Vin Disel เดินเคียงคู่ลูกสาว Paul Walker ในงานแต่ง

Vin Disel เดินเคียงคู่ลูกสาว Paul Walker ในงานแต่ง

Meadow Walker ลูกสาวของ อดีตนักแสดงนำภาพยนตร์ Fast and Furious อย่าง Paul Walker

ได้เข้าพิธีแต่งงานเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเธอได้แต่งงานกับ Louis Thornton-Allan นักแสดงและนายแบบชาย โดยทั้งคู่ได้เข้าพิธีแต่งงานกันที่ประเทศสาธารณรัฐโดมินิกัน

ซึ่งสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับใครหลายๆ คนก็คือภายในงานแต่งงานงั้น Vin Diesel อีกหนึ่งนักแสดงนำในภาพยนตร์ Fast and Furious ผู้ที่เป็นเพื่อนกับ Paul Walker เป็นคนที่ส่งตัวเจ้าสาวเข้าสู่งานแต่งงานแทน Paul Walker ที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2013 ด้วยอายุ 40 ปี จากอุบัติเหตุรถยนต์

Meadow Walker สัมภาษณ์กับซื้อ Vogue เกี่ยวกับงานแต่งงานนี้ว่า “ มันเป็นเวลาที่นานมากที่เราใช้ชีวิตอยู่ห่างกันหลังจากที่เราอยู่ด้วยกันมา ฉันคิดถึงเขามาก ๆ ฉันจำได้ว่าเขาบินมาเซอร์ไพรส์ฉันที่กรุงลอนดอน และก็ได้มีการกักตัวด้วยกัน จากที่ใช้เวลาอยู่กับเขาและครอบครัวของเขาที่ประเทศอังกฤษ และเขาก็ไม่สามารถอดใจรอแขวนที่ได้ที่พวกเราสองคนออกแบบและสวมแหวนในวันที่ฉันตั้งตารอ มันเป็นความรู้สึกซาบซึ้งที่อบอวลไปด้วยสีชมพู และฉันก็ไม่ต้องการอย่างอื่นอีก”

Meadow Walker อยากให้งานแต่งงานที่จัดขึ้นในประเทศสาธารณรัฐโดมินิกันเต็มไปด้วยเพื่อนๆ และครอบครัวแต่จากการท่าระบาดของโรคโควิดทำให้หลายอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ หลายๆ คนไม่ได้มาร่วมงานแต่งงานนี้

ปัจจุบัน Meadow Walker อายุ 22 ปีและทำอาชีพนางแบบและนักแสดง เธอเสียพ่อไปเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้วแต่เธอก็ได้รับการเลี้ยงดูจาก Vin Diesel เป็นอย่างดีมากเลยทีเดียวจนเธอนั้นสามารถเลี้ยงดูตัวเองรับเป็นคนที่สังคมยอมรับ ซึ่งก็คงทำให้ Paul Walker ภูมิใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เรียกได้ว่ามีความเป็นครอบครัวที่สนิทแน่นแฟ้นมากสำหรับครอบครัวของ Paul Walker และ Vin Diesel ไม่ใช่เพียงแค่ในภาพยนตร์แต่ยังเป็นในชีวิตจริงอีกด้วย สำหรับ Meadow Walker ก็ยังมีโอกาสจะได้เข้าร่วมแสดงภาพยนตร์ Fast and Furious ที่ยังมีต่ออีก 2 ภาค ก่อนที่จะเป็นการปิดฉากซีรีส์อย่างสมบูรณ์แบบ

ในตอนนี้ Fast and Furious 9 กำลังเข้าฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์สำหรับใครที่เป็นแฟนภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วก็ไม่ควรพลาดเพราะในภาคนี้ได้มีการเน้นเรื่องความเป็นครอบครัวมากกว่าภาคก่อนๆ มากเลยทีเดียว และหลังจาก Fast and Furious 9 จบลงก็ยังมีภาพยนตร์อีก 2 เรื่องให้ได้ติดตาม ต้องมาติดตามดูว่าเราจะมีโอกาสได้เห็นไบอันโอคอนเนอร์อีกครั้งหนึ่งไหม และเรื่องราวอีก 2 ภาคที่เหลือใครจะมีบทบาทสำคัญอะไรบ้างและเรื่องราวจะจบลงเช่นไรก็คงต้องมาติดตามดูกัน เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ซีรีส์ที่สนุกและน่าติดตามมากเลยทีเดียว

Cr.ภาพ : IGN / Wallpaperaccess

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

แนะนำ 3 ผลงานเพลงของ 2 นักร้องชาวเกาหลีใต้

นักร้องชาวเกาหลีใต้ LeeHi และ BI 1

LeeHi และ B.I ที่ต่างมาร่วมสร้างสรรค์ผลงานให้กัน

LeeHi หรือ อี ฮาอี เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเกาหลีใต้ที่เข้าสู่วงการเพลงจากการเข้าร่วมแข่งขันในรายการ K-pop Star Season ที่ 1 ในปี ค.ศ. 2012 และได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินภายใต้สังกัด YG Entertainment ในปัจจุบันเธอเซ็นสัญญาเป็นศิลปินภายใต้สังกัด AOMG

