นี้ได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อมองโดยรวมกับเนื้อหาของหนังแล้ว นับว่าเป็นการใช้ประเด็นมัลติเวอร์สที่คุ้มค่า ลงตัวมาก ๆ

น่าเสียดายที่ในขณะที่ด้านงานโปรดักชั่นหนังทำออกมาได้ค่อนข้างโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ แต่ด้านบทหนังกลับค่อนข้างล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นการพยายามใส่บรรดาตัวละครสมทบ ที่ในเรื่องนี้แทบไม่มีความจำเป็น หรือสร้างสีสันให้หนังได้ดีเท่าที่ควร รวมทั้งตัว อเมริกา ซาเวจ ที่ถูกเพิ่มบทบาทเข้ามาโดยที่แทบจะไร้ซึ่งมิติใด ๆ

ในขณะที่ด้านตัวละคร วันด้า ที่ในเรื่องนี้ได้กลายเป็นวายร้ายแบบเพียว ๆ และกลายเป็นคนโหดร้าย อำมหิตแบบที่ไร้เหตุและผลโดยสิ้นเชิง ทำให้ส่วนที่ดีงามจากพาร์ทดราม่าที่ปูมาจากซีรีส์ WandaVision ถูกใช้อย่างไม่คุ้มค่าในเรื่องนี้อย่างน่าเสียดาย โชคดีที่ตัวหนังได้การแสดงของ อลิซาเบธ โอลเซน ช่วยแบกเอาไว้ ทำให้บทบาทของตัวละครนี้ไม่ออกทะเลไปมากกว่านี้

โดยรวม Doctor Strange in Multiverse of Madness ถือว่าเป็นการประเดิมหนังเรื่องแรกของ MCU ที่คุ้มค่าดารรอคอย หนังสนุกในแบบของตัวเอง โดยเฉพาะงานกำกับของ แซม ไรมี่ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่ากลัวอย่างที่ไม่เคยมีหนัง Marvel เรื่องไหนทำได้ พร้อมทั้งยังปูทางสู่อีเวนต์ต่อ ๆ ไปใน Phase 4 ที่น่าติดตามว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

สามารถรับชม Doctor Strange in Multiverse of Madness ได้แล้ว

Cr.ภาพ: IMDB, Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/mvRxgOX7Kes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Gangubai Kathiawadi: หนังดราม่า

Gangubai-Kathiawadi

: หนังดราม่า อาชญากรรม ว่าด้วยชีวิตของราชิณี Sex Worker อินเดีย ที่นำเสนอออกมาได้สนุกครบรส ไม่ดาร์กจนเกินไป อาเลีย บาตต์ ถ่ายทอดออกมาได้ทรงมากมาก ๆ

เรียกได้ว่าเป็นหนังอินเดียที่สร้างกระแสครั้งใหญ่ในไทยไม่น้อย สำหรับ  Gangubai Kathiawadi หนังที่ว่าด้วยชีวประวัติของ ราชินีแห่ง Sex Worker ของอินเดีย ที่ได้เป็นกระบอกเสียงให้ผู้หญิง และคนที่ทำงานด้านขายบริการ ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

หนังจะพาคนดูย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของ คังคุไบ ที่ในตอนแรกนั้นชื่อว่า คงคา (อาเลีย บาตต์) ที่เธอนั้นถูกคนรักล่อลวงไปขายในซ่องขายบริการ คงคา ค้องยอมทำงานขายบริการเพื่อเอาชีวิตรอด และด้วยหน้าตาที่สระสวยของเธอ ทำให้เธอกลายเป็นที่โดดเด่นในซ่อง และได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ คังคุไบ ซึ่งในระหว่างที่ทำงานเป็นโสเภณี เธอก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์มากมายที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมในสังคม คังคุไบ เลยต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้อาชีพของพวกเธอรวมถึงผู้หญิงจำนวนมากได้รับความเท่าเทียมในสังคม

