รีวิวหนัง The Last Duel

รีวิวหนัง The Last Duel

The Last Duel คือหนึ่งในผลงานหนังฟอร์มยักษ์ของ ริดลีย์ สก้อตต์ (Aliens) ซึ่งนอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็ยังมีอีกหนึ่งที่หนังรวมดาราอย่าง House of Gucci ที่เตรียมจะเข้าฉายในเร็ว ๆ นี้อีกด้วย โดยงานทั้งสองเรื่องนี้ก็ล้วนแต่ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง

สำหรับ The Last Duel จะเป็นหนังที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 14 ในประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ฌอง เดอ คาร์รูจน์ (แมตต์ เดม่อน) และ ฌาร์ เลอ กรีส (อดัม ไดรเวอร์) สองนักรบผู้มีชื่อเสียง ที่ครั้งหนึ่งทั้งสองเคยเป็นเพื่อนรักที่ร่วมรบมาด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็แตกหักกัน เมื่อ มาเกอเรต (โจดี้ คอร์เมอร์) ภรรยาสาวของ เดอ คาร์รูจน์ ได้บอกกับเขาว่าเธอนั้นได้ถูก เลอ กรีส บุกเข้ามาข่มขืนเธอ ในขณะที่ด้านตัว เลอ กรีส ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น ทำให้พวกเขาและเธอเลยต้องทำการพิพากษาคดีนี้ด้วยการดวลกัน หากใครแพ้คนนั้นจะต้องถูกลงโทษ

โดยหนังเรื่องนี้ ริดลีย์ สก้อตต์ เลือกใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบหนังราโชมอน คือการเล่าเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง ผ่านสายตา ผ่านมุมมองของแต่ละตัวละครที่ให้ความจริงที่ต่างกันไป ซึ่งนั่นก็ทำให้ประเด็นหลักของเรื่องอย่างเรื่องการพิพากษาคดี มีความจริงจัง เข้มข้น และทำให้คนดูได้เห็นตื้นลึกหนาบางของแต่ละตัวละคร ผ่านมุมมองที่หนังเลือกที่จะเผย

ซึ่งแก่นของหนังเรื่องนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่หนังสงคราม การเมืองแต่อย่างใด แต่มันคือการพูดถึงชีวิตของผู้หญิงในสมัยนั้น ที่มีการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งบทบาทของผู้หญิงเป็นเพียงแค่แม่บ้าน แม่เรือน ที่มีหน้าที่ผลิตลูกในท้อง พร้อมทั้งต้องเผชิญกับความกดดันในด้านบทบาททางสังคม และเมื่อตัวละคร มาเกอเรต ที่ถูกข่มขืนด้วยแล้ว มันทำให้เธอต้องถูกเหยียดหยามดูถูกจากรอบข้างมากไปอีก โดยหนังก็ได้นำเสนอบทบาทของตัวละครนี้ ออกมาได้อย่างมีมิติ และทรงพลัง แม้ว่าบทบาทของตัวละครนี้จะมีอยู่เพียงในช่วงท้ายเรื่อง แต่หนังก็ได้ถ่ายทอดประเด็นความไม่เท่าเทียมทางเพศ และเรื่อง Sexual Harassment ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แบบที่เอาคนดูได้อยู่หมัด

งานโปรดักชั่นของหนังเรื่องนี้ ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม โดยหนังได้มีการนำเสนอบริบท สังคม วัฒนธรรม ของคนฝรั่งเศสในยุคนั้นออกมาได้อย่างสมจริง รวมทั้งการสร้างสรรค์ฉากสงคราม ที่ดุดัน โหดร้าย ป่าเถื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากดวลกันในช่วงท้ายเรื่อง ที่เป็นการต่อสู้ที่นำเสนอได้ชวนลุ้น ชวนตื่นเต้น จนคาดเดาไม่ได้ว่าจะลงเอยแบบไหน

การแสดงของทีมนักแสดงนำในเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเชือดเฉือนบทบาทกันได้เมามันส์มาก ๆ อีกเรื่อง โดยเฉพาะสามนักแสดงหลักอย่าง แมตต์ เดม่อน,อดัม ไดรเวอร์ และ โจดี้ คอร์เมอร์ ที่ต่างถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้อย่างถึงอารมณ์ โดยเฉพาะ คอร์เมอร์ ที่ต้องแสดงอารมณ์ที่อึดอัด ทุกข์ทรมาน จากชะตากรรมที่ตัวเองเผชิญ จนเรียกได้ว่าเธอคือตัวละครที่แบกให้หนังเรื่องนี้มีดราม่าที่ทรงพลัง และเติมเต็มแก่นของเรื่องให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

โดยรวม The Last Duel ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานชั้นดีของ ริดลีย์ สก้อตต์ ที่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เขายังเป็นมือทำหนังที่สามารถทำหนังหลากหลายแนว และคุณภาพที่แทบไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะด้านความเป็นหนังราโชมอน จะไม่ได้มีความแปลกใหม่ และไม่ได้สร้างความหวือหวามากนัก แต่ในด้านบทของหนัง และการแสดงของทีมนักแสดง เรียกได้ว่าเปี่ยมด้วยคุณภาพอย่างเต็มเปี่ยม จนเป็นหนังอีกเรื่องของปีนี้ ที่คอหนังไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

สามารถรับชม The Last Duel ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Black Panther: Wakanda Forever: ภาคต่อที่สามารถสานต่อเรื่องราวแบล็คแพนเธอร์ ได้อย่างคงเส้นคงวา

รีวิวหนัง Black Panther: Wakanda Forever: ภาคต่อที่สามารถสานต่อเรื่องราวแบล็คแพนเธอร์ ได้อย่างคงเส้นคงวา

ภาคต่อของหนัง MCU ที่ผู้คนรอคอยมากที่สุดของปีนี้ สำหรับ Black Panther: Wakanda Forever ที่หลังจากก่อนหน้านี้ แชดวิก โบสแมน เจ้าของบท แบล็คแพนเธอร์ ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันจากโรคมะเร็งกะเพาะอาหาร ทำให้หลายคนต่างลุ้นว่าใครจะมารับบท แบล็คแพนเธอร์ คนต่อไป และทิศทางจะเป็นอย่างไร โดยในภาคนี้ยังได้ ไรอัน คูกเลอร์ ผู้กำกับจากภาคแรกกลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้ง พร้อมได้ทีมนักแสดงนำจากภาคแรกกลับมารับบทเดิมแบบครบทีม