      B.I หรือ ฮันบิน เป็นแร็ปเปอร์ นักร้อง และนักแต่งเพลงชาวเกาหลีใต้ที่เข้าร่วมเป็นศิลปินฝึกหัดของ YG Entertainment เมื่อปี ค.ศ. 2011 และเป็นสมาชิกในวง iKON (2015-2019) ในปัจจุบันเขาเซ็นสัญญาเป็นศิลปินภายใต้สังกัด IOK COMPANY

      LeeHi และ B.I ได้มีโอกาสร่วมงานกันตั้งแต่ตอนที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมค่ายเดียวกัน มาจนถึงปัจจุบันพวกเขาก็ยังร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานเพลงให้แก่กัน โดยมีผลงานเพลงที่ทำร่วมกันจำนวนทั้งสิ้น 3 เพลง ได้แก่

เพลงแรกที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสร่วมทำงานด้วยกัน นั่นคือ เพลง No One Feat. B.I ซึ่งเป็นเพลงในมินิอัลบั้ม ’24℃’ ของ LeeHi นั่นเอง ปล่อยออกมาในวันที่ 30 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2019 พร้อมกับ Music Video โดยที่เนื้อเพลงเป็นเรื่องราวของการโหยหาใครสักคนในช่วงเวลาที่โดดเดี่ยว แน่นอนว่า B.I ได้มีส่วนร่วมในการเขียนเนื้อเพลงด้วย  

เพลงต่อมา นั่นคือ เพลง Daydream Feat. LeeHi ซึ่งเป็นเพลงในสตูดิโออัลบั้ม WATERFALL ของ B.I ที่ปล่อยออกมาในวันที่ 1 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2021 พร้อมกับ Music Video โดยที่เนื้อเพลงเป็นเรื่องราวของการเปรียบเปรยความทรงจำของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในความฝันได้เลือนหายไป เมื่อลืมตาขึ้นมาพบกับโลกของความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ

และเพลงล่าสุด นั่นคือ เพลง Savior Feat. B.I ซึ่งเป็นเพลงในสตูดิโออัลบั้ม “4 ONLY” ของ LeeHi ที่ปล่อยออกมาในวันที่ 3 กันยายน ปี ค.ศ. 2021 พร้อมกับ Music Video โดยที่เนื้อเพลงเป็นเรื่องราวของบุคคลหนึ่งที่มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ รอบตัวของอีกบุคคลหนึ่ง ความรู้สึกพิเศษที่มีให้กันเปรียบเสมือนผู้ที่ช่วยชีวิตให้บุคคลนั้นสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ นอกจากนี้ B.I ยังได้เป็นผู้ที่เขียนเนื้อเพลงให้กับ LeeHi อีกด้วย  

จากผลงานเพลงข้างต้นที่ LeeHi และ B.I ได้ร่วมงานกันมา แสดงให้เห็นถึงทักษะในการเขียนเนื้อเพลงที่มีความหมายที่ลึกซึ้ง และการขับร้องออกมาเป็นทำนองที่เพราะจับใจจากเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งคู่ นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงมิตรภาพของนักร้องทั้งสองที่มีให้กันตั้งแต่เป็นเพื่อนร่วมค่ายเดียวกันมาจนถึงปัจจุบันที่ต่างแยกย้ายกันไปเติบโตในเส้นทางใหม่ที่ตนเองเลือก แต่ก็ยังสามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างเช่นเคย ทั้งนี้ แฟนคลับของทั้งคู่ต่างคาดหวังว่าในอนาคตพวกเขาจะได้มีโอกาสร่วมมือกันสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ฟังอีกครั้ง

ติดตามบทความ เพลง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

“แนะนำ 3 เพลงประกอบซีรีส์เกาหลี”

3 เพลงประกอบซีรีส์เกาหลียอดฮิตในปี 2016

เพลงยอดฮิตในปี 2016 จาก Punch เจ้าแม่เพลงประกอบซีรีส์เกาหลี

Punch (พันช์) หรือ Bae Jin-young (แพ จินย็อง) เป็นนักร้องชาวเกาหลีใต้ เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1993 เธอเริ่มต้นอาชีพนักร้องเมื่อปี ค.ศ. 2014 ปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของค่าย YamYam Entertainment เธอถูกพูดถึงเป็นอย่างมากจากผลงานการร้องเพลงประกอบซีรีส์เกาหลียอดฮิตในปี ค.ศ. 2016

ได้แก่ เพลง Everytime กับ Chen วง Exo ประกอบซีรีส์เรื่อง Descendants of the Sun, เพลง Say Yes กับ Loco ประกอบซีรีส์เรื่อง Moon Lovers: Scarlet Heart Ryeo, เพลง Stay with Me กับ Chanyeol วง Exo ประกอบซีรีส์เรื่อง Guardian: The Lonely and Great God

เพลง Everytime กับ Chen วง Exo ประกอบซีรีส์เรื่อง Descendants of the Sun นำแสดงโดยซง จุงกิ และซอง เฮเคียว เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนายทหารและแพทย์หญิงที่ต้องมาทำงานร่วมกันในค่ายแพทย์อาสาสมัคร มีเรื่องราวของภัยพิบัติและโรคระบาดเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาช่วยเหลือกันและกันจนเกิดเป็นความผูกพันขึ้นมา

