รีวิวหนัง Guillermo del Toro’s Pinocchio: พินอคคิโอ เวอร์ชันดาร์ก ผ่านการตีความโดย กิแยร์โม เดล โตโร

รีวิวหนัง Guillermo del Toro's Pinocchio: พินอคคิโอ เวอร์ชันดาร์ก ผ่านการตีความโดย กิแยร์โม เดล โตโร

อีกหนึ่งหนังอนิเมชัน ที่หยิบนิทานคลาสสิกที่เด็ก ๆ ทุกคนรู้จักกันดี อย่าง พินอคคิโอ มาถ่ายทอดโดยเวอร์ชันนี้เป็นการถ่ายทอดผ่านวิสัยทัศน์ของผู้กำกับดีกรีออสการ์อย่าง กิแยร์โม เดล โตโร (The Shape of Water) มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบท ร่วมกับเจ้าพ่ออนิเมชัน สต้อปโมชันอย่าง มาร์ค กุสตาฟซอง ที่มาพร้อมเนื้อหาที่พิเศษ และแตกต่างกว่าเวอร์ชันอื่น ๆ

สำหรับ  Guillermo del Toro’s Pinocchio จะเป็นเรื่องราวของ พินอคคิโอ ที่มีพื้นหลังเป็นช่วงที่อิตาลี อยู่ในช่วงที่ถูกปกครองโดยรัฐบาลเผด็ตการของ มุสโสลินี เมื่อ เก้ปเปตโต ช่างซ่อมนาฬิกาที่สูญเสียลูกชายจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงคราม ด้วยความโศกเศร้าที่เกินจะรับได้ ทำให้ เก้ปเปตโต ตัดสินใจประดิษฐ์หุ่นไม้ขึ้นมาเพื่อหวังเป็นตัวแทนลูกชายของเขา ก่อนที่หุ่นไม้ดังกล่าวจะได้รับพรจากนางฟ้า ให้มีชีวิต และมีชื่อว่า พินอคคิโอ

แม้ว่าจะมีการปรับบริบทเนื้อหาให้มีความต่างจากเวอร์ชันดั้งเดิมไปพอสมควร แต่สำหรับใน Guillermo del Toro’s Pinocchio จะยังคงเป็นการนำเสนอเนื้อหาที่อิงตามเนื้อหาต้นฉบับ มีการพูดถึงความสัมพันธ์ของพ่อลูก การผจญภัย และอันตรายจากคนแปลกหน้า ที่ยังมีกลิ่นอายของนิทานเด็กไว้ เพียงแต่เด็กสำหรับหนังเวอร์ชันนี้อาจต้องมีวุฒิภาวะประมาณหนึ่ง

เดล โตโร ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบเดียวกับที่เขาเคยทำใน Pan’s Labyrinth คือการนำเสนอการผจญภัยของเด็ก ที่ต้องเผชิญกับภาวะช่วงสงคราม ที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย การพลัดพลาก ที่ในเรื่องนี้ เดล โตโร ก็ยังถ่ายทอดออกมาแบบตรงไปตรงมา ไร้ปราณี โดยเฉพาะวิธีการพูดถึงความตาย การสูญเสีย ที่เหมือนเป็นการมอบข้อคิดให้แก่ทั้งผู้ใหญ่ และเด็ก ๆ ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้

ไม่ใช่แค่การหยิบประเด็นที่เติบโตมากขึ้นเท่านั้น แต่ใน พินอคคิโอ เวอร์ชันนี้ ยังมีการนำเสนอมาเพื่อวิพากษ์ความเลวร้ายของรัฐบาลเผด็จการ ที่นำโดย มุสโสลินี ทั้งความเลือดเย็น การส่งเด็กไร้เดียงสาให้เป็นอาวุธสงคราม ที่ทำออกมาได้อย่างน่าสะเทือนอารมณ์

นอกจากด้านเนื้อหาที่ผสมผสานการเมือง ประวัติศาสตร์ และเนื้อหาที่เติบโตขึ้นแล้ว ใน Guillermo del Toro’s Pinocchio คือการจัดเต็มไปด้วยความเป็นศิลปะของอนิเมชันแนว สต้อปโมชัน ที่ในเรื่องนี้มีการจัดองค์ประกอบศิลป์ได้อย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่โทนสีที่ใช้ การออกแบบตัวละคร วิธีการเคลื่อนไหวของตัวละคร ที่สร้างความเพลิดเพลินแก่คนดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

Guillermo del Toro’s Pinocchio นับว่าเป็นการตีความพินอคคิโอ ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยความแตกต่าง ความแปลกใหม่ ที่เพิ่มความเติบโตให้กับนิทานเรื่องนี้ไปอีกระดับแล้ว อนิเมชันเรื่องนี้ก็ยังเปี่ยมด้วยความเป็นศิลปะ และความบันเทิงของภาพยนตร์ ที่เหมาะแก่คนดูทุกเพศทุกวัย

สามารถรับชม Guillermo del Toro’s Pinocchio ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com 

FB : รวมพลคนบันเทิง  

รีวิว The Turning: หนังสยองขวัญ สูตรสำเร็จ ที่น่าผิดหวังแห่งปี 2020 ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นดี แต่กลับใช้งานได้ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร

รีวิว The Turning: หนังสยองขวัญ

แม้ว่าในทุกวันนี้ หนังสยองขวัญแนวบ้านผีสิงจะไม่ได้เป็นอะไรที่ใหม่อีกแล้วสำหรับหนังประเภทนี้ และนับวันมันก็ดูเหมือนว่าจะทำงานกับคนดูน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีนักทำหนังหน้าใหม่หลายคนที่ยังคงสร้างหนังแนวนี้มาให้ได้ชมกัน แม้มันจะไม่ได้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้ และคำวิจารณ์ก็ตาม โดย The Turning เป็นอีกหนึ่งหนังแนวบ้านผีสิงจากปี 2020 ที่ไม่ได้เข้าฉายในไทย จนเมื่อไม่นานมานี้หนังเรื่องนี้ก็ได้เข้าฉายบน HBO GO

The Turning เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของ เคท (แมคแคนซี่ย์ เดวิส) หญิงสาวที่ได้รับว่าจ้างให้ไปดูแล ไมลส์ (ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด) และ ฟลอล่า (บรู๊คลินน์ พรินซ์) สองพี่น้องกำพร้า ทายาทมหาเศรษฐี แต่เมื่อ เคท ได้ย้ายเข้าไปในคฤหาสน์ของครอบครัวนี้ เธอก็ต้องพบกับเรื่องแปลก ๆ และบทสอบมากมาย ทั้งความแสบของสองพี่น้องที่มักกลั่นแกล้งเธอ ป้าแม่บ้าน ที่ดูไม่ค่อยมีอรรถยาศัยที่ดีกับเธอเท่าไหร่และวิญญาณร้ายที่สิงสถิตย์อยู่ในบ้านหลังนี้

หนังกำกับโดย ฟลอเรีย ซิกิสมอนดิ ที่เป็นหนึ่งในผู้กำกับจาก Daredevil และ The Handmaid’s Tales เขียนบทโดย  แชด ฮาเยส และ แครี่ ดับบลิว ฮาเยส สองมือเขียนบทจาก The Conjuring ที่ดัดแปลงมาจากนิยายคลาสสิกของ เฮนรี เจมส์ ที่มีชื่อว่า “The Turn of the Screw” โดยหนังก็ได้ทีมนักแสดงนำที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาอย่าง แมคแคนซี่ย์ เดวิส (Terminator Dark Fate), ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด (ซีรีส์ stranger Things) และ บรู๊คลินน์ พรินซ์ (The Florida Project)

ความน่าสนใจของ The Turning คือการที่หนังมีการวางโครงเรื่องให้เหมือนกับ The Haunting of Bly Manor ซีรีส์สยองขวัญที่เข้าฉายปีเดียวกันของ Netflix ทำให้ช่วงเปิดเรื่องของหนังเต็มไปด้วยความน่าสนใจทั้งปมในอดีตของตัวละคร และการสร้างบรรยากาศของบ้านให้ดูน่าวังเวง รวมถึงคาแรคเตอร์แปลก ๆ ชวนขนลุก ของสองพี่น้อง ที้ล้วนแต่มีความคล้ายครึงกับ Bly Manor จนเป็นอีกหนึ่งจุดขายที่ทำให้คนดูอยากติดตามไปจนจบ

แต่ปัญหาสำคัญของหนังคือการตกม้าตายตามหนังสยองขวัญสูตรสำเร็จในยุคหลัง ๆ ที่ทุกอย่างออกมาสูตรสำเร็จเกินไปจนขาดความแปลกใหม่ ความน่าติดตาม จังหวะของหนัง ใครที่ช่ำชองหนังสยองขวัญน่าจะเดาทิศทางเนื้อเรื่องได้ง่าย

ที่น่าเสียดายอีกอย่างคือความน่ากลัว ความสยองขวัญที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่หนังมีวัตถุดิบที่จะสามารถกลายเป็นหนังสยองขวัญน้ำดีแบบ The Other หรือ The Conjuring ได้ รวมถึงทีมนักแสดงที่มีของ พอที่จะแบกหนังไว้ได้ แต่หนังกลับใช้งานได้ไม่คุ้มค่า หนังพยายามไปเสียเวลากลับพาร์ทดราม่าที่ไม่จำเป็น รวมถึงการสร้างจังหวะผีหลอก ที่ทำออกมาไร้ซึ่งความน่ากลัว ผีใน The Turning มีความเป็นแฟนตาซี มากกว่าจะเป็นวิญญาณเฮี้ยนเหมือนหนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ

โดยรวม The Turning คืออีกหนังสยองขวัญน่าผิดหวังอีกเรื่องแห่งปี 2020 ทั้ง ๆ ที่หนังมีวัตถุดิบที่จะสามารถกลายเป็นหนังสยองขวัญน้ำดีได้ แต่หนังก็ใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบเหล่านั้นได้ไม่สุด ทำให้ท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นงานที่ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ หรือพูดถึงต่อไป

สามารถรับชม The Turning ได้แล้ววันนี้ที่ HBO GO

Cr. ภาพ : เว็บไซต์ IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง The Pale Blue Eye: หนังสืบสวนฟิล์มนัวร์ เล่าเรื่องแบบ Slow Burn เน้นความสมจริง ถ่ายทอดความดำมืดของผู้คน

รีวิวหนัง The Pale Blue Eye: หนังสืบสวนฟิล์มนัวร์ เล่าเรื่องแบบ Slow Burn เน้นความสมจริง ถ่ายทอดความดำมืดของผู้คน

ผลงานหนังแนวสืบสวนสอบสวน พีเรียดเรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ หลุยส์ บายาร์ด โดยเวอร์ชันหนังได้ สก้อต คูเปอร์ (Black Mass) มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบท พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง คริสเตียน เบลล์ (Thor: Love and Thunder) มารับบทนำ ร่วมด้วย แฮร์รี เมลลิง (The Queen Gambit)

หนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ ออกัสตัส แลนดอร์ (คริสเตียน เบลล์) ยอดนักสืบที่ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาทำการสืบคดีฆาตกรรมปริศนาของนักเรียนตำรวจรายหนึ่งที่ถูกฆ่าโดยการแขวนคอ และผ่าหัวใจออกไป ออกัสตัส ต้องทำการสืบสวนด้วยการร่วมมือกับ เอ็ดการ์ อลัน โพ (แฮร์รี่ เมลลิง) นักเรียนตำรวจผู้หลงไหลในด้านกวี เมื่อทั้งสองเริ่มสืบหาความจริงไปเรื่อย ๆ ก็ได้พบว่ามีความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะเป็นคนวงในของโรงเรียนตำรวจ

ตัวหนังมาพร้อมการดำเนินเรื่องในรูปแบบหนังฟิล์มนัวร์ Slow Burn ที่จะมีการนำเสนอที่เนิบช้า ไม่มีฉากแอ็คชัน หรือฉากระทึกขวัญมากนัก แต่จะเน้นไปที่การสืบสวน การค่อย ๆ ตามหาความจริงของตัวละคร อย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้อารมณ์แบบหนัง เดวิด ฟินเชอร์ยุคเก่าอย่าง Se7en, Zodiac ที่มีบรรยากาศที่อึมครึม มึดหม่น ตลอดทั้งเรื่อง

จุดขายของหนังคือบทที่สามารถถ่ายทอดการสืบสวนของตัวละครออกมาได้อย่างน่าติดตาม โดยหนังได้ใช้ความเป็นคู่หูระหว่างตัว ออกัสตัส และ โพ มาเป็นจุดขาย ไม่ต่างจาก โฮล์ม และวัตสัน ซึ่งเนื้อเรื่องจะค่อย ๆ ไต่ระดับความเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่าตามหาหลักฐาน การเผชิญหน้ากับสถานการณ์เสี่ยงตาย ที่ให้คนดูได้ตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่อง

เคมีการแสดงของ คริสเตียน เบลล์ และแฮร์รี เมลลิง นับว่าเป็นจดขายสำคัญของเรื่อง ทั้งสองสามารถถ่ายทอดเคมีการเป็นนักสืบได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะคริสเตียน เบลล์ ก็ยังคงมอบการแสดงที่โดดเด่น และน่าจดจำให้หนังเรื่องนี้ ในขณะที่ด้าน แฮร์รี เมลลิง ก็ถ่ายทอดบทดราม่าออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะไม่ได้เป็นตัวหลัก และยังเทียบรัศมี เบลล์ไม่ติด แต่ก็นับว่าเป็นอีกบทบาทการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงหนุ่มผู้นี้

น่าเสียดายที่แม้ว่า The Pale Blue Eye จะมีวัตถุดิบในการเป็นหนังสืบสวนฟิล์มนัวร์ที่ดี แต่ทว่าหนังกลับเลือกเดินเรื่องแบบสูตรสำเร็จไปพอสมควรทำให้หลาย ๆ ฉากของหนัง ไม่อิมแพคต่อความรู้สึกของคนดูได้เท่าที่ควร แม้หนังจะพยายามสับขาหลอกแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ด้านพาร์ทดราม่าที่ว่าด้วยปูมหลังของตัวละครหนังก็ทำออกมาได้ไม่สุด ทั้ง ๆ ที่หนังมีประเด็นที่สามารถทำได้ดีกว่านี้

อย่างไรก็ตาม The Pale Blue Eye ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังสืบสวนสอบสวน ที่ทำออกมาได้สนุก สมจริง หนังมีความกลมกล่อมลงตัวของการแสดงที่ยอดเยี่ยม และบทหนังที่น่าติดตาม แม้ว่าจะมีสูตรสำเร็จที่เดาง่ายไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นอีกเรื่องที่คอหนังสืบสวนห้ามพลาด

สามารถรับชม The Pale Blue Eye ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

N GAMES ไม่ใช่ END GAME ก้าวที่เอาจริงของ NETFLIX กับการรุกตลาดเกมบนมือถือ

N GAMES ไม่ใช่ END GAME ก้าวที่เอาจริงของ NETFLIX กับการรุกตลาดเกมบนมือถือ

เมื่อปีที่แล้วมีข่าวว่า NETFLIX อยากทำเกมบนมือถือ ในตอนนั้นใครๆก็คิดว่าสร้างกระแส หรือต้องการทำปรากฏการณ์บางอย่าง

เพราะว่างานหลักธุรกิจใหญ่ของ NETFLIX คือให้บริการสตรีมมิ่งหนังและซีรีส์จากทั่วโลกให้กับคนทั่วโลกเช่นกัน ไม่ได้มีอะไรกับวงการเกมเลย

น่าจะเหมือนกับค่ายแอพหาคู่ชื่อดัง Tinder ที่เพิ่มยอดคนใช้งานได้เป็นล้านๆคนผ่านการทำอินเตอร์แอ็คทีพเกมที่พูดถึงวันสิ้นโลกว่าแต่ละคนจะเลือกจุดจบอย่างไร ประโยชน์ของคนใช้ไม่เท่าไหร่ แต่เรียกแขกได้จำนวนมากทีเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรต่อเป็นเรื่องเป็นราว

เกมบน NETFLIX

พอต้นปี 2021 NETFLIX ได้หอบเงินไปจ้างบริษัททำเกมชื่อ studio BonusXP แล้วก็นำเกมที่สำเร็จแล้วไปเริ่มทดสอบกับสมาชิก NETFLIX ในประเทศโปแลนด์ เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา (อาจจะเพราะประชาชนโปแลนด์อาจจะไม่ค่อยขิงเหมือนอย่างบางประเทศมั้ง (-_-))

แต่อีกสองวันถัดมา วันที่ 28 กันยายน NETFLIX ก็ประกาศว่าได้เข้าซื้อบริษัทผลิตเกมขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กอย่าง Night School Studio เรียบร้อยแล้ว

โดยที่ Night School Studio เป็นสตูดิโอที่มีชื่อเสียงจากการผลิตเกมแนวผจญภัยบวกแก้ไขปริศนา (Puzzle) ที่มีเรื่องราวยาวเป็นหนัง เรียกว่าเข้าทางของ NETFLIX ที่หากว่าจะมีเกมที่ทำจากหนังอย่างต่อเนื่องก็คงต้องหาทีมงานแบบนี้เข้ามาในเครือข่าย

ตอนนั้นหลายๆค่ายก็เริ่มรู้แล้วว่า ท่าทาง NETFLIX จะไม่ได้ทำแค่อีเว้นท์

Night School เป็นของ NETFLIX

มาชัดเจนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา NETFLIX เปิดตัว NETFLIX GAMES ที่เป็นเหมือนแผนกที่จะทำงานด้านเกมมือถือเป็นหลัก

เกมแข่งขันเรียกยอด Subscriber

ปัจจุบันการแข่งขันตลาดวีดีโอสตรีมมิ่งค่อนข้างตึงเครียดทีเดียว เมื่อผู้เล่นทั้งเก่าใหม่กระโดดเข้าสู่สนามเดียวกันแล้ว โดยมียักษ์ใหญ่อย่าง Disney ที่ส่ง Disney+ เข้าประกวด แม้ว่าจะตามหลังทุกๆค่ายแต่การเติบโตของ Disney+ นั้นน่ากลัวทีเดียว (ยังไม่นับรวมแอพพลิเคชั่นจากจีนสองสามค่ายที่มีตัวเลขผู้ใช้งานหลักร้อยล้านกันทั้งนั้น)

เกมที่ดุเดือด NETFLIX คิดจะใช้ “เกม” เพื่อชิงความได้เปรียบ

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า NETFLIX ต้องการดึงผู้ใช้ให้อยู่กับตัวเองให้มากที่สุดด้วยการส่งคอนเท้นท์ความบันเทิงในทุกรูปแบบให้กับสมาชิก รวมไปถึงการผลิตเกมมือถือ ที่สามารถเล่นได้เฉพาะสมาชิก NETFLIX เท่านั้น

วันที่ 3 พฤศจิกายนเป็นต้นไป สมาชิก NETFLIX ทั่วโลกที่ใช้งานระบบAndriod จะสามารถดาวน์โหลดเกม 5 ตัวต่อไปนี้ผ่าน Play Store ไปเล่นได้ฟรีๆ โดยที่ไม่ว่าสิทธิใช้งานมีอยู่กี่เครื่องทุกเครื่องก็จะสามารถดาวน์โหลดไปเล่นได้หมดในแบบออฟไลน์

เกมของ NETFLIX

ได้แก่ Stranger Things: 1984, Stranger Things 3: The Game, Shooting Hoops, Card Blast และ Teeter Up

ส่วนคนที่ใช้ IPhone ยังต้องรอไปก่อนเนื่องจากระบบยังเข้ากันไม่ได้ ซึ่งคาดว่าคงอีกไม่นานก็คงให้บริการได้แน่นอน

NETFLIX GAMES ประกาศเอาไว้ว่า นี่เป็นการเริ่มต้น เป็นก้าวแรก และจะก้าวต่อไปแน่นอน รอพบเกมใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าได้เลย!

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Call Me Chihiro หนังดราม่าจากญี่ปุ่น

รีวิวหนัง Call Me Chihiro หนังดราม่าจากญี่ปุ่น

เรียกได้ว่าปีนี้ยังคงเป็นช่วงคาขึ้นของ คอนเทนต์จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีหนัง และซีรีส์ให้ชมในสตรีมต่างๆ อย่างครบทุกแนว ทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น Gannibal ใน Disney+ Hotstar และ Slam Dunk The First Dunk ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ล่าสุดใน Netflix ก็ได้มี Call Me Chihiro หนังดราม่า ฟีลกู้ดจาก Netflix ที่ได้นักแสดงสาวสวยอย่าง คาสุมิ อาริมูระ (Rouroni Kenshin: Final Chapter Part 2) มาแสดงนำ

Call Me Chihiro จะว่าด้วยเรื่องราวของ จิฮิโระ (คาสุมิ อาริมูระ) หญิงสาวที่ทำงานในร้านเบนโตะ สิ่งที่ทำให้เธอไม่เหมือนคนอื่นคือ เธอนั้นเคยทำงานให้บริการทางเพศมาก่อน ซึ่งทำให้เธอมีลูกค้าผู้ชายมาอุดหนุนเป็นจำนวนมาก โดยจิฮิโระ เป็นคนที่เป็นจุดเด่นในด้านการมองโลกที่สดใส มีน้ำใจแก่ทุกคน ด้วยพลังบวกในชีวิตนี้เอง ที่ทำให้ จิฮิโระ ได้ดึงดูดผู้คนที่มีปัญหากับชีวิต ให้เข้ามาเติมเต็มกันและกัน จนเป็นความสัมพันธ์ที่แสนอบอุ่น ละมุนหัวใจมากมาย

ตัวหนัง Call Me Chihiro มาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องของหนังดราม่าญี่ปุ่นที่หลายคนคุ้นเคย โดยหนังจะเน้นการเล่าแบบ Slow Burn ค่อยๆ พาคนดูไปสัมผัสชีวิตตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีการเน้นบทสนทนา และการแสดงอารมณ์ มากกว่าการถ่ายทอดเป็นฉาก ซึ่งเล่าออกมาอย่างครบรส ทั้งดราม่าสะเทือนใจ และฟีลกู้ด

จุดขายของหนังคือตัวละคร จิฮิโระ ที่เป็นแกนกลางของเรื่อง ที่จะพาผู้ชมไปเห็นทั้งด้านสวยงาม และด้านดาร์ก ที่ชีวิตคนๆ หนึ่งจะได้พบเจอ ความน่าสนใจคือการสร้าง Mind Set ของตัวละคร ที่มีความคิดบวกในแบบที่ไม่เหมือนใคร ชวนให้คนดูรู้สึกเต็มเติมไปกับวิธีคิด และการกระทำต่างๆ ในขณะเดียวกันหนังก็ยังมีความตรงไปตรงมา ในการที่จะนำเสนอภาพชีวิตอีกด้าน ที่พูดถึงสังคมกลางคืน และชีวิตของหญิงขายบริการด้วยเช่นกัน ทำให้หนังเรื่องนี้มีความไม่ขาวสุด และไม่เทาจนเกินไป

ในพาร์ทการแสดง คาสุมิ อาริมูระ สามารถถ่ายทอดบทบาทจิฮิโระ ออกมาได้อย่างน่าจดจำตั้งแต่นาทีแรก จนนาทีสุดท้ายของหนัง ซึ่งในเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นบทบาทที่น้อย แต่มาก ที่แม้จะไม่ได้มีฉากอารมณ์เยอะมาก แต่การแสดงที่เข้าถึงอารมณ์ ทำให้คนดูสามารถรู้สึกร่วมไปกับ จิฮิโระ ได้เป็นอย่างดี

โดยรวม Call Me Chihiro เป็นงานดราม่าน้ำดีจากญี่ปุ่นอีกเรื่อง ที่มาพร้อมการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม หนังสามารถนำเสนอเรื่องราวชีวิตหลากหลายมุม ที่มีทั้งด้านขาว และดำ พร้อมทั้งสอดแทรกดพลังบวกเข้าไปได้อย่างสวยงาม

สามารถรับชมหนัง Call Me Chihiro ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

Marvel Studios กำลังเตรียมพัฒนาโปรเจกต์หนัง Captain America 4 โดยได้ทีมผู้สร้างจาก The Falcon and The Winter Soldier มาร่วมเขียนบท

Marvel Studios กำลังเตรียมพัฒนาโปรเจกต์หนัง

ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับแฟน ๆ MCU (Marvel Cinematic Universe) หรือคอหนังฮีโร่ก็ว่าได้ เมื่อไม่นานมานี้ทาง Marvel Studios ก็ได้ออกมาประกาศว่ากำลังพัฒนาโปรเจกต์หนัง Captain America 4 อยู่ โดยจะได้ผู้สร้างและมือเขียนบทจากซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier มารับหน้าที่ดูแลโปรเจกต์นี้

จากรายงานของสื่อนอกได้เผยว่า ตอนนี้ Marvel Studios กำลังพัฒนาโปรเจกต์หนังภาคที่ 4 ของ Captain America โดยเบื้องต้นจะได้ มัลคอม สเปลแมน หัวหน้าทีมเขียนบท และผู้อำนวยการสร้างจากซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier มารับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ ดาแลน มุสสัน มือเขียนบทจาก Ep. สุดท้ายของซีรีส์ชุดนี่ สำหรับผู้กำกับ ยังไม่ได้มีการวางตัวว่าใครจะได้มาทำหน้าที่นี้ รวมถึงทีมนักแสดงนำ ที่ยังไม่ได้กำหนดว่าในภาคนี้เราจะได้เห็นใครสวมชุดกัปตันอเมริกา

โดยก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือว่า คริส อีแวนส์ เจ้าของบท กัปตันอเมริกาคนเก่าที่หมดสัญญาไปหลังจบ Avengers: Endgame กำลังจะได้ต่อสัญญากลับมารับบทกัปตันอเมริกาอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดตัว เควิน ไฟกี หัวหอกของ Marvel Studios ก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวไป

***ย่อหน้านี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier

แต่นอกเหนือจาก คริส อีแวนส์ แล้ว อีกคนที่มีแนวโน้มสูงว่าจะมารับบท กัปตันอเมริกาก็คือ แอนโธนี่ แมคกี้ เจ้าของบท ฟอลคอน ที่ในซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier ได้มีการปูทางให้ตัวละครของเขาเป็นกัปตันอเมริกาเวอร์ชั่นผิวสี ซึ่งในตอนสุดท้ายของซีรีส์ผู้ชมก็จะได้เห็นชุดใหม่ของ ฟอลคอน พร้อมมีการใช้โล่ของกัปตันอเมริกา ที่สำคัญหลังซีรีส์จบ ก็ได้มีการขึ้นชื่อเรื่องใหม่ว่า Captain America and The Winter Soldier ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่า แอนโธนี่ ฮอปกินส์ จะกลายมาเป็น กัปตันอเมริกา แทนที่คริส อีแวนส์ ในหนัง Captain America 4 และในหนังจักรวาล MCU ในอนาคต

โดย Captain America ถือว่าเป็นหนังเดี่ยวใน MCU เรื่องที่สองที่จะมีถึง 4 ภาค ส่วนเรื่องแรกคือ Thor: Love and Thunder หนังภาคที่ 4 ของเทพเจ้าสายฟ้า ที่ได้ คริส แฮมส์เวิร์ธ กลับมารับบท ธฮร์ อีกครั้ง พร้อมได้ ไทก้า ไวทีที ผู้กำกับจาก Thor: Ragnarok และ Jojo Rabbit มารับหน้าที่กำกับ พร้อมจัดเต็มด้วยนักแสดงดังที่ตบเท้าเข้ามาร่วมแสดงสมทบอีกเพียบ ซึ่งตอนนี้หนังก็กำลังอยู่ในช่วงระหว่างการถ่ายทำ โดยมีกำหนดฉายเดือนพฤษภาคม 2022

Cr. ภาพ : เว็บไซต์ IMDB

อ้างอิง : https://www.empireonline.com/movies/news/the-falcon-and-the-winter-soldier-malcolm-spellman-co-writing-a-fourth-captain-america-film/

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิวหนัง Tetris: หนังที่สามารถหยิบเรื่องราวการแย่งชิงลิขสิทธิ์เกมในตำนาน

รีวิวหนัง Tetris: หนังที่สามารถหยิบเรื่องราวการแย่งชิงลิขสิทธิ์เกมในตำนาน

หากใครที่โตมาในยุค 90 เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่เคยเล่นเกมที่ชื่อว่า Tetris เกมตัวต่อ 8 บิท ที่เล่นง่าย สนุก แต่ด้วยเบื้องหลังของเกมนี้ที่น่าสนใจมากกว่าที่คิด จนเกิดเป็นโปรเจกต์หนังผลงานการกำกับโดย จอห์น เอส บาร์ด (ซีรีส์ Vinyl) และเขียนบทโดย โนอาห์ พิงค์ (ซีรีส์ Genius) ภายใต้การสร้างโดย Apple TV+

เรื่องราวของ Tetris จะว่าด้วยเหตุการ์ในปี 1988 เมื่อ แฮงค์ โรเจอร์ (ทารอน อีเกอร์ตัน) นักพัฒนาเกม และคนทำการตลาดในธุรกิจเกม ได้เกิดสนใจเกม Tetris ที่เป็นผลงานการพัฒนาโดย อเล็กซี่ (นิกิตา อีเฟอร์มอฟ) โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซีย แต่ทว่าการคว้าลิขสิทธิ์เกมนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมีอีกบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ที่ต้องการลิขสิทธิ์เกมนี้เช่นกัน สงครามธุรกิจ อันลุ้นระทึกในประเทศรัสเซียก็ได้เริ่มขึ้น

ความน่าสนใจของ Tetris คือการที่หนังไม่ได้เป็นแนวทำธุรกิจ ให้แรงบันดาลใจเหมือนหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ แต่นี่คือหนังดราม่า ระทึกขวัญ ที่หยิบเหตุการณ์การแย่งชิงลิขสิทธิ์เกม ออกมาได้อย่างตื่นเต้น ชวนระทึก ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของหนัง พร้อมด้วยการเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย และอาจเปลี่ยนมุมมองที่คุณรู้สึกต่อเกม Tetris ไปโดยสิ้นเชิง

ตัวหนังเลือกใช้ลูกเล่นการนำเสนอ ด้วยการใช้ภาพ 8 บิท ในการช่วยเล่าเรื่องให้คนดูเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งการเล่าแบบหนังระทึกขวัญ ที่เหมือนให้ตัวละครเดินทางทำภารกิจต่างๆ มีสงครามจิตวิทยา สงครามธุรกิจ ที่น่าติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาร์ทที่เป็นการเล่าเรื่องในรัสเซีย ที่นับว่าเป็นไฮไลท์ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ และยังสามารถะสะท้อนภาพการมเมืองในยุคสงครามเย็นได้อย่างดีเยี่ยม

นอกจากในด้านของความสนุก ความบันเทิงแล้ว ใน Tetris ยังเป็นหนังที่เต็มไปด้วยการบันทึกประวัติศาสตร์วงการเกม ที่เหมือนได้พาคนดูที่เคยเป็นเด็กๆ ยุค 90 ได้กลับมารื้อฟื้นความทรงจำอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของเกมบอย และนินเทนโด รวมถึงยุคสมัยอันรุ่งเรืองของเกม 8 บิท

ด้านการแสดง ทีมนักแสดงนำในเรื่องต่างปล่อยของออกมาแบบสมน้ำสมเนื้อ ทารอน อีเกอร์ตัน เรียกได้ว่าเป็นผู้แบกหนังเรื่องนี้ ให้คนดูอยากร่วมลุ้น ร่วมเอาใจช่วยกับตัวละครนี้ไปตั้งแต่ต้นจนจบ

โดยรวม Tetris เป็นอีกหนึ่งหนังสร้างจากเรื่องจริง ที่ทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้น ไม่แพ้หนัง Fiction เลย หนังเล่าเรื่องให้เข้าใจง่าย ย่อยง่าย และอัดแน่นด้วยความบันเทิง และสาระที่เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับเกมอันโด่งดังนี้

สามารถรับชมหนัง Tetris ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

รีวิว: The Nightingale หนังสยองขวัญ ล้างแค้น ที่มีดีมากกว่าแค่ความโหด

รีวิว: The Nightingale หนังสยองขวัญ ล้างแค้น ที่มีดีมากกว่าแค่ความโหด

หนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญ แนวล้างแค้น ผลงานกำกับ และเขียนบทโดย เจนนิเฟอร์ เคนท์ ที่เคยสร้างผลงานจิตวิทยา สยองขวัญสุดโด่งดังอย่าง The Babadook เมื่อปี 2014 โดยใน The Nightingale เคนท์ ก็ได้ฉีกแนวจากผลงานเรื่องก่อนโดยสิ้นเชิง เพราะครั้งนี้หนังได้พาเราย้อนเวลากลับไปยังช่วงศตวรรษที่ 19 พร้อมนำเสนอความโหดร้าย ความหม่นของจิตใจคน จนหนังเรื่องนี้ถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งหนังสยองขวัญที่มีฉากความรุนแรง น่าสะเทือนใจจนได้รับเรท R ในต่างประเทศ และในไทยได่รับเรทอยู่ที่ 18+

หนังจะเล่าเรื่องราวในปี 1825 บนเกาะแวนดีเมน (หรือเกาะเทสเมเนียในปัจจุบัน) โดยหนังจะนำเสนอชีวิตของ แคลร์ หญิงสาวชาวไอริช ที่ถูกทหารอังกฤษที่ในตอนนั้นกำลังทำการล่าอาณานิคม จับเธอและครอบครัวมาเป็นทาส จนกระทั่งวันหนึ่ง แคลร์ต้องสูญเสียครอบครัวของเธอไปต่อหน้าต่อตา ส่วนเธอเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ เธอจึงวางแผนที่จะล้สงแค้นทหารอังกฤษเหล่านั้น โดยเธอได้ว่าจ้างให้ บิลลี่ ชาวเผ่าพื้นเมืองช่วยนำทางเธอในการหาเบาะแสของทหารอังกฤษ ในขณะเดียวกันเธอ และบิลลี่ ก็ได้เรียนรู้มิตรภาพของกันและกัน พร้อมทั้งเผชิญกับความโหดร้าย รุนแรงต่าง ๆ จากการล่าอาณานิคมของทหารอังกฤษ

แม้จะใช้หมวดหมู่ว่าเป็นหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญ แนวล้างแค้น แต่ The Nightingale ก็ไม่ได้เป็นหนังสูตรสำเร็จเหมือนอย่างที่หนังแนวนี้ส่วนใหญ่เป็น โดยหนังจะเล่าเรื่องในรูปแบบหนังจิตวิทยา ผสมประเด็นทางสังคมประวัติศาสตร์ ทำให้หนังอาจไม่ได้เน้นขายฉากแอคชั่น หรือฉากการเข่นฆ่าที่ชวนสยดสยองมากนัก ตัวหนังจะโฟกัสไปที่จิตใจที่บอบช้ำของตัวละคร รวมทั้งควมเลือดเย็นของทหารอังกฤษเกือบตลอดทั้งเรื่อง ใครที่หวังเสพฉากแอคชั่นมันส์ ๆ ในเรื่องนี้อาจผิดหวัง แต่หากใครชอบหนังจิตวิทยา ประวัติศาสตร์ น่าจะถูกใจกับสิ่งที่หนังนำเสนอไม่น้อย

อีกหนึ่งความน่าสนใจของ The Nightingale คือการนำเสนอผ่านอัตราส่วนภาพอยู่ที่ 4:3 ซึ่งจะเป็นอัตราส่วนที่ผู้ชมจะไม่ได้เห็นภาพแบบเต็มจอเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ แต่จะเห็นเพียงใบหน้า และส่วนที่ผู้กำกับต้องการให้เห็นเท่านั้น ที่ช่วยทำให้เราไม่ต้องเห็นความรุนแรง โหดร้าย ทารุณของหนังแบบเต็ม ๆ แต่ความรุนแรงเหล่านั้นจะถูกถ่ายทอดผ่านสีหน้าการแสดงของนักแสดงแทน ซึ่งในส่วนนี้ต้องชื่นชมเหล่านักแสดงนำของเรื่อง ที่แต่ละคนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ให้ผู้ชมได้เห็นถึงความวิปริต วิปลาสออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนราวกับว่าผู้ชมกำลังร่วมอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น

ในด้านความโหด ความรุนแรงของหนัง แม้ว่าจะไม่ได้มีฉากชวนสยดสยองเยอะมากนัก แต่ความรุนแรงจากหนังล้วนมาจากพฤติกรรม ความคิดของตัวละคร ที่หนังนำเสนอตลอดทั้งเรื่อง โดยส่วนที่หนังถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจนคือการเหยียดเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ และวิธีการแสดงออกที่ไร้มนุษยธรรม ด้วยเหตุนี้ทำให้ตอนที่หนังเรื่องนี้ ฉายที่เทศกาล Sydney Film Festival ผู้ชมบางส่วนถึงกับทนรับความรุนแรงของหนังไม่ไหวจนต้องลุกออกจากโรงในช่วงกลางเรื่อง

อย่างไรก็ตาม ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า The Nightingale ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังน้ำดี ที่แม้จะไม่ใช่หนังที่ทำเพื่อความบันเทิง แต่หนังเรื่องนี้ก็ได้เป็นเครื่องบันทึกประวัติศาสตร์ความรุนแรง ความโหดร้ายทารุณในช่วงล่าอาณานิคมออกมาได้อย่างมีมิติ และสมจริง ที่สำคัญหนังสามารถทำหน้าที่ได้สุดทางได้แทบทุก ๆ ด้าน ทั้งพาร์ทดราม่า พาร์ทสยองขวัญ รวมถึงการแสดงที่ทรงพลังของทีมนักแสดงนำ ใครที่ชื่นชอบหนังที่มีประเด็นสังคม ประวัติศาสตร์ และเต็มไปด้วยนัยยะที่ชวนคิด นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยากแนะนำเป็นอย่างยิ่ง

The Nightingale เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

ขอขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

เตรียมผจญภัยในโลกต่างมิติ ไปกับ 3 ซุปเปอร์ฮีโร่ในตัวอย่างล่าสุด The Flash

เตรียมผจญภัยในโลกต่างมิติ ไปกับ 3 ซุปเปอร์ฮีโร่ในตัวอย่างล่าสุด The Flash

เรียกได้ว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์จากค่าย DC ที่แฟนๆ ทั่วโลกต่างจับตามองสำหรับหนัง The Flash หนังเดี่ยวเรื่องแรกของมนุษย์สายฟ้า ที่รวดเร็วที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมจัดเต็มเซอร์ไพรส์ ล่าสุดทาง Warner Bros. ได้ปล่อยตัวอย่างที่ 2 ของหนังมาให้ได้ดูแล้ว ก่อนเตรียมฉายในเดือนมิถุนายนนี้

เรื่องราวของ The Flash จะว่าด้วยเหตุการณ์ที่ แบร์รี่ (เอสร่า มิลเลอร์) หรือเดอะแฟลช ได้ใช้พลังของตัวเอง ในการเดินทางย้อนเวลาเพื่อแก้ไขอดีตของเขา แต่ทว่าการกระทำของเขาดันส่งผลต่ออนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง จนเกิดความโกลาหลของมิติเวลา ทำให้ แบร์รี่ ดันหลุดไปในช่วงเวลาที่ นายพลซอร์ด (ไมเคิล แชนนอน) เดินทางมาทำลายโลก ทางเดียวที่แบร์รี่จะสามารถแก้ไขเหตุการณ์นี้ได้ คือการขอร้องให้ แบทแมน (เบน เอฟเฟล็กซ์ และ ไมเคิล คีตัน) ร่วมต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ และแก้ไขไทม์ไลน์ทุกอย่าง ให้เป็นเหมือนเดิม

ในตัวอย่างที่ 2 นี้ หนังได้เผยฉากให้เห็นถึงฉากแอ็คชันใหม่ๆ เพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะฉากการต่อสู้ของแบทแมน ซูปเปอร์เกิร์ล และเดอะแฟลช ทั้งสองคน ที่ทำออกมาได้อย่างตื่นตาตื่นใจ เต็มไปด้วยฉากที่ทำมาเพื่อเสิร์ฟแฟนหนัง DC ตั้งแต่ยุค 90 จนถึงปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม เพิ่มความน่าดูมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

หนังเป็นผลงานการกำกับโดย แอนดี้ มุสเชติ (It: Chapter 2) เขียนบทโดย โจดี้ ฮาโรลด์ (Edge of Tomorrow) และ คริสตินา ฮอดสัน (Bumblebee) นำแสดงโดย เอสร่า มิลเลอร​ (Fantastic Beasts) และ เบน เอฟเฟล็ก (Air) ที่ทั้งคู่จะกลับมารับบทเดิมอีกครั้งหลังจากใน Justice League สมทบด้วย ไมเคิล คีตัน (ซีรีส์ Dope Sick) ที่กลับมารับบทแบทแมน อีกครั้งในรอบ 30 ปี, ไมเคิล แชนนอน (Man of Steel) และ นักแสดงหน้าใหม่ ซาซ่า คาลลี ที่ประเดิมงานแสดงเป็นครั้งแรกในบท ซูปเปอร์เกิร์ล

สำหรับ The Flash นับว่าเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่ถูกคาดหวัง และจับตามองมากๆ สำหรับแฟน DC เพราะเป็นหนังที่รวมตัวละครที่แฟนๆ คิดถึง รวมทั้งยังเป็นเหตุการณ์ใหญ่ของจักรวาลหนัง DC ที่เคยมีมา นับตั้งแต่ใน Justice League Snyder’s Cut และยังอาจเป็นการปูทางสู่หนังฮีโร่ DC ยุคใหม่ที่ได้ เจมส์ กันน์ (The Suicide Squad) มารับหน้าที่ดูแลโปรเจกต์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โดย The Flash มีกำหนดฉาย 15 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Warner Bros.

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง 

เตรียมพบกับภารกิจสุดระทึกครั้งใหม่ของ ลีออน และแคลร์ ในทีเซอร์ล่าสุด Resident Evil: Infinite Darkness

เตรียมพบกับภารกิจสุดระทึกครั้งใหม่ของ ลีออน และแคลร์ ในทีเซอร์ล่าสุด Resident Evil: Infinite Darkness

อีกหนึ่งออริจินัลซีรีส์จาก Netflix ในปี 2021 ที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนรอคอย สำหรับ Resident Evil: Infinite Darkness หรือชื่อไทย “ผีชีวะ มหันตภัย ไวรัสมืด” ซีรีส์อนิเมชั่น ที่ดัดแปลงมาจากเกมแอคชั่น ไซไฟชื่อดัง ที่ก่อนหน้านี้ทางสตรีมดังได้ทำการปล่อยทีเซอร์แรก และโปสเตอร์มายั่วแล้ว ล่าสุดทางค่ายก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างล่าสุดของซีรีส์เรื่องนี้มาให้ได้ชมกันแล้ว พร้อมประกาศวันฉายเดือนกรกฎาคมนี้

เรื่องราวในช่วงปี 2016 เมื่อมีการพบว่ามีการลักลอบเข้าไฟล์ลับของประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาว ทำให้ ลีออน เอส เคเนดี้ เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลาง ต้องเข้ามาตรวจสอบคดีนี้ โดยเขาและเจ้าหน้าที่ต้องเอาชีวิตรอดจากฝูงซอมบี้ นอกจากนี้ที่นั่นเขาก็ได้พบกับ แคลร์ เรดฟิลด์ เจ้าหน้าที่จาก TerraSave ที่มายังทำเนียบขาวเพื่อสร้างสถานสงเคราะห์ พร้อมทั้งตามหาเบาะแสของรูปภาพปริศนาที่วาดโดยเด็กจากประเทศที่เธอเคยไปดูแล ด้านลีออน ได้พบว่าภาพปริศนานี้มีส่วนเชื่อมโยงไปถึงการแพร่ของฝูงซอมบี้ และมันก็นำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติครั้งใหม่ของมนุษยชาติ

ตัวซีรีส์ฉบับนี้จะถูกสร้างภายใต้การควบคุมการสร้างของ ฮิโรยูกิ โคยายาชิ มือโปรดิวเซอร์ และมือเขียนบทจาก “Capcom” ที่จับมือกับ “TMS Entertainment” สตูดิโอผู้สร้างอนิเมะชื่อดังไม่ว่าจะเป็น “Detective Conan” และ “Lupin The 3rd” มาร่วมดูแลการผลิต พร้อมทั้งได้ เคอิ มิยาโมโตะ จาก “Quebico”   นิค อโพสตอริเดส และ สเตฟานี ปานิเซลโล สองผู้พากย์เสียง ลีออน และแคลร์ จากเกม Resident Evil II: Remake กลับมาให้เสียงพากย์ตัวละครเดิมอีกครั้ง

สำหรับทีเซอร์ตัวใหม่ที่ปล่อยมานั้นมีความยาวเพียง 1 นาทีกว่า ๆ เท่านั้น โดยตัวตลิปนั้นได้เผยถึงเหตุการณ์คร่าว ๆ ของเรื่อง ถึงสาเหตุ และที่มาทั้งหมดของเรื่อง ก่อนจะเผยความสยอง และซอมบี้ให้เราได้เห็นในช่วงท้าย ซึ่งหากให้คาดเดาทั้งหมดในตัวอย่างนี้น่าจะเป็นฉากจาก Ep. แรกของซีรีส์เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีการเผยรายละเอียดเพิ่มเติมอื่น ๆ ของซีรีส์ ทั้งวายร้ายหลักของเรื่อง หรือที่มาของภาพปริศนา แต่ก็ต้องมาลุ้นกันว่าเราจะได้เห็นรายละเอียดเพิ่มเติมของซีรีส์จากตัวอย่างฉบับเต็มก็เป็นได้

โดยอนิเมชั่น Resident Evil: Infinite Darkness นั้นถือว่าเป็นซีรีส์ที่ทำมาเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 25 ปีของแฟรนไชส์ชุดนี้ ซึ่งนอกจากตัวอนิเมชั่นที่เรากำลังจะได้ชมแล้วิในปี 2021 ก็ยังจะมี Resident Evil: Welcome to Raccoon City ที่เป็นเวอร์ชั่นคนแสดง ที่รีเมคใหม่ ที่กำกับและเขียนบทโดย โจนาธาน โรเบิร์ต จาก 47 Meters Down ทั้งสองภาคที่วางกำหนดฉายในปลายปีนี้อีกด้วย

ส่วน Resident Evil: Infinite Darkness จะมีกำหนดฉายบน Netflix ในช่วงเดือน กรกฎาคม 2021 นี้

Cr.ภาพ : เว็บไซต์ IMDB

ติดตามบทความ ซีรีย์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

FB : รวมพลคนบันเทิง