เนื้อหาในภาคนี้จะว่าด้วย วากานด้า ที่ได้สูญเสีย กษัตริย์ทีชัลล่า (แชดวิก โบสแมน) ไปได้ 1 ปี ทำให้ราชินีรามอนดา (แองเจลา บาสเซต) และองค์หญิงซูริ (ลาลิเทีย ไรท์) สองผู้นำหญิงที่ต้องดูแลประเทศนี้แทน ซึ่งพวกเธอต้องเผชิญกับความขัดแย้งกับสหประชาชาติจากการมีแร่ไวเบรเนียมไว้ครอบครอง จนทำให้มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการพยายามหาไวเบรเนียมจากที่อื่น จนทำให้เผ่าใต้น้ำ ที่มี เนมอร์ (เตนอช เวร์ตา) เกิดความเกรี้ยวกราด และได้เตรียมประกาศสงครามกับมนุษย์โลก โดยมีชาววากานด้า เป็นคนกลางในกลางสงบศึกครั้งนี้

Black Panther: Wakanda Forever ยังคงเป็นหนังที่รักษามาตรฐานจากภาคแรกไว้ได้เป็นอย่างดี หนังสามารถหยิบเอกลักษณ์ความเป็นเผ่าพันธุ์วากานด้า ที่มีความเฉพาะตัว ดนตรีประกอบที่มีเอกลักษณ์ติดหู รวมถึงสไตล์การเล่าเรื่องที่เน้นดราม่าการเมืองไว้ได้อย่างครบครัน โดยเฉพาะประเด็นการเมืองที่ในภาคนี้มีความเข้มข้น ดุดันมากกว่าในภาคแรกในแง่ของความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากร ซึ่งจะไม่ได้เน้นแอ็คชั่นมาเท่าภาคแรก

ในภาคนี่หนังจะมีดราม่าที่หนักไปที่ประเด็นของการสูญเสีย ความแค้น ซึ่งจะมีการอาลัยให้กับตัวนักแสดง แชดวิก โบสแมน อยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้ผู้ชมได้น้ำตารื้น ซึ่งทีมนักแสดงในเรื่องต่างก็ถ่ายทอดบทโศกเศร้าออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ และทำให้นี่เป็นงานดราม่าที่มีอารมณ์หนักหน่วงกว่าหนัง MCU เรื่องที่ผ่าน ๆ มา

ฉากแอคชั่นในภาคนี้ อาจไม่ได้เยอะเท่าภาคก่อน แต่ว่าแต่ละฉากก็ทำออกมาได้อย่างจัดเต็ม สมกับสเกลเนื้อหาที่ใหญ่ขึ้น ฉากสงครามระหว่างวากานด้า และเผ่าใต้ทะเล ทำออกมาได้ดุเดือด อลังการ โดยเฉพาะพลังของเนมอร์ ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ดุดัน จนน่าจะถูกใจหลาย ๆ คน รวมถึงการซ่อนไฮไลท์ แบล็คแพนเธอร์ตนใหม่เอาไว้ท้ายเรื่อง ที่ทำออกมาได้พีคสมการรอคอย

ในส่วนของข้อเสียของภาคนี้ เป็นปัญหาที่หนัง MCU เฟส 4 หลายเรื่องเผชิญ คือการที่หนังพยายามใส่ตัวละครใหม่ ๆ เข้าไปในเรื่องเยอะจนเกินจำเป็น อย่างในเรื่องนี้ที่หนังพยายามขาย ไอร่อนฮาร์ต รวมถึงการใส่หลาย ๆ ประเด็นเข้าไปในเรื่อง จนทำให้เนื้อหาของหนังออกมาไม่สุดเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม Black Panther: Wakanda Forever ก็นับว่าเป็นหนัง MCU ปิดท้ายปี 2022 ที่ทำออกมาได้สมการรอคอย หนังมีดราม่าที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยมมากกว่าหนัง MCU ที่ผ่านมา ที่เป็นการอำลา แชดวิก โบสแมน อย่างสมเกียรติ เป็นงานที่แฟน Marvel ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชม Black Panther: Wakanda Forever ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: IMDB

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/_Z3QKkl1WyM

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Holy Spider: หนังอาชญากรรม ที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้หนักหน่วง มีฉากฆาตกรรมที่สมจริงจนชวนหดหู่ และมาพร้อมประเด็นการเมือง ศาสนา ที่นำเสนอออกมาได้ยอดเยี่ยม และทรงพลัง

รีวิวหนัง Holy Spider

Holy Spider คือหนังสัญชาติอิหร่านผลงานการกำกับของ อาลี อาบาซี หนึ่งในทีมผู้กำกับซีรีส์ The Last of Us ที่เตรียมฉาย HBO ในปีหน้า โดยผลงานเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเทศอิหร่านเมื่อช่วงปี 2000-2001 กับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่มีเหยื่อเป็นโสเภณีมากถึง 16 ราย

ตัวหนังจะว่าด้วย ราฮิมี (ซาร์ อามีร์-อีบราฮีมี) นักข่าวสาวที่ได้เดินทางมายังเมืองมัชฮัด ในประเทศอิหร่าน ที่ในตอนนั้นได้เกิดเหตุการณ์คดีฆาตกรมต่อเนื่องขึ้น ในขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว หรือความพยายามท่ีจะจับตัวคนร้ายมาลงโทษ ทำให้ ราฮิมี ตัดสินใจลงมือตามสืบคดีนี้ด้วยตัวเธอเอง จนทำให้เธอพบกับอันตรายมากมาย รวมทั้งได้เห็นความเหลื่อมล้ำ ความโหดร้ายรุนแรงที่สังคมมีต่อโสเภณี ณ เมืองอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

ตัวหนังมาพร้อมเรทฉายในไทย ฉ20+ ที่จะมีเนื้อหาที่ติดเรท ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงอาชีพโสเภณี ความรุนแรง ฉากการฆาตกรรม และประเด็นศาสนา ที่หนังเล่าแบบไม่เซ็นเซอร์ ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่หนังที่เหมาะสมกับคนดูทุกคน