โดยเพลง Everytime ของ Punch กับ Chen วง Exo เป็นเพลงรักที่แสนหวานช่วยส่งเสริมให้เนื้อหาของซีรีส์มีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น จนผู้ชมสามารถรับรู้ได้ถึงความรักของตัวละครและจดจำเพลงได้ทันทีเมื่อนึกถึงซีรีส์เรื่องดังกล่าว

เพลง Say Yes กับ Loco ประกอบซีรีส์เรื่อง Moon Lovers: Scarlet Heart Ryeo นำแสดงโดยอีจุนกิ และ IU (ไอยู) เป็นซีรีส์แนวแฟนตาซี/ประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับวิญญาณของหญิงสาวจากโลกปัจจุบันที่ย้อนเวลาไปยังสมัยราชวงศ์โครยอจากอุบัติเหตุจมน้ำ เธอได้พบกับเหล่าองค์ชายซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าแทโจ

และเข้าไปพัวพันกับการแย่งชิงอำนาจภายในวังหลวงขององค์ชายเหล่านั้น เพลง Say Yes ของ Punch กับ Loco เป็นเพลงรักที่มีทำนองและเนื้อหาที่น่ารักเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความไร้เดียงสาของตัวละคร ทำให้ผู้ชมรู้สึกเอ็นดูตัวละครเหล่านั้นเป็นอย่างมาก

เพลง Stay with Me กับ Chanyeol วง Exo ประกอบซีรีส์เรื่อง Guardian: The Lonely and Great God หรือ Goblin เป็นซีรีส์แนวแฟนตาซี บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ Goblin หรือผู้พิทักษ์วิญญาณที่เป็นอมตะ กับหญิงสาวที่เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าสาวของ Goblin และต้องทำหน้าที่ในการถอนคำสาปจากการเป็นอมตะนั่นเอง เพลง Stay with Me ของ Punch กับ Chanyeol วง Exo เป็นเพลงรักที่ลึกซึ้ง กล่าวถึงการตกหลุมรักที่ยากจะถอนตัวและอยากให้ความรักนั้นคงอยู่ตลอดไป

จะเห็นว่า นอกจากตัวซีรีส์ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เพลงประกอบซีรีส์ก็สามารถช่วยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปกันตัวละครนั้นๆ ซึ่ง Punch ถือเป็นนักร้องที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาอย่างยอดเยี่ยม จนหลายคนขนานนามให้เธอว่าเป็นเจ้าแม่เพลงประกอบซีรีส์เกาหลีเลยทีเดียว

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

“The Aubreys”

The Aubreys

วงดนตรีอินดี้ร็อกจากสองเพื่อนซี้ Finn Wolfhard และ Malcolm Craig

หลายคนอาจจะรู้จัก Finn Wolfhard ในฐานะนักแสดงจากผลงานยอดเยี่ยมอย่าง Stranger Things และ IT แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขามีความสามารถทางด้านดนตรีและมีความสนใจในด้านการทำเพลง โดย Finn Wolfhard และ Malcolm Craig ทั้งสองเป็นชาวแคนาดาและเป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่อายุเพียง 11 ขวบ ทั้งสองเคยปรากฏตัวในมิวสิกวิดีโอเพลง Guilt Trip ของวงดนตรีพังค์ร็อกอย่าง PUP ซึ่งปล่อยออกมาในวันที่ 16 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2014 ด้วยความสนใจทางด้านดนตรีที่มีร่วมกัน พวกเขาและเพื่อนชาวแคนาดาอีก 2 คน จึงได้รวมตัวกันก่อตั้งวงดนตรีที่ชื่อว่า Calpurnia ขึ้นมา

วง Calpurnia ถูกก่อตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 2017 ประกอบด้วย Finn Wolfhard ทำหน้าที่เป็นนักร้องนำและกีตาร์ริทึ่ม, Malcolm Craig ทำหน้าที่เป็นมือกลอง, Ayla Tesler-Mabe ทำหน้าที่เป็นนักร้องนำและกีตาร์นำ และ Jack Anderson ทำหน้าที่เป็นนักร้องนำและมือเบส โดยมีอีพีอัลบั้มแรกชื่อว่า “Scout” และได้ออกซิงเกิลแรกอย่าง “City Boy” เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ปี ค.ศ. 2018 หลังจากนั้นก็ปล่อยซิงเกิล “Louie” เมื่อวันที่ 12 เมษายน และ “Greyhound” เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ตามมาในปีเดียวกัน ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักเพิ่มมากยิ่งขึ้น จนพวกเขาได้สัมภาษณ์พิเศษกับเว็บไซต์ Billboard เกี่ยวกับผลงานและแนวทางในอุตสาหกรรมดนตรี

จนกระทั่งในวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2019 พวกเขาได้ประกาศยุติการทำงานของวง Calpurnia และสมาชิกจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง หลังจากนั้นไม่นาน Finn Wolfhard และ Malcolm Craig ก็ประกาศว่าพวกเขาจะกลับมารวมตัวกันทำวงดนตรีอินดี้ร็อกในชื่อ “The Aubreys” ซึ่งมีสมาชิกเพียงแค่ 2 เท่านั้น