แม้ว่าหนังจะมีพลอตว่าด้วยอาชีพผิดกฎหมาย และพูดถึงเจ้าแม่ที่มีความเป็นหนังแก๊งสเตอร์ แต่ทว่าในเนื้อหาหลัก ๆ ของหนังคือการพูดถึงการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ การต่อสู้ในด้านชนชั้นเป็นส่วนใหญ่ หนังค่อนข้างหนักไปทางดราม่า ที่จะเน้นพูดถึงอุดมการณ์ และความกล้าหาญของตัวคังคุไบเป็นเส้นเรื่องหลัก

หนังมาพร้อมความสนุกแบบที่ครบรส ทั้งความเป็นหนังอาชญากรรม ที่สะท้อนความขัดแย้ง การต่อสู้เพื่อสร้างอำนาจ ที่นำเสนอออกมาได้ดุดันแบบกำลังดี มีการผสมพาร์ทโรแมนติกสไตล์อินเดียที่พอให้คนดูได้เคลิบเคลิ้ม แต่ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือพาร์ทดราม่าที่หนังสะท้อนออกมาได้ดีมาก ๆ หนังสามารถนำเสนอเหตุการณ์ที่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งทั้งร่างกาย และจิตใจของคังคุไบ ที่ดูแล้วสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูได้อย่างยอดเยี่ยม จนหลาย ๆ ฉากในหนังได้กลายเป็นฉากอันน่าจดจำ และน่าพูดถึง ในฐานะการสร้างแรงบันดาลใจที่ดีให้ผู้ชม

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม อาเลีย บาตต์ที่ถ่ายทอดบทบาทราชินีแห่ง Sex Worker ออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ เธอสามารถทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละครตั้งแต่ในนาทีแรกที่เห็น ทั้งยังนำเสนอพัฒนาการของตัวละครจากจุดเริ่มต้น สู่จุดสุดได้เห็นภาพชัดเจน การแสดงของ บาตต์ ได้สร้างพลังให้หลาย ๆ ฉากของหนังเปี่ยมพลังมากขึ้น จนเรียกได้่ว่านี่คืออีกบทบาทการแสดงที่น่าจดจำที่สุดของนักแสดงหญิงผู้นี้

ในส่วนของข้อเสียของหนังคือการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างรวบรัดจนเกินไป บางเหตุการณ์ หรือบางตัวละครในหนังที่แม้จะน่าสนใจ แต่หนังก็นำเสนอเพียงผิวเผิน และเน้นไปชูความโดดเด่นของ คังคุไบเป็นหลัก ทำให้ตัวละครสมทบอื่น ๆ ดูขาดมิติ และแทบไม่น่าจดจำเท่าที่ควร รวมทั้งในด้านเนื้อหาที่หนังหยิบชีวประวัติของคังคุไบ มาเล่าในระดับข้อมูลทั่วไป ไม่ได้เจาะลึกชีวิตตัวละครเท่าที่ควร จนนอกจากแง่อุดมการณ์ความกล้าหาญแล้วเราแทบไม่ได้รับรู้แง่มุมอื่น ๆ เลย

โดยรวม Gangubai Kathiawadi เป็นหนังดราม่า อาชญากรรม ที่ดูสนุกเรื่องหนึ่ง เพราะนอกจากการพูดถึงการสู้ชีวิตของเหล่าโสเภณีแล้ว หนังยังเปี่ยมด้วยบทพูด และฉากสร้างแรงบันดาลใจ ที่น่าจะรีเรทกับใครที่อินประเด็นเรื่องชนชั้น สิทธิสตรี ได้ไม่มากก็น้อย ใครที่ชอบหนังชีประวัติเนื้อหาดี ๆ นี่คืออีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม Gangubai Kathiawadi ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/TBSya75KCp0