หนังมาพร้อมการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ด้วยการนำเสนอภาพสังคมในประเทศอิหร่าน ที่เป็นด้านมืด ไม่ว่าจะเป็นมุมอาชญากรรม คนยากจน และสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง แต่ความโหดร้ายของหนังจะมาจากการเล่าเรื่องผ่านเส้นเรื่องของตัวฆาตกรในเรื่อง ที่หนังได้ถ่ายทอดมิติ และแง่มุมต่าง ๆ ของตัวละครนี้ออกมาได้อย่างครบรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายทอดฉากการลงมือฆาตกรรมที่นอกจากจะออกมาสมจริงจนน่าขนลุกแล้ว เรายังได้เห็นทัศนคติ และความคิดอันบิดเบี้ยวของตัวฆาตกรอีกด้วย

นอกจากพาร์ทอาชญากรรมที่หนังนำเสนอผ่านเส้นเรื่องของตัวฆาตกรแล้ว ในด้านเส้นเรื่องของ ราฮิมี ที่เป็นนางเอก หนังก็ได้นำเสนอมุมมองที่เป็นด้านการเมือง ศาสนา และสังคมที่มีชายเป็นใหญ่ ที่ผู้ชมจะได้เห็นภาพการกดขี่ข่มเหงต่าง ๆ นานา การที่สังคมมองผู้หญิงไม่เท่ากัน ที่ทำให้การดูหนังเรื่องนี้มีบรรยากาศที่ชวนอึดอัดใจตลอดทั้งเรื่อง

ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมการแสดงของ ซาร์ อามีร์-อีบราฮีมี ที่ถ่ายทอดบทเหยี่ยวข่าวสาวผู้สู้ชีวิต ออกมาได้ยอดเยี่ยม สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูอยากเอาใจช่วยตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะฉากไคล์แมกซ์ในช่วงท้าย ท่ีทำเอาคนดูนั่งลุ้นจนตัวเกร็ง

โดยรวม Holy Spider นับว่าเป็นหนังอาชญากรรมชั้นเยี่ยม ที่นอกจากจะมาพร้อมการนำเสนอที่สมจริง และทำออกมาได้ถึงอารมณ์แล้ว หนังยังสามารถสะท้อนภาพความเชื่ออันบิดเบี้ยวของศาสนา การมองคนไม่เท่ากัน ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง เรียกได้ว่าเป็นหนังอาชญากรรมที่ไม่ควรพลาดแห่งปีเลย

Holy Spider เข้าฉายวันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Sahamongkol Film

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/drbM0kgtezA

https://youtu.be/drbM0kgtezA

รีวิวหนัง Enola Holmes 2: ภาคต่อที่ยังรักษามาตรฐานความสนุก

รีวิวหนัง Enola Holmes 2: ภาคต่อที่ยังรักษามาตรฐานความสนุก

ภาคต่อของหนังแอ็คชั่น สืบสวนสอบสวน จาก Netflix ที่ในภาคนี้ยังคงได้ทีมผู้สร้าง และนักแสดงชุดเดิม โดยได้ แฮร์รี่ แบรดเบียร์ มือกำกับจากภาคแรกกลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้ง ด้านนักแสดงนำยังได้ มิลลี่ บ้อบบี้ บราวน์ (ซีรีส์ Stranger Things) ที่กลับมารับบท เอโนล่า โฮล์มส์ และ เฮนรี่ คาร์วิล (Man of Steel) ที่กลับมารับบท เชอร์ล็อค โฮล์มส์ อีกครั้ง

สำหรับในภาคนี้ หนังจะเล่าเหตุการณ์หลังจากภาคแรกไปไม่นาน เมื่อ เอโนล่า ได้ทำการเปิดสำนักงานนักสืบของตนเอง เพื่อหวังจะได้ทำงานแบบเดียวกับผู้เป็นพี่ชายอย่าง เชอร์ล็อค โฮล์มส์ แต่ทว่าลูกค้าเธอกลับน้อยนิด จนกระทั่งเธอได้รับการว่าจ้างจากสาวน้อยคนหนึ่งที่ต้องการให้เธอช่วยตามหาพี่สาวที่หายไปของตน จนนำมาสู่การผจญภัยครั้งใหม่ที่ทั้งตื่นเต้น และเต็มไปด้วยเรื่องเหนือความคาดเดา

ในภาคนี้หนังยังคงนำเสนอโดยรักษามาตรฐานความดีงามจากภาคแรกไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอเรื่องราวการสืบสวนให้ออกมาสนุก เข้าใจง่าย และชวนติดตาม, มีการผสมผสานความเป็นแอ็คชั่น คอเมดี้ ที่เป็นส่วนเพิ่มความบันเทิงให้หนังได้ตลอดทั้งเรื่อง และการใส่ฉากโรแมนติกมาเพิ่มให้รสชาติของหนังน่าจดจำมากขึ้น นอกจากนี้หนังก็ยังคงลายเซ็นในการทำลายกำแพงที่ 4 ที่ให้ตัวละคร เอโนล่า สามารถคุยกับคนดูเป็นระยะ ที่ทำให้เพิ่มความผ่อนคลายระหว่างดูหนังมากขึ้น

ด้านการสืบสวน ในภาคนี้ยังคงดำเนินเรื่องเหมือนภาคแรก คือการตามหาคนหาย ก่อนที่หนังจะค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุก ความเข้มข้น ด้วยการยกระดับปริศนาที่ยาก และอันตรายขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรมที่ในภาคนี้จะมีความโหดร้ายมากขึ้น รวมถึงการปูทางสู่การเปิดตัววายร้ายของแฟรนไชส์นี้อย่าง มอริอาร์ตี้ ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในหนังภาคนี้ ในขณะที่ด้านความหักมุมก็ยังทำออกมาได้เหนือการคาดเดา และสร้างเซอร์ไพรส์ให้คนดูได้ไม่น้อย

นอกจากพาร์ทสืบสวนที่ทำออกมาได้อย่างเข้มข้นแล้ว อีกหนึ่งจุดขายของหนัง Enola Holmes คือการใส่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์เข้ามาเป็นจุดเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะการพูดถึงการก่อกำเนิดของกลุ่มสิทธิสตรี ที่ถูกใส่เข้ามาอย่างถูกจังหวะ และลงตัวกับเนื้อเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม

การแสดงในเรื่องนี้ ก็ยังคงต้องขอชื่นชม มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ ที่ยังคงสามารถแบกหนังไว้ทั้งเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม เธอสามารถมอบความสดใส ความแก่นแก้วในแบบของตัวเองได้อย่างมีเสน่ห์ น่าเอาใจช่วยตลอดทั้งเรื่อง ส่วนใครที่อยากเห็นบทบาท เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ของ เฮนรี่ คาร์วิล แบบจัดเต็ม ในภาคนี้เราจะได้เห็นเขามากยิ่งขึ้น ในบทที่ทั้งโดดเด่น และสำคัญยิ่งกว่าเดิม

โดยรวม Enola Holmes 2 ยังคงเป็นหนังสืบสวนที่อัดแน่นด้วยความบันเทิง ดูง่าย ชวนติดตาม หนังมีคุณสมบัติของความเป็นหนังสืบสวนที่ดี ที่เต็มไปด้วยปริศนา และการหักมุมที่เหนือความคาดเดา และการปูทางไปสู่ภาคต่อไปที่ชวนให้แฟน ๆ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ รอคอยติดตามต่อไปในอนาคต

สามารถรับชม Enola Holmes 2 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/X9ncGw064PI

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Everything Everywhere All at Once

รีวิวหนัง Everything Everywhere All at Once

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ชาวไทยได้รับชมหนังมัลติเวิร์สจาก Marvel อย่าง Doctor Strange in Multiverse of Madness ไปแล้ว ในวีคไล่ ๆ กันก็ยังมีอีกหนึ่งหนังมัลติเวิร์สประจำปีนี้อย่าง Everthing Everywhere All at Once หนังแอคชั่น คอเมดี้จากค่ายสุดอินดี้อย่าง A24 ซึ่งงานนี้ก็เป็นผลงานกำกับ และเขียนบทล่าสุดของ เดน ควาน และ แดเนียล ไชเนิร์ต (Swiss Army Man)

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ เอเวอลีน (มิเชล โหยว) หญิงวัยกลางคนเชื้อสายจีน ที่เปิดร้านซักรีดเล็ก ๆ ของตัวเองร่วมกับ เลย์มอนด์ (เคอ ฮุย กวน) สามีของเธอ จนวันหนึ่งในระหว่างที่เอเวอลีน และ เลย์มอนด์ รวมถึงอากง (เจมส์ ฮง) ได้พากันไปจ่ายภาษีกับทางสรรพากร จู่ ๆ ก็ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดกับตัว เอเวอลีน และเลย์มอนด์ เมื่อจู่ ๆ สามีของเธอก็อ้างว่าต้วเขานั้นมาจากอีกโลกมิติหนึ่ง ที่ต้องการใช้ร่างของ เอเวอลีนในการปกป้องจัดรวาลของเธอ จนนำมาสู่การต่อสู้ ที่ทั้งมันส์ และดุเดือดที่สุดเรื่องหนึ่งของค่าย A24

หนังมาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องที่มีความแมสมากกว่าเรื่องก่อน ๆ ของ A24  โดยจะมีส่วนผสมของความเป็นหนังไซไฟ เคล้าดราม่า ที่เข้ากันอย่างลงตัว โดยเฉพาะการนำเสนอฉากแอคชั่นในเรื่อง ที่จะเป็นการผสมผสานลูกเล่นของหนังต่อสู้กำลังภายใน และความเวอร์วังแบบหนังไซไฟ ที่ทั้งสนุก ตื่นเต้น จนแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นผลงานจากค่ายหนังอินดี้อันโด่งดัง

แต่ไฮไลท์ของหนังกลับไม่ใช่แค่ความเป็นแอคชั่นที่ดูสนุก  แต่กลับเป็นความบ้อบอคอแตกที่หนังใส่มาตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นมุกที่เต็มไปด้วยจังหวะโบ๊ะบ๊ะ ที่ชวนขำทั้งเรื่อง และความสร้างสรรค์โลกมัลติเวิร์สที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งมันได้นำมาสู่ความเกรียน ความแปลก ที่มักจะเป็นเอกลักษณ์ของ A24 ทั้งการสร้างตัวละครให้เป็นหิน การสร้างมัลติเวิร์ที่คนมีมือเป็นไส้กรอก เป็นต้น ด้วยความไม่เหมือนใครนี้ ทำให้การดูหนังที่เหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จนี้ เต็มไปด้วยอะไรที่น่าเซอร์ไพรส์ และคาดเดาไม่ได้จนจบเรื่อง

อีกส่วนที่เป็นลายเซ็นของหนังเรื่องนี้ คือการ Parody หนังดังมากมาย ที่มันได้เป็นทั้ง อีสเตอร์เอ้ก และการนำฉากในตำนานมาล้อเลียนอย่างจงใจ ซึ่งจะมีตั้งแต่หนังดังจาก Pixar อย่าง Ratatouille, หนังของหว่องกาไว อย่าง In the Mood for Love และหนังในตำนานของ สแตนลีย์ คูบริก อย่าง 2001 a Space Odyssey ซึ่งการล้อหนังในเรื่องนี้ก็ได้ใส่มาในจังหวะที่เหมาะที่ควร จนมันทั้งดูตลก และคงไว้ซึ่งสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อ

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ทรงพลัง และดีงามที่สุดของหนังกลับไม่ใช่ฉากแอคชั่น หรือการผจญภัยมัลติเวิร์ส แต่กลับเป็นพาร์ทดราม่าที่มาในช่วงท้าย ที่มันเปี่ยมไปด้วยหัวจิตหัวใจ และความอบอุ่น หนังได้หยิบประเด็นของครอบครัว ชีวิตคู่ และการค้นหาตัวตน มาชูได้อย่างทรงพลัง จนกลายเป็นว่า ประเด็นของมัลติเวิร์สเป็นเพียงแค่ส่วนที่เสริมให้พาร์ทดราม่าแข็งแรงขึ้นไปโดยปริยาย และมันยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแม้จะทำหนังแมสแค่ไหน A24 ก็ยังเป็นค่ายที่โฟกัสที่แก่นของหนังมากกว่างานโปรดักชั่น

โดยรวม Everything Everywhere All at Once คืออีกหนังที่ว่าด้วยมัลติเวิร์ส ที่คอหนังไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หนังให้ความสนุก ความบันเทิงที่ต่างจาก Multiverse of Madness โดยสิ้นเชิง ในเรื่องนี้ผู้ชมจะได้พบทั้งความฮา ความบ้า ที่หลุดโลก และปิดท้ายด้วยความประทับใจ นับว่าเป็นอีกหนังแห่งปี 2022 ที่อยากแนะนำให้ไปชมกัน