The Aubreys ได้ปล่อยผลงานแรกออกมาเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง The Turning (ปีศาจเลี้ยงลูกคน) มีชื่อเพลงว่า “Getting Better (otherwise)” โดยปล่อยออกมาในวันที่ 15 มกราคม ปี ค.ศ. 2020 โปรดิวซ์โดย Lawrence Rothman ซึ่งถือเป็นผลงานเดบิวต์ซิงเกิลแรกของพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ปล่อยอีพีอัลบั้มแรกออกมาในวันที่ 13 มีนาคม ปี ค.ศ. 2020 ชื่อว่า Soda & Pie ประกอบด้วยเพลง 3 เพลง ได้แก่ Brother, Loved One และ Afraid to Drink โดยผลงานล่าสุดของพวกเขาคือซิงเกิลที่ชื่อว่า “Karaoke Alone” ปล่อยออกมาในวันที่ 10 กันยายน ปี ค.ศ. 2021

ถึงแม้ว่า The Aubreys จะมีสมาชิกเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น แต่ Finn Wolfhard และ Malcolm Craig ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยที่พวกเขาเขียนเนื้อเพลงและโปรดิวซ์ด้วยตนเอง เรียกได้ว่า พวกเขามีส่วนร่วมในการทำเพลงแทบจะทุกขั้นตอนเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถึงแม้ว่า Finn Wolfhard จะยังคงทำหน้าที่ในฐานะนักแสดงไปพร้อมกัน แต่เขาก็ยังให้ความสนใจในการทำเพลงต่อไป และหวังว่าพวกเขาจะปล่อยผลงานเพลงออกมาอีกเรื่อยๆ ในอนาคต

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

โปรเจกต์เรื่องถัดไปของ “คริสโตเฟอร์ โนแลน”

โปรเจกต์เรื่องถัดไปของ คริสโตเฟอร์ โนแลน

ย้ายบ้านจาก Warner Bros. มาเป็น Universal แทน โดยหนังจะว่าด้วยชีวประวัติของนักฟิสิกส์ผู้พัฒนาระเบิดปรมาณู

เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่คอหนังต่างพูดถึงกันเยอะมากในช่วงสัปดาห์ที่่ผ่านมา สำหรับผลงานหนังเรื่องถัดไปของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (The Dark Knight, Tenet) ที่ครั้งนี้เขาได้ย้ายบ้านจาก Warner Bros. มาทำหนังให้กับค่าย Universal แทน พร้อมทั้งโปรเจกต์นี้ก็เป็นหนังชีวประวัติเรื่องแรกของเขาอีกด้วย

โดยผลงานกำกับเรื่องถัดไปของ โนแลน จะเป็นหนังที่ว่าด้วยชีวประวัติของ เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ นักฟิสิกส์ผู้เป็นคนที่คิดค้น และพัฒนาระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับรายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการมากนัก แต่แน่นอนว่า โนแลน จะมารับหน้าที่กำกับ และอำนวยการสร้างภายใต้บริษัทของเขาและภรรยาอย่าง Syncopy Inc. พร้อมทั้งด้านนักแสดงนำก็ยังมีการวางตัว คลินเลียน เมอร์ฟี่ ที่เคยร่วมงานกับ โนแลน มาแล้วใน (Batman Begins, Dunkirk) มารับบทนำในหนังเรื่องนี้

ส่วนด้านสตูดิโอผู้สร้างอย่าง Universal ก็ได้มอบเงื่อนไขการทำงานร่วมกับโนแลน โดยหนังจะได้ทุนในการสร้าง 100 ล้านเหรียญฯ และทุนในการโปรโมทอีก 100 ล้านเหรียญฯ ซึ่งโนแลน จะได้อิสระในการสร้างสรรค์หนังเรื่องนี้ทั้งหมด นอกจากนี้หนังจะต้องเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่างน้อย 100-130 วัน ถึงจะสามารถลงฉายบนสตรีม หรือจำหน่ายในรูปแบบโฮมเธียเตอร์ โดยช่วงก่อน และหลังการฉายหนังเรื่องนี้ ห้ามมีหนังเรื่องอื่น ๆ ของ Universal ฉายในโรงภาพยนตร์

สำหรับสาเหตุที่ โนแลน โบกมือลา Warner Bros. หลังจากที่ร่วมงานกันมากว่า 20 ปี ก็เนื่องจากเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทาง Warner Bros. ได้วางแผนรับมือการฉายหนังในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ด้วยการประกาศว่าจะทำการฉายหนังทุกเรื่องของค่ายในโรงภาพยนตร์ พร้อมกับลงฉาย HBO MAX ในเวลาเดียวกัน โดยที่ทางค่ายไม่ได้บอกให้ทางผู้สร้างหนังได้รับทราบ ทำให้ด้านผู้กำกับที่ยึดมั่นในการฉายหนังในโรงภาพยนตร์อย่าง โนแลน ไม่พอใจกับการกระทำของ Warner Bros. ในครั้งนี้มาก ๆ ทำให้เขาตัดสินใจแยกทางกับสตูดิโอ

สำหรับ คริสโตเฟอร์ โนแลน เป็นผู้กำกับหนังมากฝีมือ สัญชาติอังกฤษ โดยผลงานของเขาส่วนใหญ่จะเป็นหนังที่มาพร้อมความหวือหวาในด้านการเล่าเรื่อง การผสมผสานระหว่างไซไฟ และจิตวิทยา ที่ลึกล้ำ ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ โนแลน ก็ยังเป็นผู้สร้างหนังไตรภาคแบทแมน ที่ดีที่สุดอย่าง The Dark Knight Trilogy ที่กลายเป็นหนังเรื่องโปรดของหลาย ๆ คนมาจนทุกวันนี้ ส่วนผลงานที่โดดเด่นของเขาก็ได้แก่ Momento, Inception, The Dark Knight และ Interstellar

ส่วนกำหนดฉายหนังเรื่องถัดไปของโนแลน ยังไม่มีการกำหนดช่วงเวลาอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าหนังจะเปิดกล้องในช่วงต้นปีหน้า และน่าจะเข้าฉายในช่วงปี 2023-2024

Cr.ภาพ : IMDB

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

ลือหนัก Disney ดึง Quantic Dream สร้างเกม Star Wars

Quantic Dream สร้างเกม Star Wars

เป็นอีกหนึ่งข่าวลือที่ถูกให้ความสนใจมากเลยทีเดียวสำหรับการร่วมงานกันของ Disney และ Quantic Dream เพื่อสร้างเกม Star Wars

เนื่องจากในระยะหลังมีการพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าวมากมายในโลกของสื่อสังคมออนไลน์ะโดยเริ่มต้นจาก Gautoz ยูทูปเปอร์ชาวฝรั่งเศสที่ได้มีการออกมายืนยันว่า Quantic Dream ได้หมดสัญญากับ Sony และกำลังเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ Disney เพื่อที่จะสร้างเกม Star Wars และยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ใน Twitter โดย Twitter ของ Tom Henderson นักปล่อยข่าวลือวงการเกมที่มีการทวิตรูปภาพตัวละครในเกม Detroit: Become Human กับดาบสตาร์วอร์ ซึ่งจากการปล่อยข่าวทำให้แฟนตื่นตาตื่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

Star Wars เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับความนิยมอย่างมากและได้นำมาทำเป็นเกมในหลากหลายรูปแบบซึ่งคราวนี้การนำสตูดิโออย่าง Quantic Dream มาร่วมพัฒนาเกมก็คงจะได้เกม Star Wars ในรูปแบบใหม่ขึ้นมาอย่างแน่นอนโดยทาง Quantic Dream จะร่วมสร้างเกม Star Wars เป็นเวลา 18 เดือน ซึ่งคราวนี้คงจะทำให้เกม Star Wars นั้นมีรูปแบบการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนซึ่งก็ยังไม่ได้มีข้อมูลออกมาว่าจะมีเนื้อเรื่องและรูปแบบการเล่นไปในทิศทางไหม แต่คงเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว

Quantic Dream เป็นสตูดิโอที่สร้างเกมแนว narrative-based adventure games ตัวอย่างเกมที่ Quantic Dream เป็นผู้สร้างก็คือ Detroit: Become Human เกมที่ได้รับรางวัลเกม RPG ยอดเยี่ยมแห่งปี 2018 จากสื่อออสเตรเลีย ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเกมคุณภาพดีที่ได้รับการชื่นชมจากนักเล่นเกมจำนวนมากรวมไปถึงเหล่าผู้ชมที่ได้รับชมเกม Detroit: Become Human นอกจากนี้แล้ว Quantic Dream ยังเป็นผู้สร้างเกม Beyond: Two Souls และ Heavy Rain อีกด้วย ซึ่งแต่ละเกมนั้นก็เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นสตูดิโอที่สร้างเกมได้ดีและประสบความสำเร็จในการสร้างเกมเป็นอย่างมาก

ในคราวนี้ก็ต้องมาดูว่าการที่ Quantic Dream จะมาสร้างเกม Star Wars และจะทำให้เกม Star Wars นั้นเป็นเกมแนวเนื้อเรื่องเหมือนกับเกม Detroit: Become Human หรือไม่ หรือจะเปลี่ยนเป็นเกมแนวอื่น ๆ ซึ่งก็เป็นที่น่าติดตามมากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามก็ต้องดูต่อไปว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นจะเป็นแค่เพียงข่าวลือหรือจะเป็นข่าวที่เป็นความจริงกันแน่อย่างไรก็คงต้องรอการประกาศจากทางผู้สร้างอย่างเป็นทางการเสียก่อน แต่ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นความจริงขึ้นมาแล้วล่ะก็พวกเราคงจะได้เห็นเกม Star Wars รูปแบบใหม่ก็ได้ เพราะที่ผ่านมา Ubisoft เคยทำเกม Star Wars เป็นรูปแบบ Open World มาแล้วและนอกจากนี้เกม Star Wars ยังถูกนำไปทำเป็นเกมรูปแบบเลโก้อีกด้วย

Cr.ภาพ :  Gamingdose / PC Gamer / Wallpaperaccess

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

“Scarlett Johansson” จ่อขอ 100 ล้านดอลลาร์จาก Disney

Scarlett Johansson จ่อขอ 100 ล้านดอลลาร์จาก Disney

Scarlett Johansson เป็นนักแสดงที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเมื่อเขามารับงานแสดงเป็นตัวละคร Black Widow

ซึ่งเป็นตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ตัวหลักในภาพยนตร์ของ Marvel Studio ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Disney ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้สวยตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาเขาได้รับการชื่นชมและได้รับการชื่นชอบจากแฟน ๆ เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนว่าการอำลาออกจากอ้อมกอด Marvel Studio จะจบลงไม่สวยสักเท่าไหร่

ในภาพยนตร์เรื่อง Black Widow ซึ่งเป็นภาพยนตร์เดี่ยวเรื่องแรกและภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ Scarlett Johansson กลับกลายเป็นว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้เธอนั้นไม่มีความสุข เนื่องจากทาง Disney ได้ทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับ Scarlett Johansson โดยทาง Disney ได้นำภาพยนตร์เรื่อง Black Widow ที่กำลังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ไปฉายใน Disney Plus ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Streaming ของทาง Disney ทำให้ Scarlett Johansson นั้นไม่สามารถรับรายได้จากการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ได้อย่างเต็มที่นั่นเองซึ่งทำให้เธอสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมหาศาล และทาง Scarlett Johansson เองก็จะดำเนินการฟ้องร้องทาง Disney ด้วยเช่นกัน

แต่ก่อนที่จะฟ้องร้องนั้นทาง Scarlett Johansson นั้นเรียกร้องเงินเป็นจำนวน 100 ล้านดอลลาร์ก่อนที่จะมีการฟ้องร้อง ซึ่งนั่นเป็นจำนวนเงินที่คำนวณจากรายได้ที่เธอได้รับจากหนังที่เธอแสดงมาทั้งหมดภายใต้ Marvel Cinematic Universe สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Black Widow เข้าฉายในโรงหนังสามารถทำรายได้จากการเปิดตัวไปได้มากถึง 80 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว และอีก 30 ล้านดอลลาร์จากช่องทาง Disney Plus โดยปัจจุบันนี้ภาพยนตร์เรื่อง Black Widow ทำรายได้สูงถึง 372.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากทั่วโลก และภาพยนตร์เรื่อง Black Widow ก็สามารถทำรายได้ใน Disney Plus ไปเป็นจำนวนสูงถึง 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อนำเงินของทั้งภาพยนตร์ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของเธอมาบวกกับทาง Disney Plus แล้วทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นกวาดเงินไปเกือบ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

ภาพยนตร์เรื่อง Black Widow เป็นภาพยนตร์เดี่ยวเรื่องแรกของเธอและเป็นเรื่องสุดท้ายที่เธอจะได้ร่วมงานกับ Marvel Studio ทำให้เธอมั่นใจว่าจะทำออกมาดี แต่ว่ามันกลับไม่ได้ออกมาตามที่เธอวางแผนเอาไว้ อย่างไรก็ตามเรื่องราวการฟ้องคดีในครั้งนี้ก็ยังไม่ได้ออกมาแน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ และยังคงต้องตามหาคำตอบกันต่อไป แต่ถ้าหากว่า Scarlett Johansson พ่ายแพ้ในการฟ้องคดีดังกล่าวนักแสดงที่เคยร่วมงานกับเธอภายใต้ Marvel Studio นั้น ก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้าง Scarlett Johansson

Cr.ภาพ : Screenrant

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

เอกลักษณ์ของ “Mido and Falasol” วงดนตรีจากซีรีส์เรื่อง Hospital Playlist

Mido and Falasol

Mido and Falasol” เป็นชื่อของวงดนตรีที่คนทั่วไปอาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่สำหรับใครที่ได้รับชมซีรีส์เรื่อง Hospital Playlist ก็จะถึงบางอ้อเลยทีเดียว โดยซีรีส์เรื่อง Hospital Playlist เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพของเพื่อนหมอ 5 คนที่มีความสนิทสนมกันมากกว่า 20 ปี ตั้งแต่เข้าโรงเรียนแพทย์จนถึงการทำงานในโรงพยาบาลเดียวกัน จุดเด่นของเรื่องจะเป็นการเล่าถึงความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครที่ไม่ได้หวือหวามากนัก แต่สามารถดึงดูดผู้ชมได้จากการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายและไม่ซับซ้อน ปัจจุบันมีทั้งหมด 2 ซีซั่น (ซีซั่นละ 12 ตอน) ซึ่งกำกับโดยผู้กำกับมากฝีมืออย่าง ชิน วอนโฮ (Shin Won-ho)

จุดที่สร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมทั้งหลาย คือการที่กลุ่มเพื่อนหมอทั้ง 5 คน ได้รวมตัวกันสร้างวงดนตรีขึ้นมา ชื่อว่า “Mido and Falasol” โดยนักแสดงนำของเรื่องอย่าง โช จองซอก ได้เล่าถึงที่มาของชื่อวงดังกล่าว ว่ามาจากการนำตัวโน๊ตทั้ง 5 ตัวมารวมกัน โดยให้ “มีโด” เป็นตัวแทนของชอน มี-โด และ “ฟา ลา ซอล” เป็นตัวแทนของนักแสดงที่เหลืออีก 4 คน

“Mido and Falasol” ประกอบไปด้วยสมาชิกและตำแหน่งภายในวง ได้แก่

  • อี อิกจุน (Lee Ik-Jun) ศัลยแพทย์ทั่วไป รับบทโดย โช จองซอก (Jo Jung-Suk) ตำแหน่งนักร้องนำและมือกีตาร์
  • อัน จองวอน (Ahn Jeong-Won) กุมารศัลยแพทย์ รับบทโดย ยู ยอนซอก (Yoo Yeon-Seok) ตำแหน่งมือกลอง
  • คิม จุน-วาน (Kim Jun-Wan) ศัลยแพทย์ทรวงอก รับบทโดย ชอง กยองโฮ (Jung Kyung-ho) ตำแหน่งมือกีตาร์
  • ยัง ซอก-ฮยอง (Yang Seok-Hyung) แพทย์ด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา รับบทโดย คิม แด-มยอง (Kim Dae-myung) ตำแหน่งมือคีบอร์ด
  • แช ซง-ฮวา (Chae Song-Hwa) ประสาทศัลยแพทย์ รับบทโดย ชอน มี-โด (Jeon Mi-Do) ตำแหน่งมือเบส

ภายในเรื่องจะเห็นว่า “Mido and Falasol” นำเพลงฮิตในช่วงปลายยุค 90 ของเกาหลีมาเล่นกันแทบทุกตอน โดยในซีซั่นแรกมีเพลงฮิตที่พวกเขานำมาเล่น ได้แก่ เพลง Aloha – Cool (2001), เพลง Me to You, You to Me – The Classic (2003), เพลง I Knew I Love – Shin Hyo Beom (2006) และในซีซั่นที่สอง ได้แก่ เพลง Superstar – Lee Han Chul (2006), เพลง Already One Year – Brown Eyes (2007) เป็นต้น โดยภายในเรื่องยังมีเพลงอีกจำนวนมากที่พวกเขาซ้อมกันในหลายๆ ฉาก

แน่นอนว่า นักแสดงแต่ละคนไม่ได้เป็นนักดนตรีหรือเล่นเครื่องดนตรีได้อย่างเชี่ยวชาญมากนัก ในเบื้องหลังพวกเขาจึงต้องฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้พวกเขาสามารถเล่นได้อย่างสมจริงมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังทำการอัดเพลงในนามของวง “Mido and Falasol” ออกมาให้กับแฟนเพลงได้ฟังอีกด้วย ซึ่งสามารถฟังเพลงเหล่านั้นได้ผ่านช่องทางบริการ Music Streaming ต่างๆ เช่น Spotify, YouTube Music, Apple Music เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่า “Mido and Falasol” กลายเป็นนักดนตรีทั้งในจอและนอกจอเลยทีเดียว

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

“Taylor Swift” กับ 3 ผลงานอัลบั้มที่ได้รับรางวัลแกรมมี สาขาอัลบั้มแห่งปี

Taylor Swift กับ 3 ผลงานอัลบั้ม5

Taylor Swift ศิลปินนักร้องชาวอเมริกันชื่อดังที่สามารถสร้างสถิติใหม่จากผลงานของตัวเองได้เสมอ โดยเธอเป็นศิลปินนักร้องหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปี (Album of the Year) จากเวทีประกาศรางวัลแกรมมี (Grammy Awards) ถึง 3 ครั้ง โดยปราศจากข้อกังขาจากคนทั่วไป เนื่องจากเธอได้พิสูจน์ฝีมือด้วยการที่เธอมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการทำอัลบั้มเพลง ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเนื้อเพลง แต่งทำนอง การอัดเพลง รวมถึงเสียงดนตรี เรียกได้ว่า เธอทำเพลงทุกเพลงในอัลบั้มออกมาจากความสามารถของเธอเองทั้งนั้น

Taylor Swift ได้รับรางวัลแกรมมี (จัดครั้งที่ 52) สาขาอัลบั้มแห่งปีครั้งแรกจากอัลบั้ม Fearless ในปี ค.ศ. 2010 ซึ่งเป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 2 ของเธอ ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2008 เนื่องจากเธอเริ่มต้นอาชีพนักร้องด้วยการเป็นนักร้องแนวคันทรี อัลบั้มนี้จึงเป็นแนวเพลงคันทรี-ป็อป โดยมีซิงเกิลยอดฮิตมากมาย ได้แก่ Love Story, White Horse, You Belong with Me, Fifteen และ Fearless เป็นต้น

ต่อมา ในงานประกาศรางวัลแกรมมี (Grammy Awards) ครั้งที่ 58 Taylor Swift ก็สามารถคว้ารางวัลแกรมมี สาขาอัลบั้มแห่งปีได้เป็นครั้งที่สอง จากอัลบั้ม 1989 ในปี ค.ศ. 2016 ซึ่งเป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 5 ของเธอ ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2014 โดยอัลบั้มนี้มีแนวเพลงที่แตกต่างจากอัลบั้มก่อนอย่างชัดเจน นั่นคือ เธอทำอัลบั้ม 1989 ให้เป็นแนวเพลงป็อปอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับแฟนคลับเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีโอกาสน้อยนักที่ศิลปินจะเปลี่ยนแนวเพลงของตัวเอง

ในที่สุด Taylor Swift ก็สามารถสร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเองได้สำเร็จ โดยในปี ค.ศ. 2021 อัลบั้ม Folklore ของเธอสามารถคว้ารางวัลแกรมมี สาขาอัลบั้มแห่งปี จากงานประกาศรางวัลแกรมมี (Grammy Awards) ครั้งที่ 63 ได้ในที่สุด ซึ่งนับว่านี่เป็นครั้งที่ 3 ที่เธอได้รับรางวัลนี้ และถือเป็นศิลปินนักร้องคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลนี้ 3 ครั้งด้วยกัน โดย Folklore เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 8 ของเธอ ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2020 มีแนวเพลงอินดี้โฟล์ก ซึ่งเป็นแนวเพลงที่มีความแตกต่างจากอัลบั้มก่อนของเธออย่างชัดเจน

จะเห็นว่า อัลบั้มทั้ง 3 ของ Taylor Swift ที่ได้รับรางวัลแกรมมี สาขาอัลบั้มแห่งปีนั้น มีแนวเพลงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นคันทรี-ป็อป ป็อป และอินดี้โฟล์ก ซึ่งถือเป็นสิ่งที่พิสูจน์ความสามารถของเธอในฐานะศิลปินนักร้องนักแต่งเพลงที่มีผลงานยอดเยี่ยมในทุกช่วงเวลาของอาชีพนักร้อง และนอกจากจะเป็นผู้สร้างสถิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมวงการเพลงแล้ว เธอยังเป็นผู้สร้างคุณค่าให้กับผลงานเพลงในอุตสาหกรรมแห่งนี้อีกด้วย  

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา-นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

เป็นเรื่อง “สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน” ยื่นฟ้อง Disney

เป็นเรื่อง! สการ์เลตต์ โจแฮนส์สันยื่นฟ้อง Disney H

สการ์เลตต์ โจแฮนส์สันนักแสดงชั้นนำของ Marvel Cinematic Universe ที่รับบทเป็นตัวละคร Black Widow ได้มีการยื่นฟ้องบริษัท Disney เนื่องจากผิดสัญญาภาพยนตร์เดี่ยวภาคแรกของเธออย่าง Black Widow

Black Widow เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ของ Marvel Cinematic Universe ที่เป็น หนึ่งในภาพยนตร์เปิดจักรวาลใหม่ของทางค่ายในเฟสที่ 4 โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดฉายตั้งแต่ในช่วงปีที่ผ่านมาแต่ด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิดทำให้ภาพยนตร์นั้นถูกเลือกให้มีกำหนดใช้ใหม่อีกครั้งโดยมีกำหนดฉายในปีนี้ โดยจะมีการฉายในโรงภาพยนตร์และหลังจากนั้นก็จะนำมาฉายทาง Disney Plus แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของ Disney แต่ดูเหมือนว่าทาง Disney จะไม่ได้ทำเช่นนั้นกับภาพยนตร์เรื่อง Black Widow โดยทางดิสนีย์ได้นำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าสู่ Disney Plus ในช่วงที่ภาพยนตร์นั้นยังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ซึ่งก็ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับทางสการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน

โดยสการ์เลตต์ โจแฮนส์สันมีการทำสัญญาไว้กับบริษัท Disney ว่าเธอนั้นจะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการที่ภาพยนตร์ฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งการที่ Disney ผู้ที่เป็นเจ้าของค่าย Marvel นั้นนำภาพยนตร์เรื่อง Black Widow ที่กำลังฉายอยู่ในโรงไปลงใน Disney Plus ทำให้รายได้ที่จะได้จากโรงภาพยนตร์นั้นลดลงไป ซึ่งนั่นก็ส่งผลกระทบต่อสัญญาที่มีไว้กับสการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน

สำหรับแพลตฟอร์มอย่าง Disney Plus นั้นถือว่าเป็นแพลตฟอร์มแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของ Disney ที่พึ่งมีการเปิดตัวมาได้ไม่นานดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการให้ได้มากที่สุดและหนึ่งในวิธีการที่ดีก็คือการนำภาพยนตร์พี่มีการฉายในโรงภาพยนตร์นั้นมาลงโดยเร็วที่สุดนั่นเอง แต่การที่ทำเช่นนี้ นอกจากจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับนักแสดงแล้ว ยังส่งผลต่อรายได้ของโรงภาพยนตร์อีกด้วย

อย่างไรก็ตามทาง Disney ก็ยังไม่มีความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้ยังไม่รู้ว่าปัญหาในเรื่องนี้จะจบลงเช่นไร แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยก็คือภาพยนตร์ของ Marvel Cinematic Universe ล้วนได้รับความนิยมมาจากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ด้วยกันทั้งสิ้น

Cr.ภาพ : Wall.alphacoders

ติดตามบทความ บันเทิง ดารา – นักร้อง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com