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

ตัวอย่างใหม่ล่าสุดของ Morbius

ตัวอย่างใหม่ล่าสุดของ-Morbius

ตัวอย่างใหม่ล่าสุดของ Morbiusจาเรด เลโต้ กลายเป็นแวมไพร์ ที่สับสนระหว่างการเป็นฮีโร่ และวายร้าย หลังจากที่ปล่อยตัวอย่างแรกออกมานานร่วม 1 ปีกว่า ๆ ก่อนจะโดนพิษโควิด เลื่อนฉายไปยาว ๆ ในที่สุด Morbius หนังแอนติฮีโร่ คนล่าสุดจาก Marvel และ Sony Pictures ก็ได้ปล่อยตัวอย่างล่าสุดออกมาให้ได้ชมกันแล้ว ก่อนที่ตัวหนังจะเข้าฉายในช่วงต้นปี 2022 นี้

จาเรด เลโต้

สำหรับ Morbius จะเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของ ดร.ไมเคิล มอร์เบียส (จาเรต เลโต้) คุณหมอที่ได้พบว่าตนได้ป่วยเป็นโรคประหลาดที่เกี่ยวกับเลือด มอเบียส พยายามรักษาตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ แต่ไม่สามารถรักษาได้ ทำให้เขาต้องหันไปใช้วิธีเสี่ยงโชคอย่างการทำเซรุ่มจากค้างคาวแทน แต่ทว่าหลังจากฉีดเซรุ่ม มอร์เบียส ก็ได้กลายเป็นแวมไพร์กระหายเลือดแทน เขาเลยต้องใช้พลังพิเศษที่ได้รับมาในการพิสูจน์ว่าเขาจะกลายเป็นวายร้าย หรือเป็นฮีโร่ผู้ปกป้องผู้คนแทน

ตัวอย่างใหม่ล่าสุดของ Morbius

หนังเป็นผลงานการกำกับของ แดเนียล เอสปิโนซ่า (Life) เขียนบทโดย แมท ซาซาม่า และ เบิร์ก ขาร์ปเลส (Power Ranger) ที่ดัดแปลงมาจากคอมมิคที่เขียนโดย รอย โธมัส ของ Marvel Comic นำแสดงโดย จาเรค เลโต้ (House of Gucci), จาเรด แฮริส (ซีรีส์ Foundation), แมทท์ สมิธ (Last Night in Soho), ไทรีส กิ๊บสัน (Fast9), เอเดรีย อาร์จอน่า (6 Underground) และ ไมเคิล คีตัน (The Trial of the Chicago 7)

ตัวอย่างใหม่ล่าสุดของ Morbius

ความน่าสนใจของตัวอย่างล่าสุดนี้ คือการเป็นตัวอย่างที่เผยเนื้อหาของหนังโดยแท้จริง ซึ่งจะมีการเผยฟุตเทจใหม่ ๆ ที่ไม่มีในตัวอย่างแรกแบบจัดเต็ม โดยเฉพาะการเผยร่างแวมไพร์ของ มอร์เบียส แบบเต็ม ๆ ให้ได้เห็นกัน นอกจากนี้ก็ยังมีการใส่ฉากแอคชั่น ที่ทั้งเท่ และชวนระทึกเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ตัวหนังก็ยังตอกย้ำว่านี่คือจักรวาลเดียวกับ Spider-Man เวอร์ชั่นทอม ฮอลแลนด์ จากการใส่บทของ เอเดรี่ยน ทูเมอร์ ที่รับบทโดย ไมเคิล คีตัน มาไว้ด้วย ซึ่งก็ต้องมารอลุ้นว่าในเรื่องนี้จะเชื่อมไปยังไอ้แมงมุมมากน้อยแค่ไหน เพราะเดิมทีในคอมมิคนั้น มอร์เบียส คือหนึ่งในคู่ปรับของสไปเดอร์แมน นั่นเอง

จาเรด เลโต้

สำหรับในปีนี้ Sony Pictures ยังมีหนังที่สร้างจากตัวการ์ตูนของ Marvel ที่เตรียมฉายในไทยอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน คือ Venom: Let There Be Carnage ภาคต่อของหนังแอนติฮีโร่ ผู้เป็นคู่ปรับตลอดกาลของ สไปเดอร์แมน ที่คาดว่าน่าจะมีกำหนดฉาย 2 ธันวาคมนี้ และ Spider-Man: No Way Home หนังภาคที่ 3 ของ สไปเดอร์แมน เวอร์ชั่นทอม ฮอลแลนด์ ที่ตอนนี้หลายคนต่างรอลุ้นกับตัวอย่างใหม่ที่เราอาจได้เห็นการปรากฏตัวของไอ้แมงมุมสองเวอร์ชั่นก่อนหน้า และเซอร์ไพรส์อื่น ๆ อีกมากมาย ที่ค่ายเตรียมปล่อยเร็ว ๆ นี้ โดยหนังมีกำหนดฉายในปลายปีนี้

ส่วน Morbius จะมีกำหนดฉายในอเมริกา มกราคม 2022 ส่วนในไทยคาดว่าจะได้ชมเดือนกุมภาพันธ์ 2022

Cr.ภาพ: IGN

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

เปิดเผยตัวอย่างโคนันเดอะมูฟวี่

เปิดเผยตัวอย่างโคนันเดอะมูฟวี่ 25

เปิดเผยตัวอย่างโคนันเดอะมูฟวี่ 25

ยอดนักสืบจิ๋วนักสืบโคนันเป็นอนิเมะญี่ปุ่นอีกเรื่องนึงที่มีแฟน ๆ ชาวไทยติดตามกันเป็นจำนวนมากเลยทีเดียวเรื่องราวการสืบสวนและตามล่าองค์กรชุดดำที่สุดแสนจะเร้าใจกลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทุก ๆ คนต่างให้การติดตาม นอกเหนือจากเรื่องราวการสืบสวนและตามล่าตัวผู้ร้ายแล้วยังมีการสอดแทรกเกี่ยวกับเรื่องราวความรักไว้ในเรื่องอีกด้วยทำให้อนิเมะเรื่องนี้เป็นอนิเมะที่ไม่ได้มีเพียงมิติเดียวและเป็นอนิเมะที่น่าติดตามมาก

ยอดนักสืบจิ๋วนักสืบโคนันเป็นอนิเมะที่มีเดอะมูฟวี่เป็นของตัวเองเช่นเดียวกับอนิเมะเรื่องอื่น ๆ ของญี่ปุ่นโดยปัจจุบันนี้ได้ออกมา 24 ภาคแล้ว โดยโคนันเดอะมูฟวี่ 24 นั้นมีชื่อภาคว่า “กระสุนสีเพลิง”ซึ่งได้มีการเลื่อนเวลาการเข้าฉายจากปีที่แล้วมาเป็นปีนี้ โดยในประเทศญี่ปุ่นก็ได้มีการเข้าฉายเป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่สำหรับประเทศไทยโคนันเดอะมูฟวี่ 24 จะเข้าฉายในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคม แต่โคนันเดอะมูฟวี่ 24 ยังไม่ทันเข้าฉายในโรงภาพยนต์เราก็ดันได้เห็นตัวอย่างภาพยนตร์โคนันเดอะมูฟวี่ 25 เสียแล้ว ลิเกว่าสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนๆ โคนันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

เปิดเผยตัวอย่างโคนันเดอะมูฟวี่ 25

ภาพ Screenshot จาก Animeify

โคนันเดอะมูฟวี่ 25 จะมีชื่อตอนว่า “The Bride of Halloween” แต่ตอนนี้ยังไม่มีชื่อไทยอย่างเป็นทางการ โดยในภาคนี้จะมีเนื้อเรื่องหลักเกี่ยวกับกรมตำรวจอีกครั้ง หลังจากที่โคนันเดอะมูฟวี่ 22:ปฏิบัติการลับซีโร่ ก็เป็นเรื่องราวที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับกรมตำรวจเช่นเดียวกัน สำหรับโคนันเดอะมูฟวี่ 25 อาจจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับ 5 พยัคฆ์นักเรียนตำรวจซึ่งได้ถูกเปิดเผยมาในตัวอย่างภาพยนตร์ และอาจจะมีตัวละครหลักก็คือผู้หมวดซาโต้และผู้หมวดทาคางิก็เป็นได้เพราะว่าทั้งคู่ได้มีภาพหลุดมาอยู่ในตัวอย่างภาพยนตร์ที่ถูกเปิดเผยมาด้วยเช่นเดียวกันโดยทั้งคู่นั้นได้แต่งชุดเจ้าบ่าวและเจ้าสาวแล้วเหมือนอยู่ในพิธีการแต่งงาน

เปิดเผยตัวอย่างโคนันเดอะมูฟวี่ 25

ภาพ Screenshot จาก Animeify

ซึ่งการที่เลือกให้ผู้หมวดซาโต้และผู้หมวดทาคางิอยู่ในชุดแต่งงานก็คงจะถูกอกถูกใจแฟนหลาย ๆ คนมากเลยทีเดียวเพราะในเรื่องราวของโคนันทั้งคู่นั้นเป็นแฟนกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ค่อยได้เห็นฉากความน่ารัก ๆ ของทั้งคู่บ่อยนัก การที่ได้เห็นพวกเขาทั้งคู่โผล่มาในตัวอย่างภาพยนตร์ก็อาจจะมีความเป็นไปได้สูงที่เราอาจจะได้เห็นความน่ารักของคู่นี้มากขึ้นก็เป็นได้

เปิดเผยตัวอย่างโคนันเดอะมูฟวี่ 25

ภาพ Screenshot จาก M Picture

สำหรับโคนันเดอะมูฟวี่ 25 จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของญี่ปุ่นในช่วงเดือนเมษายนปีหน้าสำหรับประเทศไทยต้องรอการประกาศออกมาอีกทีว่าจะมีการเข้าฉายเมื่อไหร่ สำหรับแฟนคลับโคนันชาวไทยตอนนี้ก็คงต้องรอติดตามชมโคนันเดอะมูฟวี่ 24 ก่อนที่จะไปรับชมในภาคต่อไป อย่างไรก็ตามในช่วง End Credit ของโคนันเดอะมูฟวี่ 24 ก็จะมีตัวอย่างภาพยนตร์ของโคนันเดอะมูฟวี่ 25 ให้ติดตามด้วยเพราะฉะนั้นอย่าพลาดล่ะ

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

ข้อมูลจาก ชมรมคนรักโคนัน

ตัวอย่างแรก Uncharted

ตัวอย่างแรก Uncharted

ตัวอย่างแรก Uncharted ทอม ฮอลแลนด์ และมาร์ค วอห์ลเบิร์ก ออกผจญภัยล่าขุมทรัพย์ ที่เต็มไปด้วยอันตราย

ตัวอย่างแรก Uncharted เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบทบาทการแสดงของ ทอม ฮอลแลนด์ ที่หลายคนรอคอยรอชมไม่แพ้ Spider-Man: No Way Home สำหรับหนังเรื่อง Uncharted ผลงานที่ดัดแปลงมาจจากเกมแอคชั่น ผจญภัย สุดโด่งดังของ Play Station ที่ล่าสุดได้ปล่อยตัวอย่างแรกอย่างเป็นทางการออกมาให้ได้ชมกันแล้ว

ภาพจากตัวอย่างแรก-Uncharted
ภาพจากตัวอย่างแรก-Uncharted

สำหรับ Uncharted จะเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของ นาธาน เดรก (ทอม ฮอลแลนด์) ชายหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักล่าสมบัติ โดยเขาได้ วิคเตอร์ ซัลลิแวน (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) มารับหน้าที่ฝึกสอน และเป็นคู่หูในการออกผจญภัยล่าขุมทรัพย์ในดินแดนที่ลึกลับ ซึ่ง นาธาน ก็มีเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้คือตามหาพี่ชายของเขาที่หายสาบสูญไป แต่ทว่านอกจากตัว นาธาน และวิคเตอร์ แล้ว ขุมทรัพย์นี้ก็ยังเป็นที่หมายปองของผู้มีอิทธิพลอีกด้วย และนั่นก็นำมาสู่การผจญภัยสุดท้าทาย และเต็มไปด้วยอันตราย

ภาพจากตัวอย่างแรก-Uncharted
ภาพจากตัวอย่างแรก-Uncharted

ตัวหนังได้ รูเบน เฟรตเชอร์ ที่เคยมีผลงานอย่าง Venom และ Zombieland: Double Tap มารับหน้าที่กำกับ เขียนบทโดย อาร์ต มาร์คัม, แมทท์ ฮาลโลเวย์ สองมือเขียนบทจาก Iron Man และสมทบด้วย เรฟ จัฟกินส์ (ซีรีส์ Agent of S.H.I.E.L.D.) ด้านนักแสดงนอกจากจะได้ ทอม ฮอลแลนด์ มารับบทนำแล้ว ยังสมทบด้วย มาร์ค วอห์ลเบิร์ก (Spenser Confidential), อันโตนิโอ แบนเดรัส (Dolittle), โซเฟีย อาลี (ซีรีส์ The Wilds) และ ตาติ กาเบรียล (ซีรีส์ You)

ภาพจากตัวอย่างแรก-Uncharted
ภาพจากตัวอย่างแรก-Uncharted

ในตัวอย่างแรกของหนัง อาจยังไม่ได้เผยฉากแอคชั่น ผจญภัยมากนัก โดยจะเป็นการเผยเนื้อหาของเรื่องเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะการเผยความสัมพันธ์ระหว่าง นาธาน และวิคเตอร์ ที่ทำออกมาได้น่าสนใจ ทอม ฮอลแลนด์ ยังคงคาแรคเตอร์แบบ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เอาไว้ ทั้งความเท่ ความตลก ที่ชวนหลงใหล นอกจากนี้ตัวอย่างหนังก็ปล่อยทีเด็ดในช่วงท้ายด้วยฉากเอาชีวิตรอดกลางเวหาของทอม ฮอลแลนด์ ที่ให้อารมณ์เหมือนเล่นเกมไม่น้อย

ภาพจากตัวอย่างแรก-Uncharted
ภาพจากตัวอย่างแรก-Uncharted

นอกจากจะรับบท นาธาน เดรค แล้ว ในปลายปีนี้ ทอม ฮอลแลนด์ ก็ยังมีอีกหนึ่งผลงานหนังฟอร์มยักษ์ที่ทุกคนรอคอยกับ Spider-Man: No Way Home หนังภาคที่สามของ สไปเดอร์แมน เวอร์ชั่นล่าสุด และอาจเป็นภาคส่งท้ายบทไอ้แมงมุมของเขา ซึ่งในภาคนี้เป็นภาคที่นำตัวละครวายร้ายจากสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นก่อน ๆ มารวมเอาไว้ในภาคนี้ นอกจากนี้ก็ยังเป็นที่คาดหวังของคนดูว่าจะได้เห็นตัวละครสไปเดอร์แมน 2 เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้อย่าง โทบี้ แมกไกว์ และแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ กลับมาร่วมแสดงด้วยหรือไม่

โดย Uncharted จะมีกำหนดฉายต้นปี 2022 ในโรงภาพยนตร์

สามารถรับชม Eternals ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Official Trailer Uncharted

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

“โธมาซิน แมคแคนซี” ย้อนเวลาไปพบความสยอง “Last Night in Soho”

โธมาซิน แมคแคนซี ย้อนเวลาไปพบความสยอง ในตัวอย่างแรก Last Night in Soho

ปล่อยออกมาเรียบร้อยแล้ว สำหรับตัวอย่างแรกอย่างเป็นทางการของ Last Night in Soho หนังสยองขวัญ ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ เอ็ดการ์ ไรท์ (Baby Driver) ที่ครั้งนี้เขาได้ฉีกกรอบจากสไตล์งานหนังแอคชั่น คอเมดี้ ที่คุ้นเคย มาสู่งานสยองขวัญ จิตวิทยา แบบจริงจัง
แถมมาพร้อมสีสันที่ฉูดฉาดแปลกตากว่าที่ผ่านมา งานนี้ใครที่เป็นแฟนคลับของผู้กำกับมากความสามารถผู้นี้เตรียมนับถอยหลังรอดูกันได้เลย

โดย Last Night in Soho จะว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นดีไซน์เนอร์ ที่ได้เดินทางไปที่ลอนดอน เมื่อถึงที่หมายก็ได้เกิดเรื่องแปลกประหลาดกับเธอ เมื่อตัวเธอได้พบว่าตนเองย้อนเวลากลับไปยังช่วงปี 1960 พร้อมทั้งยังได้พบกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้อง แต่นอกเหนือจากแสงสีที่สวยงาม และผู้คนในเมืองแล้ว มันยังได้มีเรื่องสุดสยองซ่อนเอาไว้ด้วย

สำหรับใน Last Night in Soho ไรท์ จะมารับบทเป็นทั้งผู้กำกับ และร่วมเขียนบทกับ คริสตี้ วิลสัน-แคร์นส์ (1917) โดยหนังก็ได้สองนักแสดงสาวที่กำลังมาแรงอย่าง โธมาซิน แมคเคนซี (Jojo Rabbit) และ อันย่า เทย์เลอร์ จอย (ซีรีส์ The Queen’s Gambit) มาแสดงนำ พร้อมทั้งยังสมทบด้วย แมทท์ สมิธ (ซีรีส์ The Crown), ไดอาน่า ริกก์ (ซีรีส์ Game of Thrones), เทอร์เรนซ์ สแตมป์ (Big Eyes) และ เจสซี่ เหม่ย ลี (ซีรีส์ Shadow and Bone)

ส่วนตัวอย่างแรกที่เผยออกมานั้น เรียกได้ว่าแทบไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้แก่คนดูแต่อย่างใด เพราะตลอดทั้งตัวอย่างหนังไม่ได้เผยฉากที่เป็นบทพูด หรือดีเทลล์ของเรื่องแต่อย่างใด แต่หนังได้รวบรวมฟุตเทจมาถ่ายทอดให้ดูเหมือนเป็นมิวสิควีดีโอเพลงอย่างที่ตัว ไรท์ มักจะนำมาใช้ในหนังของเขา

ที่น่าสนใจคือหนังค่อนข้างได้อิทธิพลมาจากหนังสยองขวัญคลาสสิกค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงบันดาลใจจากหนังเรื่อง Suspiria (1977) ผลงานสุดโด่งดังของ ดาริโอ อาร์เจนโต ที่เน้นสีสันที่ฉุดฉาด และให้อารมณ์ความสยองแบบคลาสสิค
นอกจากนี้หนังยังค่อนข้างมาในโทนสยองขวัญแบบจริงจัง มีความเป็นจิตวิทยา และเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานที่ฉีกกรอบหนังคอเมดี้ที่ผ่านมาของ ไรท์อย่างสิ้นเชิง

สำหรับ เอ็ดการ์ ไรท์ เป็นผู้กำกับชาวอังกฤษ ที่มีผลงานการกำกับหนังด้วยสไตล์ที่โดดเด่นในด้านการกำกับหนังคอเมดี้ และลีลาการเล่าเรื่องประกอบเพลงแบบมิวสิควีดีโอ งานที่โดดเด่น และเป็นที่รู้จักของ ไรท์ ก็มีมากมายไม่ว่าจะเป็น Shaun of the Dead, Hot Fuzz, Scott Pilgrim vs. the World, The World’s End

และล่าสุดกับ Baby Driver หนังแอคชั่น มิวสิคคัล ที่เป็นที่ชื่นชอบจากคนดู และนักวิจารณ์ จนเตรียมแผนสร้างภาคสองในเร็ว ๆ นี้ ส่วนผลงานถัดไปหลังจาก Last Night in Soho ไรท์ ก็เตรียมกำกับ The Running Man หนังไซไฟ ระทึกขวัญ ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ สตีเวน คิง

Last Night in Soho จะมีกำหนดฉายในไทย 21 ตุลาคม ในโรงภาพยนตร์

Cr. Rotten Tomatoes

ฝากติดตามบทความงานบันเทิงได้ที่ news-entertainments.com #ซีรีย์-หนัง