สามารถรับชม Everything Everywhere All at Once ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: IMDB

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/wxN1T1uxQ2g

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Coda: อีกหนึ่งหนังฟีลกู้ดแห่งปี 2021

รีวิวหนัง-Coda-อีกหนึ่งหนังฟีลกู้ดแห่งปี-2021

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหนังตัวเต็งท้ายปี 2021 ที่ถูกเล็งไว้ว่าจะถูกส่งเข้าชิงออสการ์ในหลายสาขาประจำปีนี้ก็ว่าได้สำหรับ Coda ผลงานการกำกับของ ฌาน เฮเดอร์ (Tallulah) ที่ดัรีเมคมาจากหนังฝรั่งเศสเรื่อง La famille Bélier ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั้งคนดู และนักวิจารณ์ จนกลายเป็นหนึ่งในหนังโปรดของหลายคนในปีที่ผ่านมา

Coda จะว่าด้วยเรื่องราวของ รูบี้ (อมิเลีย โจนส์) หญิงสาวที่เติบโตมาในครอบครัวชาวประมง ที่ พ่อ แม่ และพี่ชายของเธอนั้นเป็นคนหูหนวก แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่เป็นคนที่มีร่างกายปกติ ด้วยความที่มีครอบครัวไม่เหมือนใครนี่เองทำให้ รูบี้ มักถูกเพื่อน ๆ ในโรงเรียนบูลลี่ จนกระทั่งวันหนึ่ง รูบี้ ได้ตัดสินใจเข้าชมรมเรียนร้องเพลงของโรงเรียน ที่นั่นทำให้เธอได้พบกับความฝัน และพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลงของเธอ และนั่นก็ได้ทำให้ รูบี้ ต้องเลือกระหว่างการทำงานกับครอบครัว หรือจะเดินตามความฝันของตัวเองให้กลายเป็นจริง

หากใครที่เคยดูหนังเรื่องนี้ฉบับฝรั่งเศส อาจพอคุ้นเคยกับตัวพลอต และเนื้อหาภาพรวมของหนังเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะหนังยังคงยึดโครงหลักของหนังต้นฉบับไว้เกือบทั้งหมด แต่จะมีการปรับเปลี่ยนในด้านบริบทวัฒนธรรมจากฝรั่งเศส เป็นอเมริกันแทน และเมื่อหนังถูกดัดแปลงในรูปแบบของอเมริกัน ทำให้ตัวหนังมีความแมสมากขึ้น สำหรับใครที่ไม่ได้ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับ การได้ดู Coda ก็เหมือนดูหนังดราม่าน้ำดีอีกเรื่อง ตัวหนังดูง่าย และชวนติดตามมากขึ้นกว่าเดิม

หนังได้ใช้วิธีการดำเนินเรื่องตามสูตรของหนัง Coming-of-Age ด้วยการพูดถึงชีวิตของเด็กวัยรุ่นที่กำลังจะสิ้นสุดชีวิต ม.ปลาย ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างการสิ้นสุดวัยเด็ก สู่วัยผู้ใหญ่ พร้อมทั้งการตามหาสิ่งที่ตัวเองชอบ หนังได้ใช้ประโยชน์จากความบกพล่องของครอบครัวรูบี้ มาเป็นปัญหา และอุปสรรคของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบริบทของการโดนรังแกในโรงเรียน ไปจนถึงการโดนกดขี่ รังแกจากเหล่านายทุน ผู้มีอำนาจ

แต่แม้ว่าประเด็นของหนังจะค่อนข้างละเอียดอ่อน และค่อนข้างหนัก แต่ Coda ก็สามารถใช้ความเป็นหนังฟีลกู้ด มาช่วยเพิ่มความผ่อนคลายให้หนังได้อย่างยอดเยี่ยม หนังมีพาร์ทโรแมนติกของวัยรุ่นที่ทำออกมาได้น่ารัก มีความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาร์ทครอบครัวที่เป็นไฮไลท์สำคัญของหนัง โดยหนังก็ได้นำเสนอภาพของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แต่เปี่ยมด้วยความอบอุ่น เคล้าด้วยมุกตลกที่ชวนให้เราได้อมยิ้มตามตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งความเป็นหนังครอบครัวนี้หนังยังถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลังไม่แพ้ต้นฉบับ มันทำให้ฉากในร้องเพลงในองก์สาม ที่เป็นทีเด็ดของหนังเรื่องนี้ ใน Coda ก็ยังเป็นฉากชวนน้ำตาซึมได้เหมือนที่เวอร์ชั่นต้นฉบับทำเอาไว้

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชมตัว อลิเมีย โจนส์ ที่นอกจากจะถ่ายทอดบทวัยรุ่นขี้อาย ออกมาได้เป็นธรรมชาติ และมีความน่ารัก น่าละมุน จนเราหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็นแล้ว เธอก็ยังได้ถ่ายทอดพลังเสียง ที่แสนไพเราะ ชวนติดหู จนทำให้ทุกฉากร้องเพลงของเรื่องสามารถสะกดคนดูได้อย่างอยู่หมัด นอกจากนี้นักแสดงสมทบที่รับบทพ่อ แม่ และพี่ชายของ รูบี้ ต่างก็มีเคมีการแสดงที่เข้ากันอย่างลงตัว จนเราเชื่อ และประทับใจในความเป็นครอบครัวของทุกตัวละครจริง ๆ

โดยรวม Coda เป็นหนังฟีลกู้ด ขวัญหลงจากปี 2021 ที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การรับชมในช่วงเปิดปีใหม่นี้มาก ๆ อีกเรื่อง เพราะนอกจากพลังฟีลกู้ดที่หนังมอบให้แบบเต็มเอี่ยมแล้ว หนังยังเต็มไปด้วยความบันเทิง ความสนุก และเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังตลอดทั้งเรื่อง ใครที่เป็นคอหนังรางวัล หนังดราม่าคุณภาพ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม Coda ได้แล้ววันนี้

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/csZB1-_cqMk

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Hunt หนังแอ็คชั่น ระทึกขวัญ

รีวิวหนัง-Hunt-หนังแอ็คชั่น-ระทึกขวัญ-11

ผลงานหนังแอ็คชั่น ระทึกขวัญ ที่เป็นงานประเดิมการกำกับ ครั้งแรกของ อีจองแจ พระเอกหนุ่มจาก Squid Game ที่ในเรื่องนี้เขายังควบหน้าที่แสดงนำ ร่วมกับ จองอูซอง จากซีรีส์ The Silent Sea ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมหนังเกาหลี ด้วยการเป็นหนังแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ ประจำปี 2022 ก็ว่าได้

โดยหนังจะว่าด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ช่วงปี 1980 เมื่อภายในหน่วยราชการลับได้พบว่าได้มีหนอนบ่อนไส้จากฝั่งเกาหลีเหนือ แฝงตัวภายในองค์กร ที่ได้พยายามวางแผนลอบสังหารประธานนาธิบดีเกาหลีใต้ และหาทางยึดครองประเทศ ทำให้ทางทีมเจ้าหน้าที่ต้องร่วมกันหาตัวหนอนบ่อนไส้ ก่อนที่แผนร้ายครั้งนี้จะบรรลุผล จนนำมาสู่การสงสัยระหว่างเจ้าหน้าที่ด้วยกันเอง

Hunt เป็นหนังเกาหลีที่มาพร้อมกลิ่นอายแบบหนังสายลับยุค 90 ผสมผสานกับหนังอาชญากรรม โดยให้อารมณ์เหมือนหนังอันโด่งดังอย่าง “2 คน 2 คม” ที่จะเน้นจุดขายไปที่บท และการเล่าเรื่อง ที่เต็มไปด้วยการสืบสวน ไล่ล่า หาตัวผู้ร้าย จนนำมาสู่สงครามจิตวิทยาสุดเข้มข้น และการดำเนินเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าใครคือผู้ร้ายตัวจริง

เช่นเดียวกับหนังเกาหลีส่วนใหญ่ Hunt ได้หยิบนำบริบทของประวัติศาสตร์การเมืองมาเป็นลูกเล่นในการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงรัฐบาลเผด็จการ และอุดมการณ์รวมชาติของเกาหลีเหนือ-ใต้ เข้ามาเป็นแก่นหลักของเนื้อเรื่อง ซึ่งมีการสะท้อนอุดมการณ์ ความขัดแย้ง ผ่านแต่ละตัวละคร หากใครที่ต้องการดูหนังเรื่องนี้ให้อินแนะนำให้ศึกษาประวัติศาสตร์เกาหลีช่วงยุค 80 จะทำให้สนุก และเข้าใจเนื้อหาของหนังมากยิ่งขึ้น

จุดเด่นของ Hunt คือการสร้างสรรค์ฉากแอ็คชั่นที่ค่อนข้างดุเดือด เข้มข้น และเล่นใหญ่กว่าหนังเกาหลีส่วนใหญ่ หนังมาพร้อมฉากสงคราม ไล่ล่ากลางเมือง สุดระห่ำ และมีโปรดักชั่นที่เล่นใหญ่ จัดเต็ม ทั้งระเบิด ทั้งฉากยิงกันแบบหูดับตับไหม้ แต่กระนั้นหนังก็ยังมีปัญหาเดิม ๆ อย่างการตัดต่อที่ค่อนข้างชวนเวียนหัว และดูไม่สมจริงในบางฉาก จนเสียอรรถรสที่น่าจะเต็มที่กว่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวม Hunt เป็นหนังแอ็คชั่น ระทึกขวัญ สัญชาติเกาหลีใต้อีกเรื่องประจำปี 2022 นี้ ที่มาพร้อมความสนุกที่อัดแน่น ทั้งฉากแอ็คชั่นที่อลังการ โปรดักชั่นที่จัดเต็ม และการดำเนินเรื่องที่เต็มไปด้วยการสับขาหลอกที่คาดเดาอะไรไม่ได้จนจบเรื่อง เป็นอีกหนึ่งหนังเกาหลีของปีนี้ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม Hunt ได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: HanCinema

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Breadwinner

รีวิวหนัง The Breadwinner

ช่วงเมื่อไม่นานมานี้เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้ข่าวถึงความรุนแรง การทำรัฐประหารในประเทศอัฟกานิสถาน มาบ้างแล้ว ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ได้ทำให้หลาย ๆ คนกลับมาสนใจประเด็นความรุนแรงที่มาจากกลุ่มตอลิบันกันอีกครั้ง มีการทำสารคดี คลิปสรุปประเด็นมาให้ได้ชมกัน ด้านสตรีมดังอย่าง Netflix ก็ได้นำหนังอนิเมชั่นเรื่อง The Breadwinner มาฉายบนสตรีม โดยหนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของ นอร่า ทโวเมย์ (The Secret of Kells) ซึ่งผลงานเรื่องนี้ก็ได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยมเมื่อปี 2018 อีกด้วย

The Breadwinner จะว่าด้วยเรื่องราวของ ปาร์วานา สาวน้อยที่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นล่างที่อาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน ในช่วงปี 2001 ที่ตอนนั้นถูกปกครองโดยกลุ่มตอลิบัน ที่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ผู้หญิงออกจากบ้าน และต้องแต่งกายมิดชิด จนวันหนึ่งพ่อของ ปาร์วานา ได้ถูกกลุ่มตอลิบัน จับตัวไป ทำให้เธอ และครอบครัวที่ประกอบไปด้วย แม่ พี่สาว และหลานชาย ต้องอยู่อย่างยากลำบากทั้งด้านการเงิน และขาดเสรีภาพ ปาร์วานา เลยต้องปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชาย เพื่อหาเงินมาให้ที่บ้าน โดยพยายามไม่ให้พวกตอลิบันจับได้ การผจญภัยของสาวน้อยที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ หยาดเหงื่อ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสงคราม และความไม่เท่าเทียมก็ได้เริ่มขึ้น

แม้จะบอกว่าเป็นอนิเมชั่น แต่สำหรับ The Breadwinner เรียกได้ว่าเป็นอีกเรื่องที่มาพร้อมประเด็นที่หนักหน่วง ชวนหดหู่ มาก ๆ เรื่องหนึ่ง โทนหนังชวนให้นึกถึง The Grave of Fireflies หรือ สุสานหิ่งห้อย ของ Ghibli อยู่ไม่น้อย เพราะหนังว่าด้วยชีวิตของเด็ก ในสภาพแวดล้อมที่เมืองเต็มไปด้วยสงคราม และความไม่สงบ โดยหนังก็ได้นำเสนอสภาพชีวิตของขาวอัฟกานิสถานออกมาได้อย่างสมจริง ทั้งสภาพเมืองที่ทรุดโทรม บรรยากาศเมืองที่เต็มไปด้วยคนยากจน คนโดนกดขี่ และความเหลื่อมล้ำ

หนึ่งในจุดขายของหนังคือการนำเสนอประเด็นด้านสิทธิ และเสรีภาพ ที่ถูกกดขี่โดยสังคมที่ชายเป็นใหญ่ ที่น่าสะเทือนใจคือตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นวิธีการพยายามปรับตัวของเหล่าผู้หญิงในสังคมดังกล่าว ที่มองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติทั่วไป นอกจากนี้หนังยังสอดแทรกฉากชวนสะเทือนอารมณ์มาเป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งเรื่อง โดยหนังได้มีการพูดถึงความรู้สึกของคนที่ต้องสูญเสียคนรัก คนในครอบครัวจากสงคราม พร้อมทั้งยังพูดถึงการพยายามดิ้นรนทางที่ยืน และเสรีภาพของตนเอง ท่ามกลางการปกครองแบบเผด็จการ รวมถึงความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ที่พวกเขาเหล่านี้ต้องพบเจอ

แต่นอกเหนือจากบรรดาฉากที่ทำออกมาน่าสะเทือนอารมณ์แล้ว The Breadwinner ก็ยังไม่ลืมที่จะสอดแทรกความหวัง ความอบอุ่นหัวใจเล็ก ๆ ไว้ให้คนดู ซึ่งในเรื่องเราจะได้เห็นเรื่องราวมิตรภาพหลากหลายอารมณ์มาให้ได้ใจชื่นกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทความสัมพันธ์ระหว่าง ปาร์วานา และครอบครัว ที่เป็นตัวแปรสำคัญของเรื่อง, ความสัมพันธ์ของ ปาร์วานา กับเพื่อนสนิท ที่ต่างต้องปลอมตัวเป็นเด็กชาย และต้องช่วยกันและกันปิดบังความจริงจากตอลิบัน และมิตรภาพของ ปาร์วานา กับชายแก่ที่อ่านหนังสือไม่ออก ที่เป็นความสัมพันธ์ที่ทั้งชวนประทับใจ ชวนเสียน้ำตา และยังวิพากษ์สังคมได้ดีมาก ๆ เช่นกัน

สำหรับใครที่ชอบหนังที่ว่าด้วยประเด็นสังคมการเมือง ความขัดแย้ง หรือเรื่องราวในประเทศอัฟกานิสถาน The Breadwinner ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่อยากแนะนำเป็นอย่างยิ่ง เพราะในขณะที่หนังที่ว่าด้วยตอลิบันส่วนใหญ่จะเป็นความรุนแรง และสงคราม แต่ในเรื่องนี้กลับเลือกที่จะเล่าผ่านชีวิตของคนตัวเล็ก ๆ พร้อมกับการเล่าเรื่องที่ดูง่าย สามารถเข้าถึงอารมณ์คนดูได้อย่างยอดเยี่ยม

สามารถรับชม The Breadwinner ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/SnpBc8YvGpk

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Wrath of Man

รีวิวหนัง Wrath of Man

หลังจากที่เมื่อปี 2019 กาย ริตชี่ย์ (Sherlock Holmes) ได้กลับคืนสู่วงการหนังอาชญากรรมอีกครั้งใน The Gentlemen ล่าสุดในปี 2021 นี้เขาก็ได้มีหนังเรื่องใหม่อย่าง Wrath of Man ที่ครั้งนี้มาในแนว แอคชั่น อาชญากรรม พร้อมเป็นการกลับมาร่วมงานกันในรอบ 16 ปี ของ ริตชี่ย์ และ เจสัน สเตทแฮม (Hobbs and Shaw) อีกด้วย

โดย Wrath of Man จะว่าด้วยเรื่องราวของ เอช (เจสัน สเตทแฮม) ชายมาดนิ่ง ที่ได้มาสมัครงานเป็นคนขับรถขนเงิน ซึ่งหลังจากที่ได้ทำงานไปได้ไม่นาน เอช ก็ได้แสดงความสามารถในการป้องกันรถขนเงินจากแก๊งอาชญากรได้  แต่ด้วยคาแรคเตอร์ที่พูดน้อย และไม่เข้าสังคม ทำให้เขาเป็นที่ไม่ปลื้มของเพื่อนร่วมงานเท่าไหร่ จนหลังจากนั้นไม่นานก็ได้เกิดการปล้นเงินครั้งใหญ่ ซึ่งแก๊งปล้นนี้ก็มีคนในบริษัทรถขนเงินเป็นสายให้ และยังได้เป็นกลุ่มคนที่เป็นสาเหตุที่ เอช ต้องมาทำงานนี้

Wrath of Man ยังคงเป็นหนังสไตล์ กาย ริตชีย์ ที่มาพร้อมบทที่เต็มไปด้วยชั้นเชิง การหักเหลี่ยมเฉือนคม และฉากหักมุม ที่ชวนเซอร์ไพรส์ แบบเดียวกับ Snath หรือ The Gentlemen เพียงแต่ครั้งนี้ ริตชีย์ ได้ปรับโทนอารมณ์ด้วยการลดคอเมดี้ลง และเพิ่มโทนที่จริงจัง หนักแน่นขึ้น ทำให้หนังเรื่องนี้มีความเข้มข้น ดุเดือดกว่าหนังของ หาย ริตชีย์ ที่ผ่านมา นอกจากนี้ในเรื่องนี้ ริตชีย์ ก็ยังฉีกกรอบเดิม ด้วยการหยิบวิธีการเล่าแบบหนังราโชมอน มาใช้งาน โดยจะเป็นการนำเสนอเหตุการหนึ่งในเรื่องผ่านแต่ละมุมมอง ซึ่งมันจะเป็นส่วนที่เฉลยที่มาทั้งหมดของหนัง

แต่ด้วยความที่เป็นหนังสไตล์ กาย ริตชีย์ ที่เต็มไปด้วยการหักเหลี่ยม เฉือนคม แน่นอนว่าหนังอาจไม่ได้มีฉากแอคชั่นเยอะมากนัก โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องที่จะหนักไปที่การเฉลยปม การปูเรื่องไปสู่ตอนจบ ที่อาจทำให้บางคนง่วงเหงาหาวนอนบ้าง แต่หากทนดูจนจบจะพบทีเด็ดในท้ายเรื่อง ที่ไม่เคยมีในหนังกาย ริตชีย์ เรื่องไหน ๆ ช่วงท้ายของหนังทำออกมาได้ดุเดือด เข้มข้น และคาดเดาอะไรไม่ได้ เป็นการแอคชั่นที่ปิดเรื่องได้อย่างงดงาม และทรงพลังมาก ๆ

ด้านการแสดง อาจไม่ได้มีอะไรชวนเซอร์ไพรส์มากนัก ด้าน เจสัน สเตทแฮม ได้คืนฟอร์มหนังฟอร์มเล็กอีกครั้งหลังจากไปโด่งดังในแฟรนไชส์ Fast ครั้งนี้เขายังกลับมาแสดงบทที่หลายคนคุ้นเคยคือบทแบบพูดน้อย ต่อยหนัก ที่มีความเท่ และมีเสน่ห์ทุกครั้งที่ได้เห็น สเตทแฮม ในบทแบบนี้ ส่วนด้าน สก้อตต์ อีสต์วู้ด ก็เป็นดาราสมทบที่สามารถขโมยซีนดาราหลาย ๆ คนได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นการแสดงที่ไม่ได้บทเยอะมาก แต่น่าจดจำที่สุดบทหนึ่งของเขา

โดยรวม Wrath of Man คืออีกหนังของ กาย ริตชีย์ ที่ยังมีเสน่ห์แบบเดิม ๆ ให้ได้เห็น พร้อมเพิ่มเติมความจริงจัง หนักแน่นเข้าไป จนกลายเป็นหนังที่เข้มที่สุดเรื่องหนึ่งของผู้กำกับผู้นี้ ใครที่ชอบหนังอาชญากรรม เนื้อหาเข้มข้น ดุเดือด เนื้อหาไม่จำเจ นี่เป็นอีกเรื่องที่อยากแนะนำ

สามารถรับชม Wrath of Man ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB, Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/EFYEni2gsK0

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวซีรีส์ Stranger Things season 4 Part 2

รีวิวซีรีส์ Stranger Things season 4 Part 2

หลังจากที่เดือนที่แล้ว Stranger Things ซีซั่น 4 Part 1 ที่เป็น 7 Ep. แรกได้ฉายไปก็ได้สร้างกระแส และเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ และคนดูอย่างล้นหลาม และทำให้แฟน ๆ ต่างตั้งใจรอดู Part 2 ของซีซั่นนี้อย่างใจจดจ่อ

โดยเนื้อหาในครึ่งหลังจะเป็นการทำภารกิจของแก๊งเด็กวัยรุ่นในเมืองฮอว์คกินส์ ที่ต้องหาทางปราบปีศาจร้ายแวคนา ก่อนที่มันจะทำลายเมืองนี้อย่างที่หวัง แต่ทว่าภารกิจนี้กลับเต็มไปด้วยอันตราย ที่เสี่ยงตาย ในขณะที่ด้าน แอล (มิลลี่ บ้อบบี้ บราวน์) ที่ได้พลังกลับคืนมาอีกครั้ง ก็ได้รับรู้ถึงแผนร้ายของ แวคนา และได้พยายามใช้พลังเพื่อช่วยเพื่อน ๆ ของเธอ ให้ผ่านพ้นภารกิจนี้ ด้าน ฮอปเปอร์ (เดวิด ฮาเปอร์ ) และ จอยซ์ (วีโอนา ไรเดอร์) ก็ต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากค่ายมรณะของรัสเซีย และเดินทางกลับมายัง ฮอว์คกินส์อีกครั้ง

รีวิวซีรีส์ Stranger Things season 4 Part 2

สำหรับ Part 2 ของซีซั่นนี้ เรียกได้ว่าทำออกมายิ่งใหญ่สมการรอคอยมาก ๆ โดยจะเป็นสองตอนของทีวีซีรีส์ที่มีสเกลใหญ่ระดับเดียวกับหนังใหญ่ ทั้งความยาวตอนละมากกว่า 1 ชั่วโมง เนื้อหาที่มีความ Epic แบบยกระดับจากซีซั่นก่อน ๆ หลายเท่า นับว่าเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Netflix เลยก็ว่าได้

ในขณะที่ด้านการเล่าเรื่องของสองตอนหลัง ก็ทำออกมาได้สนุกเหมือนเดิม โดยเฉพาะการมาในธีมผจญภัย สยองขวัญ ที่ทำให้ตลอดสองตอนนี้เต็มไปด้วยโมเมนต์ที่ชวนลุ้น ตื่นเต้นตลอดเวลา ในขณะเดียวกันซีรีส์ก็ยังคงความเป็นหนัง Coming of age ที่เล่าเรื่องของวัยรุ่นในเรื่องได้อย่างมีชีวิตชีวา เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ที่เติบโตขึ้นไปอีกขั้นของตัวละคร ที่มีทั้งช่วงเวลาที่มีความสุข ช่วงเวลาทุกข์ และช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย

ด้านโปรดักชั่นของซีรีส์ก็ถือว่าทำออกมาได้อลังการมาก ฉากในโลก Upside Down ครั้งนี้มีความน่ากลัว และยิ่งใหญ่กว่าเดิม มีฉากปล่อยพลังของ แอล ที่มีความเล่นใหญ่ รวมถึงฉากแอคชั้นในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะทำให้หลาย ๆ ตัวละครดูเท่ยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ฉากปิดซีซั่น ก็ทำออกมาได้พีคแบบสุด ๆ สมกับการเป็นซีซั่นที่ปูทางไปสู่บทสรุปของเรื่องในซีซั่นต่อไป

โดยรวม Stranger Things season 4 Part 2 นับว่าเป็นอีกการปิดซีซั่นของทีวีซีรีส์ที่ดีงามมาก ๆ เรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสเกลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เนื้อหาที่สนุก เข้มข้นขึ้นราวกับเป็นคนละเรื่องจากซีซั่นแรก ๆ จึงไม่แปลกที่ซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในซีรีส์โปรดของหลาย ๆ คนในยุคนี้

สามารถรับชมซีรีส์ Stranger Things ทั้ง 4 ซีซั่นได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/u38ZPcyrqHk

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง