รีวิวหนัง “The Swarm” : หนังสยองขวัญน้ำดีที่หนักดราม่า เน้นความสมจริง

the swarm

The Swarm หนังสยองขวัญ สัญชาติฝรั่งเศสที่ถูก Netflix ซื้อลิขสิทธิมาฉาย ซึ่งหนังก็มาพร้อมพลอตสุดน่าสนใจกับการนำเสนอสิ่งมีชีวิตอย่างตั๊กแตนให้กลายเป็นสัตว์กระหายเลือดสุดสยอง โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่งที่ผู้เป็นแม่ทำฟาร์มตั๊กแตนของตัวเอง แต่ทว่าเธอก็ต้องเจอกับปัญหาผลผลิตที่น้อยกว่าที่หวังไว้ ทำให้เธอต้องหาทางผลิตตั๊กแตนให้ได้ออกมาคุณภาพดี และมากเท่าที่เธอต้องการ จนวันหนึ่งเธอก็ได้พบว่าเลือดสามารถทำให้ตั๊กแตนแข็งแรง และได้ผลผลิตอย่างที่หวังไว้ ทำให้เธอหันมาใช้วิธีเลี้ยงพวกมันด้วยเลือดของเธอ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยหารู้ไม่ว่าผลลัพธ์นี้มันจะนำมาสู่ความสยดสยอง

เรียกได้ว่าเป็นหนังสยองขวัญที่ว่าด้วยสัตว์อีกเรื่องที่ประสบความสำเร็จในการทำให้คนดูกลัวสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้อย่างยอดเยี่ยม หนังมาพร้อมการเล่าเรื่องที่สมจริง ไม่เน้นความสยองแบบหนังกระแสหลักเกินไป หนังจะมีพาร์ทดราม่าเป็นส่วนนำของเนื้อหา โดยจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ หนังปูมิติของตัวละครหลักออกมาได้ชวนจดจำ แต่ละตัวละครล้วนมีปม มีความสำคัญในเนื้อเรื่องที่ต่างกันไป 

ด้านความสยอง ความน่ากลัวของตั๊กแตนในเรื่องอาจไม่ได้จัดหนักจัดเต็ม หรือเวอร์วังอลังการเหมือนหนังสัตว์สยองเรื่องอื่น ๆ ด้วยความที่หนังเน้นไปที่ความสมจริงที่จะนำเสนอวิวัฒนาการอันสยองของตั๊กแตนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงกระนั้นแม้ว่าหนังจะไม่ได้ขายฉากสยองอย่างโจ่งแจ้ง เลือดสาดมาก แต่ทุกฉากที่มีตั๊กแตนออกมาในเรื่องมันสร้างความน่ากลัว น่าขนลุกให้กับคนดูได้ทุกครั้ง จนสามารถทำให้ใครก็ตามที่ดูหนังเรื่องนี้อาจไม่สามารถกลับไปมองแมลงชนิดนี้ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

อีกหนึ่งไฮไลท์ ที่ทำให้ The Swarm ดูสยอง ดูระทึกตลอดทั้งเรื่องคือตัวละครแม่ ที่รับบทโดย ซูลิแอน บราฮิม (Black Spot) ที่เป็นผู้แบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้อยู่หมัด ด้วยความที่บทของตัวละครนี้คือต้นตอของเรื่องทั้งหมด และความสยองจากตัวละครนี้คือการที่เธอนั้นค่อย ๆ ดำดิ่งสู่ความโลภ และการทุ่มเทร่างกาย ชีวิตให้ตั๊กแตน ซึ่งหนังก็ได้นำเสนอเรื่องราวในด้านนี้ออกมาได้อย่างชวนติดตาม ชวนระทึกไปตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองก์สุดท้ายของหนัง ที่สามารถผสมผสานระหว่างดราม่าของตัวละคร และความสยองของตั๊กแตนออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

ในด้านข้อเสียของ The Swarm คือการที่หนังเน้นดราม่าไม่ได้ขายความสยอง เลือดสาด ทำให้บางช่วงหนังชวนน่าเบื่อ และมีฉากที่ไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่องอยู่พอสมควร นอกจากนี้หนังก็ยังพยายามเพลย์เซฟ ด้วยการไม่เล่นกับฉากสยดสยองจนเกินไป เพื่อให้หนังสามารถเข้าถึงคนดูส่วนใหญ่ได้มากขึ้น ทำให้ความสยอง ความน่าขนลุกของหนังเรื่องเลยอยู่ในระดับครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่สุดเท่าที่ควร

โดยรวม The Swarm ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังสยองขวัญอีกเรื่องที่ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการทำให้คนที่ดูรู้สึกกลัว หรือขนลุกทุกครั้งที่ได้เห็นตั๊กแตนในหนัง พร้อมทั้งยังมีดราม่า และมิติตัวละครที่ลงตัว ใครที่มองหาหนังสยองขวัญ เน้นคุณภาพ ไม่เน้นโหด เนื้อหาไม่ซ้ำใคร นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชม The Swarm ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ : Netflix

ติดตามบทความ ซีรีส์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

เตรียมพบความมันส์ของทีมพลีชีพแห่ง DC ในตัวอย่างสุดท้าย “The Suicide Squad”

The Suicide Squad

อีกประมาณ 1 เดือนกว่า ๆ เราก็กำลังจะได้ชม The Suicide Squad ผลงานหนังฮีโร่ฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุดจาก Warner Bros. และ DC กันแล้ว และเพื่อเป็นการเตรียมนับถอยหลังสู่ภารกิจทีมพลีชีพครั้งใหม่ทาง Warner Bros. ก็ได้ปล่อยตัวอย่างสุดท้ายของหนังมาให้ได้ชมกันแล้ว พร้อมจัดเต็มด้วยคลิปฟุตเทจใหม่ ๆ ที่รับประกันความมันส์แบบจัดเต็ม

The Suicide Squad จะว่าด้วยเรื่องราวของเหล่านักโทษร้ายแรง ที่ถูกขังอยู่ที่คุกที่มีมาตรการคุมเข้มสูงสุดของอเมริกาอย่าง เบลล์ รีฟ ซึ่งเหล่านักโทษผู้มีฝีมือฉกาจในคุกแห่งนี้จะต้องถูกนำมาเข้าทีมปฏิบัติการลับ Task Force X ที่นำทีมโดย ริ๊ก แฟล็ค (โจเอล คินนาแมน) โดยภารกิจของพวกเขาคือการต่อกรกับวายร้ายเพื่อปกป้องความสงบสุขของโลก โดยมี อแมนดา วอลเตอร์ (วีโอน่า เดวิส) เป็นผู้คอยควบคุมความเรียบร้อยของทีม

ในตัวอย่างล่าสุดนี้เราจะได้เห็นฉากใหม่ ๆ ที่ไม่ได้เห็นในตัวอย่างแรก โดยเฉพาะฉากแอคชั่น ของทีมพลีชีพที่ในครั้งนี้ยิ่งใหญ่ และจัดเต็มกว่าหนังภาคก่อนเมื่อปี 2016 หลายเท่า พร้อมทั้งสอดแทรกด้วยอารมณ์ขันสไตล์ของผู้กำกับ เจมส์ กันน์ ที่การันตีว่าหนังภาคนี้จะเต็มไปด้วยมุกตลก และตัวละครสุดเพี้ยนอย่างแน่นอน

โดย The Suicide Squad เป็นผลงานการกำกับ และเขียนบทของ เจมส์ กันน์ (Guardians of the Galaxy) ที่ดัดแปลงมาจากคอมิคของ จอห์น ออสแทรนเดอร์ นำแสดงโดย โจเอล คินนาแมน (ซีรีส์ For All Mankind), มาร์โกต์ ร็อบบี้ (Birds of Prey), ไอดิส เอลบา (Hobbs & Shaw), จอห์น ซีน่า (Fast & Furious 9), ไจ คอร์ทนี่ย์ (Honest Thief), พีท เดวิดสัน (The King of Staten Island), เดวิด ดาสมัลเชี่ยน (The Dark Knight), ไมเคิล รู้คเกอร์ (Guardians of the Galaxy) ไทก้า ไวทีที (Jojo Rabbit), อลิซ บราก้า (Elysium), ฌอน กันน์ (Guardians of the Galaxy), วิโอล่า เดวิส (The Help) และ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Rambo: Last Blood) มาร่วมให้เสียงพากย์ตัวละคร คิงชาร์ค

สำหรับ เจมส์ กันน์ คืออีกหนึ่งผู้กำกับรุ่นใหม่มากความสามารถ ผู้โด่งดังมาจากการกำกับหนัง Guardians of the Galaxy ทั้ง 2 ภาคให้กับ Marvel โดยสไตล์งานที่โดดเด่นของเขาคือการเล่นกับมุกตลกของตัวละครที่มีความเพี้ยน ความแปลกประหลาดของแต่ละตัวที่ต่างกันไป พร้อมทั้งยังสร้างสรรค์ฉากแอคชั่นแบบรวมทีมฮีโร่ออกมาได้อย่างตื่นเต้น อลังการ โดย The Suicide Squad คือผลงานเรื่องแรกที่ กันน์ ร่วมงานกับ DC สำหรับผลงานต่อไปของ เจมส์ กันน์ คือ Guardians of the Galaxy vol.3 ที่ตอนนี้อยู่ระหว่างพัฒนาบท และมีกำหนดฉายในปี 2023 

ส่วน The Suicide Squad จะมีกำหนดฉายในไทย 29 กรกฎาคมนี่ ในโรงภาพยนตร์

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ ซีรีย์-หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

“Ant-Man 3” เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ในลอนดอน

Ant-Man 3 เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ในลอนดอน

Ant-Man 3สำหรับใครที่เป็นแฟนภาพยนตร์ของค่าย Marvel ในปีที่ผ่านมาคงจะรู้สึกเหงาไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวเพราะด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิดทำให้ภาพยนตร์หลายๆ เรื่องนั้นต้องเลื่อนเวลาการออกฉายและภาพยนตร์หลาย ๆ ก็ไม่สามารถทำการถ่ายทำได้ ทำให้ในปีที่แล้วเราแทบจะไม่ได้ดูภาพยนตร์ของ Marvel Cinematic Universe เลย

สำหรับใครที่เป็นแฟนภาพยนตร์ของค่าย Marvel ในปีที่ผ่านมาคงจะรู้สึกเหงาไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวพอด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิดทำให้ภาพยนตร์หลายๆ เรื่องนั้นต้องเลื่อนเวลาการออกฉายและภาพยนตร์หลาย ๆ ก็ไม่สามารถทำการถ่ายทำได้ ทำให้ในปีที่แล้วเราแทบจะไม่ได้ดูภาพยนตร์ของ Marvel Cinematic Universe เลย

หลังจากที่เรื่อง Avenger: End Game และ Spiderman: Far from Home เป็นภาพยนตร์ 2 เรื่องสุดท้ายที่เป็นการสิ้นสุดของ Marvel Cinematic Universe (MCU) เฟส 3 เราก็ยังไม่ได้ดูภาพยนตร์ของ MCU ในเฟส 4 แม้แต่เรื่องเดียวซึ่งเหตุผลหลักก็มาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิดนั่นเอง

แต่ว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้ในฝั่งยุโรปแล้วก็ได้มีการที่จะผ่อนปรนมาตรการป้องกันโรคโควิดและเราก็ได้รับข่าวดี แล้วเกี่ยวกับภาพยนตร์ของ Marvel ซึ่ง Paul Rudds ผู้ที่เป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Ant-Man ได้ออกมาบอกใน Instagram ว่า เขากำลังอยู่ที่ลอนดอนเพื่อทำการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Ant-Man 3

สำหรับ Ant-Man 3 นั้นจะมีชื่อของภาพยนตร์ว่า “Ant-man and the Wasp Quantumania” และจะเป็นภาพยนตร์ที่อยู่ใน MCU เฟส 4 ซึ่งสำหรับใครที่เป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง Ant-Man และเป็นแฟนของ MCU ก็รอติดตามชมได้เลย ซึ่ง“Ant-man and the Wasp Quantumania จะเข้าฉายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2023

และสำหรับปีนี้นั้นภาพยนตร์ของ Marvel จะออกฉาย ในโรงภาพยนตร์ก็มีประมาณ 4 เรื่องด้วยกันเริ่มต้นจาก Black Widow, Shang-Chi and the legends of ten ring, Eternal และ Spiderman: No way home

และนอกจากภาพยนตร์ที่จะถ่ายทางโรงภาพยนตร์แล้วยังมีซีรีส์ที่ออกฉายทาง Disney Plus ด้วยซึ่งในปีนี้ก็จะมี WandaVision, Faclon and The Winter Soilder, Loki และ What if ในตอนนี้เรื่องราวของ MCU ได้มีการปะติดปะต่อระหว่างภาพยนตร์ที่ออกฉายโรงภาพยนตร์และที่ออกฉายทาง Disney Plus

ซึ่งทำให้เราได้รู้เรื่องราวของเหล่าฮีโร่แต่ละคนหลังจากที่ทุกคนได้ผ่านศึกกับธานอสว่ามีชีวิตและเรื่องราวเป็นอย่างไร

สำหรับเรื่องราวของซีรี่ส์และภาพยนตร์ของค่าย Marvel ในเฟส 4 นั้นจะมีเรื่องราวเป็นเช่นไรก็อย่าลืมติดตามชม รับรองว่าสนุกไม่แพ้ภาพยนตร์ทั้งหมดในเฟส 3 อย่างแน่นอนเลยทีเดียว

ติดตามบทความ ซีรีส์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

“Move to Heaven” ฝากความในใจ…ถึงใครบางคน

Move to Heaven

Move to Heaven ซีรีส์เกาหลีผลงานของ Netflix อีกเรื่องหนึ่ง ที่พูดได้เลยว่าจะสามารถครองใจแฟนซีรีส์ฟีลกู้ดได้อย่างแน่นอน ด้วยเนื้อหาของเรื่องที่ซาบซึ้งกินใจ เรื่องราวของผู้เสียชีวิตหลายๆ คน ที่ก่อนจากไปได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ เพื่อบอกเล่าความในใจของพวกเขา ให้กับคนข้างหลังได้รับรู้ และนั่นได้กลายเป็นสิ่งล้ำค่า สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างยากที่จะลืมเลือน

  • เนื้อเรื่องย่อของ Move to Heaven

เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับ ฮันกือรู เด็กหนุ่มวัย 20 ปี ผู้ซึ่งมีอาการผิดปกติทางสมอง ที่ทางการแพทย์เรียกว่า แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม ส่งผลให้เขามีปัญหาในการเข้าสังคม ไม่เข้าใจอารมณ์ความคิดของมนุษย์ทั่วไป และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ในสถานการณ์คับขัน ฮันกือรู จึงจำเป็นต้องมีผู้ปกครองคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็มีความพิเศษกว่าคนอื่นๆ คือฉลาดเป็นกรด และมีความจำเป็นเลิศ เห็นอะไรเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้หมดอย่างไม่น่าเชื่อ

ฮันกือรู อาศัยอยู่ลำพังกับพ่อเพียง 2 คน โดยพวกเขาได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทรับจัดการสิ่งของของผู้เสียชีวิต ชื่อบริษัท Move To Haven แต่จู่ๆ พ่อของเขาก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน โจซังกู ผู้เป็นอาแท้ๆ ของ ฮันกือรู และเพิ่งพ้นโทษออกมาจากเรือนจำ จึงต้องเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ปกครองของแทนโดยเต็มใจ เพราะตัวเขาเองนั้นมีปมแค้นฝังใจอยู่กับพี่ชาย แต่ที่ต้องยอม ก็เพราะในพินัยกรรมระบุว่า เขาจะได้ครอบครองมรดกมหาศาลในฐานะของผู้ดูแล ฮันกือรู หากผ่านการทดลองงานที่ Move to heaven เป็นเวลา 3 เดือน และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวมากมายอันน่าประทับใจ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเรื่องนี้

  • ความน่าสนใจ

แต่ละตอน จะเป็นการเล่าเรื่องของผู้เสียชีวิตแต่ละคน ซึ่งแฝงไปด้วยประเด็นทางสังคมและสอดแทรกแง่คิดต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งปัญหาผู้สูงอายุที่มักถูกทิ้งให้เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ปัญหาการกดขี่ลูกจ้าง ปัญหาการรับเด็กไปอุปถัมภ์แต่กลับทิ้งขว้าง ปัญหาครอบครัวเกาหลีที่มีต่อความรักของเพศเดียวกัน และอื่นๆ อีกมากมาย โดยทั้งหมดถูกตีแผ่ผ่านการทำงานของบริษัท Move to heaven อาชีพที่ต้องเข้าไปจัดการและเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุ ให้หมดจดราวกับไม่เคยมีการตายเกิดขึ้น พวกเขาจึงได้เห็นเรื่องราวมากมาย ผ่านสิ่งของที่ผู้ตายเหลือทิ้งไว้ก่อนจากไป

งานภาพนับเป็นจุดเด่น เพราะภาพและแสงสวยมาก โดยทั้งเรื่องถูกเซตให้เป็นโทนอบอุ่น แต่ก็สดใส และยังมีการแทรกกราฟฟิคสวยๆ เพื่อแสดงให้คนดูได้เห็นความคิดของ ฮันกือรู เพราะเขาคิดไม่เหมือนคนทั่วไป ซึ่งนับเป็นกิมมิคที่น่ารักมาก

ส่วนนักแสดงหลักอย่าง ทังจุนซัง ที่รับบท ฮันกือรู และ อีแจฮุน ผู้รับบท โจซังกู อาคนดีแต่นิสัยแปลก ล้วนถ่ายทอดออกมาได้ดีเยี่ยม จนอดอมยิ้มตามไม่ได้ในบางฉาก และอดร้องไห้ตามไม่ได้ในบางตอน นับเป็นการคัดเลือกนักแสดงที่ลงตัวมากๆ เช่นกัน

โดยรวม Move to heaven ถือเป็นซีรีส์น้ำดีที่จรรโลงสังคมเรื่องหนึ่ง แถมยังได้นักแสดงในระดับพรีเมี่ยม ทั้งนักแสดงหลักและนักแสดงรับเชิญ ซีรีส์เรื่องนี้มีมีให้ดูถึง10 ep. เลย ใครชอบซีรีส์แนวนี้จึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

Cr. ภาพ : synopsis-move-to-heaven

ติดตามบทความ ซีรีส์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

นักรบสาว อาชิน ในตัวอย่างล่าสุดของ “Kingdom: Ashin of the North” หนังภาคแยกจากซีรีส์ Kingdom

Kingdom: Ashin of the North

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการปล่อยทีเซอร์แรก และภาพโปสเตอร์ มายั่วน้ำลายคนดูไปแล้ว ในที่สุด Netflix ก็ได้ปล่อยตัวอย่างแรกอย่างเป็นทางการของ Kingdom: Ashin of the North ภาคแยกของซีรีส์สุดโด่งดังอย่าง Kingdom มาให้ได้ชมกันแล้ว

สำหรับ Kingdom: Ashin of the North จะมาในรูปแบบหนังความยาว 1 ชั่วโมงครึ่ง ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ อาชิน (จูจีฮยุน) หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านทางตอนเหนือของเกาหลี ผู้ต้องการช่วยเหลือแม่ของตัวเองจากอาการป่วย  แต่เรื่องสุดระทึกก็ได้เริ่มขึ้น

เมื่อมีการพบสมุนไพรที่สามารถทำให้คนที่ตายสามารถฟื้นคืนชีพได้ จนกระทั่งสมุนไพรดังกล่าวก็นำมาสู่ความสยอง เมื่อเกิดกองทัพซอมบี้อาละวาด ที่เริ่มจากสัตว์ป่า และลามมาสู่คน อาชิน เลยต้องเอาชีวิตรอดจากกองทัพซอมบี้ และล้างแค้นเหล่าขุนนางชั้นสูงที่เอาเปรียบเธอ และครอบครัวมาเนิ่นนาน

โดย Kingdom: Ashin of the North จะเป็นผลงานการกำกับของ คิมซองฮุน (ซีรีส์ Kingdom, A Hard Day) เขียนบทโดย คิมอุนฮี (ซีรีส์ Signal) นำแสดงโดย จุนจีฮยุน (My Sassy Girl) ซึ่งเนื้อหาขอหนังเรื่องนี้จะเป็นภาค Spin-off ของซีรีส์ Kingdom ที่จะเป็นการเฉลยที่มาของตัวละครอาชิน ที่ปรากฎตัวในตอนท้ายของ Kingdom ซีซั่น 2

Kingdom คือซีรีส์แอคชั่น ระทึกขวัญ/สยองขวัญ ฟอร์มยักษ์สัญชาติเกาหลีของ Netflix ที่ว่าด้วยเรื่องราวของเกาหลีในช่วงสมัยราชวงศ์โชซอน ที่ได้เกิดโรคระบาดลึกลับที่ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก

จากนั้นร่างไร้วิญญาณเหล่านั้น ก็ได้ฟื้นคืนชีพเป็นซอมบี้ อาละวาดไปทั่วเมืองหลวง เจ้าชายอีชัง (จูจีฮุน) เลยต้องหาทางรวบรวมกองกำลังเพื่อหาทางรับมือกับซอมบี้ให้หมดไปจากเมือง พร้อมทั้งต้องหาทางชิงบัลลังก์ให้กลับคืนมาจากเหล่าทรราช

โดยซีรีส์ Kingdom ถือว่าเป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดอีกเรื่องของ Netflix รวมถึง เป็นซีรีส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาหลี ด้วยทุนสร้างต่อตอน ที่สูงถึง 1 ล้านเหรียญฯ (หรือตีเป็นเงินไทยราว ๆ 30 ล้านบาท) พร้อมทั้งยังเป็นซีรีส์ที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั้งคนดู และนักวิจารณ์ด้วยคะแนนจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ถึง 96%

ด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่ผสมผสานความสยองขวัญ ระทึกขวัญแบบหนังซอมบี้ พร้อมบทที่เต็มไปด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคม ในพาร์ทการเมืองที่เข้มข้นทำให้ใครก็ตามที่ได้ดูเรื่องนี้ล้วนแต่ชื่นชอบ และติดอกติดใจ ปัจจุบันซีรีส์ Kingdom มีทั้งหมด 2 ซีซั่น ความยาวซีซั่นละ 6 ตอน ในส่วนของซีซั่น 3 ตอนนี้อยู่ในระหว่างพัฒนา โดยคาดว่าน่าจะได้ชมในปี 2022

สำหรับ Kingdom: Ashin of the North จะมีกำหนดฉาย 23 กรกฎาคมนี้ใน Netflix เท่านั้น

Cr. ภาพ : hancinema

ติดตามบทความ ซีรีส์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

“Fast & Furious” ภาคสุดท้ายเริ่มถ่ายทำต้นปีหน้า

Fast & Furious ภาคสุดท้ายเริ่มถ่ายทำต้นปีหน้า..

Fast & Furious ภาพยนตร์การขับรถสุดมันส์ที่มีเรื่องราวสุดแสนยาวนานกำลังจะจบลงแล้ว หลังจากที่วินดีเซลนักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ได้ออกมาบอกว่าภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious 10 และ 11 กำลังจะเริ่มถ่ายทำในช่วงต้นปีหน้าซึ่งจะเป็นการปิดฉากซีรีส์ Fast & Furious ที่มีมาอย่างยาวนาน

หลังจากที่ Fast & Furious 9 เพิ่งออกฉายในโรงภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกาและประสบความสำเร็จถล่มทลายในช่วงสุดสัปดาห์แรกที่นั่งทำการเปิดตัวในทวีปอเมริกาเหนือนั้นก็ทำรายได้ไปสูงกว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่ประสบความสำเร็จในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิดเลยก็ว่าได้ เรื่องราวของ Fast & Furious 9 นั้นก็ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวของโดมินิค โทเร็ตโต้ เช่นเดียวกับหลาย ๆ ภาคที่ผ่านมา และในตอนนี้ภาพยนตร์ก็ยังไม่ได้เข้าฉายในประเทศไทยทำให้ยังไม่สามารถพี่จะบอกได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร (ยกเว้นจะไปติดตามสปอยของต่างประเทศ)

ภาพยนตร์ Fast & Furious 9 นั้นได้เริ่มถ่ายทำมาตั้งแต่ในช่วงปี 2019 และก็ได้มีการเลื่อนการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด และหลังจากที่หนังได้ออกฉายในโรงภาพยนตร์แล้วทำอะไรได้ไปเป็นกอบเป็นกำก็สามารถเป็นที่ยืนยันได้แล้วว่า Fast & Furious ยังคงเป็นซีรีส์ที่มีคนติดตามอยู่มากจริง ๆ

และดูเหมือนเรื่องราวนั้นจะยืดยาวออกไปอีก แต่ด้วยการให้สัมภาษณ์ของวินดีเซลผู้ที่รับบทเป็นโดมินิค โทเร็ตโต้ เขาก็ได้ให้คำสัมภาษณ์ว่า “ตอนนี้กำลังจะมีการถ่ายทำภาพยนตร์ Fast & Furious 10 และ Fast & Furious 11 ในเดือนมกราคม 2022 นี้” และภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious 10 จะออกฉายในปี 2022 แน่นอนแต่ยังไม่ได้กำหนดวันออกฉายที่ชัดเจนออกมา

สิ่งที่น่าติดตามมากที่สุดก็คือใน Fast & Furious 10 และ Fast & Furious 11 จะมีตัวละครไหนในซีรีส์ที่ผ่านมาปรากฏตัวออกมาอีกบ้างไหมหลังจากที่ Fast & Furious 9 ก็ได้มีการปรากฏตัวของ Hans ตัวละครที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้วตั้งแต่ใน Fast & Furious Tokyo Drift

ไม่แน่ใน 2 ภาคสุดท้ายเราอาจจะได้เห็น มีอา, ไบรอัน โอคอนเนอร์ และ จีเซลกลับมามีบทบาทอีกครั้ง และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ Fast & Furious จะกลายเป็นภาพยนตร์ที่มีการ Reunion ของครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมากเลยทีเดียว

Cr.ภาพ : Wallpaperaccess , Gameradar

ติดตามบทความ ซีรีส์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

ไมเคิล เมเยอร์ กลับมาอาละวาดอีกครั้ง พร้อมความโหด เลือดสาดกว่าเดิม ในตัวอย่างแรก “Halloween Kills”

Halloween KILLS

หลังจากที่โดนผลกระทบจากโควิด-19 จนทำให้โดนเลื่อนฉายมา 1 ปี ในที่สุดหนังภาคต่อของฆาตกรต่อเนื่องในตำนาน ไมเคิล เมเยอร์ อย่าง Halloween Kills ก็ได้ปล่อยตัวอย่างแรกอย่างเป็นทางการมาให้ได้ชมแล้ว

โดยในภาคนี้ หนังจะเล่าเหตุการณ์ต่อจาก Halloween เมื่อปี 2018 หลังจากที่ ลอรี่ (เจมี ลี เคอร์ติส) และครอบครัวได้เอาชีวิตรอดจาก ไมเคิล เมเยอร์ มาได้สำเร็จจากการเผาบ้านของตัวเอง แต่ทว่าหลังจากที่พวกเธอหนีออกมา ทางเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ได้รีบเข้าไปทำการดับไฟในบ้าน ทำให้ ไมเคิล สามารถรอดชีวิตได้อีกครั้ง

นอกจากนั้นในครั้งนี้เขาก็ได้มาพร้อมความคลั่ง ความโหดกว่าเดิมด้วยการฆ่าคนแบบไม่เลือกหน้า โดยจุดหมายเขาคือจัดการกับ ลอรี่ และครอบครัวที่ตอนนี้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล

พร้อมความโหด ความสยอง ที่จัดหนัก เลือดสาดยิ่งกว่าเดิม หนังมีเนื้อหาที่ต่อเนื่องกับภาคก่อนหน้าแบบเหตุการณ์ต่อกันไม่กี่นาที ใครที่ติดใจความสนุกจากภาคที่แล้วภาคนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

หนังกำกับ และเขียนบทโดย เดวิด กอร์ดอน กรีน (Stronger)  ควบคุมการสร้างโดย เจสัน บลัม จาก Blumhouse  Productions นำแสดงโดย เจมี่ ลี เคอร์ติส (Knives Out), จูดี้ เกรียร์ (Ant-Man), ดีแลน อาร์โนลด์ (Mudbound) และ แอนดี้ มาติแชค (Assimilate)

สำหรับ Halloween Kills เป็นหนังภาคที่ 2 ของไตรภาค Halloween ที่กำกับ และเขียนบทโดยเดวิด กอร์ดอน กรีน ที่ได้นำผลงานหนังชื่อเดียวกันเมื่อปี 1978 ที่สร้างโดย จอห์น คาร์เพนเตอร์ (The Fog) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหนัง Slasher

ในตำนานแห่งยุค 80 ที่ว่าด้วยฆาตกรโรคจิตที่ได้หลบหนีออกจากโรงพยาบาลจิตเวช และออกมาฆ่าคนในคืนวันฮาโลวีน หนังประสบความสำเร็จทั้งรายได้ และคำวิจารณ์จนทำให้ ไมเคิล เมเยอร์ ฆาตกรต่อเนื่องของเรื่องกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของวันฮาโลวีน

โดย Halloween ของ เดวิด กอร์ดอน กรีน นั้นจะเล่าเรื่องราวต่อเนื่องจาก Halloween (1973) ที่พูดถึงเหตุการณ์ใน 40 ปีต่อมาเมื่อ ไมเคิล เมเยอร์ ได้หลบหนีออกมาจากโรงพยาบาลอีกครั้ง และจุดหมายของเขาคือล้างแค้น ลอรี่ และครอบครัวของเธอ ตัวหนังในปี 2018 นั้นก็เป็นอีกภาคของแฟรนไชส์นี้ที่ประสบความสำเร็จจากการทำเงินทั่วโลกไปได้ 255 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างเพียง 10 ล้านเหรียญฯ

Halloween Kills จะมีกำหนดฉายในอเมริกา 15 ตุลาคมนี้ในโรงภาพยนตร์ ส่วน Halloween Ends ที่เป็นภาคสุดท้ายของไตรภาคนี้ จะมีกำหนดฉายในเดือนตุลาคม ปี 2022

Cr.ภาพ : Rotten Tomatoes

ติดตามบทความ หนัง – ซีรีส์ ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

รีวิวซีรีส์ “The Naked Director” ซีซั่น 2: บทสรุปเรื่องราวสุดป่วนของเจ้าพ่อวงการหนังโป๊ ที่ไม่เสียว

รีวิวซีรีส์ The Naked Director ซีซั่น 2: บทสรุปเรื่องราวสุดป่วนของเจ้าพ่อวงการหนังโป๊ ที่ไม่เสียว ไม่ติดเรทเท่าซีซั่นก่อน แต่มันเปี่ยมไปด้วยดราม่าชั้นดี พัฒนาของตัวละครที่ชัดเจน และฉากจบที่ชวนจดจำ

อีกหนึ่งผลงาน Original Netflix ที่มีคนรอคอยมากที่สุด สำหรับ The Naked Director ที่เมื่อปี 2019 ที่เรื่องจริงของ มุรานิชิ โทรุ (รับบทโดย ทาคายูกิ ยามาดะ)เจ้าพ่อแห่งวงการหนังโป๊ญี่ปุ่น ได้สร้างปรากฏการณ์ความนิยมถล่มทลาย

จนสร้างหลายวลีเด็ดที่คนจดจำมาจนทุกวันนี้อย่าง “ข้าวกล่อง” สำหรับในซีซั่นที่ 2 นี้ก็เป็นบทสรุปของซีรีส์เรื่องนี้ ที่จะว่าด้วยชีวิตของ โทรุ ในช่วงที่เขาอยู่บนจุดสูงสุดของวงการ หลังจากที่เขาได้แจ้งเกิดพร้อมกับ เมกุมิ หรือชื่อในวงการ คาโอรุ คาโอริ (มิซาโตะ โมริตะ)

ด้วยความหลงระเริงในชื่อเสียง และเงินทอง โทรุ เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนไป เริ่มจากการที่เขาพยายามสร้างผลงานที่ได้รับความนิยม โดยไม่ได้ใส่ใจคุณภาพ ทำให้นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาขัดแย้งกับ คาวาดะ (เทตทสึจิ ทามายามะ)

หุ้นส่วนคนสำคัญที่ร่วมลำบากกันมาในซีซั่นแรก รวมทั้งการที่ โทรุไม่ยอมมอบงานแสดงชิ้นใหม่ให้ เมกุมิ และหันไปสนใจงานแสดงของเหล่าดาราเอวีหน้าใหม่แทน เหตุการณ์ทั้งหมดค่อย ๆ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ โทรุ ค่อย ๆ ถึงจุดตกต่ำที่ไม่มีใครคาดคิด

ตัวซีรีส์ในซีซั่นนี้จะมีความยาวทั้งหมด 8 Ep. ความยาวเฉลี่ย Ep. ละ 50 นาที โดยในซีซั่นนี้ซีรีส์มาพร้อมกับงานที่มีคุณภาพเหนือกว่าภาคแรกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นด้านโปรดักชั่น บท หรือการนำเสนอ หากเปรียบเทียบในซีซั่นแรกจะเหมือนเป็นซีรีส์ที่ขายความ 18+ ความแปลกใหม่

ด้วยการนำเสนอเบื้องหลังอาชีพในวงการหนังเอวี แบบเจาะลึก พร้อมด้วยมุกตลกที่ชวนจดจำ ทำให้เนื้อหาในซีซั่นแรกดูค่อนข้างเบาบาง และเน้นไปที่ความใหม่ของเนื้อหามากกว่า แต่ในซีซั่น 2 นี้ เป็นการนำเสนอชีวิตของตัวละครแบบเน้น ๆ ลดความ 18+ ความตลกลง แต่เพิ่มหัวจิตหัวใจให้ตัวละครมากขึ้น ดังนั้นคุณภาพของ The Naked Director ซีซั่น 2 มันจึงมีความแตกต่างจากซีซั่นแรกโดยสิ้นเชิง

ในช่วงแรกซีรีส์จะยังขายความติดเรท ความอัจฉริยะของตัวละคร โทรุ ออกมาได้อย่างชวนติดตาม ฉากเลิฟซีนในครั้งนี้อาจไม่ได้จัดหนัก หรือโจ๋งครึ่ม หากเทียบกับซีซั่นแรก  แต่ก็ยังมีฉากให้ได้จดจำอยู่ไม่แพ้กัน ช่วงแรกซีรีส์ไม่เสียเวลาปูเรื่องนาน มีการเข้าสู่ประเด็นของเรื่องตั้งแต่ตอนแรก ก่อนจะค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุก ความเข้มข้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ในซีซั่นนี้ก็ยังมีการเล่าเรื่องแบบแบ่งเป็น 2 เส้นเรื่องคือเส้นเรื่องของ โทรุ ที่เป็นเส้นเรื่องหลัก และเส้นเรื่องของ โทชิ (ชินโนะซุเกะ มิตซึชิม่า) อดีตมือขวาของโทรุ ที่ย้ายไปทำงานเป็นลูกน้องมาเฟีย ดังนั้นนอกจากในแง่ของซีรีส์เบื้องหลังธุรกิจหนังเอวีแล้ว ในครั้งนี้ยังจะมีเรื่องราวของอาชญากรรมเข้ามาสอดแทรกเป็นสีสันอีกด้วย

แม้ว่าช่วงต้นเรื่องซีรีส์จะมาในแบบเดียวกับซีซั่นแรก ที่หลายคนคิดถึง แต่ในข่วงกลางเรื่อง จนถึงท้ายเรื่องความสนุกของซีรีส์กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ซีรีส์ค่อย ๆ นำเสนอจุดตกต่ำของแต่ละตัวละครออกมาทีละเล็กละน้อย ก่อนที่ทุกอย่างจะดิ่งลงเหวในช่วงท้าย

โดยในระหว่างทางซีรีส์สอดแทรกบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนอันเป็นจุดเปลี่ยนของตัวละครมาเป็นระยะ ๆ เหมือนระเบิดเวลา ดังนั้นในช่วงท้ายเรื่องของซีรีส์ จะจัดเต็มด้วยดราม่าหนัก ๆ แบบที่ไร้ปราณีต่อทั้งตัวละคร และคนดู ที่ไม่คาดคิดว่าซีรีส์จะสามารถถ่ายทอดความดาร์คออกมาได้ถึงอารมณ์ขนาดนี้

ส่วนที่ซีรีส์ทำได้ดีมาก ๆ ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือด้านบท ที่ในซีซั่นนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการของแต่ละตัวละครอย่างชัดเจน มีการนำเสนอภาพจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดของตัวละครออกมาได้อย่างมีมิติ รวมถึงการเล่นกับความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่ถูกปูเอาไว้มาตั้งแต่ในซีซั่นแรก

ทำให้ในซีซั่น 2 นี้ไม่ได้เป็นเพียงส่วนขยายของซีซั่นที่แล้ว แต่มันคือการมอบบทสรุปที่เหมาะสมให้กับตัวละครเหล่านั้นให้ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น อีกส่วนที่ซีรีส์ทำได้ดีมาก ๆ คืองานโปรดักชั่น โดยเฉพาะงานภาพ การจัดแสง ที่สื่อถึงอารมณ์ สถานะที่เปลี่ยนไปของตัวละครออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง

ด้วยบทที่สามาถสะท้อนตัวละครออกได้ดี ทำให้ด้านการแสดงของทีมนักแสดงนำก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครเหล่านั้นออกมาได้ดีมาก ๆ เช่นกัน ทาคายูกิ ยามาดะ เจ้าของบทโทรุ สามารถแบกหนังทั้งเรื่องได้อย่างน่าชื่นชม ด้วยความที่ในซีซั่นนี้มีมากกว่าแค่ความเพี้ยน ความตลกของโทรุ

แต่มันยังมีพาร์ทที่ตกต่ำที่สุดของตัวละครนี้ด้วย ซึ่ง ยามาดะก็ถ่ายทอดบทบาทได้ถึงอารมณ์ ถือว่าเป็นอีกบทบาทการแสดงที่ทำให้เราสลัดภาพนักเลงหัวไม้จาก Crow-Zero ไปหมดสิ้น ส่วนการแสดงของ มิซาโตะ โมริตะ แม้ในครั้งนี้เราจะไม่ได้เห็นเธอเร่าร้อนเหมือนในซีซั่นแรกเท่าไหร่นัก

แต่บทดราม่าของเธอในซีซั่นนี้ก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน ซึ่งเธอก็พิสูจน์ให้เราได้เห็นว่าเธอคือนักแสดงมืออาชีพที่สามารถตีบทแตกไม่แพ้กัน รวมถึงนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ที่ต่างเข้ามาร่วมเป็นสีสันที่น่าจดจำของซีรีส์เรื่องนี้ โดยเฉพาะการแสดงของ ลิลลี่ แฟรงกี้ และ จุน คูนิมูระ สองนักแสดงรุ่นใหญ่ ที่แม้จะมีบทไม่เด่นมาก แต่ทุกครั้งที่ทั้งสองปรากฏตัวก็สามารถขโมยซีนด้วยพลังการแสดงที่น้อยแต่มากได้อย่างดีเยี่ยม

โดยรวม The Naked Director ซีซั่น 2 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่สามารถมอบบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างดีเยี่ยม เป็นซีซั่นที่เต็มไปด้วยพัฒนาการของเนื้อหา มิติตัวละครที่ทำออกมาได้อย่างเห็นชัด แม้ว่าจะไม่ได้ติดเรท เสียวซ่านเหมือนกับซีซั่นแรกก็ตาม

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นอีกหนึ่งซีรีส์จาก Netflix ที่มีเนื้อหาครบทุกรสชาติ พร้อมทั้งเปี่ยมด้วยคุณภาพ ความแปลกใหม่ ที่นาน ๆ ครั้งจะมีมาให้ชม

Cr.ภาพ : Netflix

ติดตามบทความ ซีรีส์ – หนัง ในทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

รีวิว “Seaspiracy” สารคดีที่หยิบประเด็นการอนุรักษ์ธรรมชาติใต้ทะเล

รีวิว Seaspiracy: สารคดีที่หยิบประเด็นการอนุรักษ์ธรรมชาติใต้ทะเล ให้ออกมาสนุก ตื่นเต้น และเข้าถึงง่าย

Netflix นอกจากจะเป็นแหล่งรวมหนัง และซีรีส์คุณภาพ และเปี่ยมด้วยความบันเทิงแล้ว อีกหนึ่งคอนเทนต์ยอดนิยมของสตรีมนี้คือสารคดี ที่มีครบทุกแนว ทุกอรรถรส และในช่วงนี้ก็ได้มีอีกหนึ่งหนังสารคดีของ Netflix ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ ที่ได้รับความสนใจจากทั้งผู้ชมทั่วไป และเหล่านักอนุรักษ์ธรรมชาติ กับสารคดีที่มีชื่อว่า Seaspiracy

โดยสารคดีเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของ อาลี ทาไบรซี่ นักทำหนังสารดดีหน้าใหม่ ที่ลีลาการกำกับไม่ธรรมดา เพราะ อาลี เป็นคนที่ชื่นชอบสัตว์น้ำ สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลมาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อโตขึ้นเขาก็เกิดไอเดียที่จะทำสารคดีที่ว่าด้วยอุตสาหกรรมการประมงที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ซึ่งหากโลกขาดสิ้งมีชีวิตเหล่านี้ จะทำให้ธรรมชาติเสียสมดุล และส่งผลเลวร้ายต่อมนุษย์ในอนาคต

อาลี ได้พยายามเข้าไปหาความจริงของเบื้องหลังวงการประมงด้วยตัวเอง พร้อมทีมงานอีกเพียงไม่กี่ชีวิต ก่อนที่เขาจะพบว่าแท้จริงแล้วเหล่าองค์กรที่ออกมาเรียกร้องให้อนุรักษ์สิ่งมีชีวิตใต้ทะเล และออกกฎห้ามทิ้งขยะพลาสติกในชายหาด หรือทะเลนั้น ได้อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนอุตสาหกรรมการประมงที่ทำร้ายสัตว์ในทะเลมากกว่าที่เราทุกคนทิ้งขยะลงทะเลหลายเท่า และด้วยความที่มันเป็นเหมือนการสมรู้ร่วมคิดแบบลับ ๆ มันก็ทำให้อุตสาหกรรมประมงไม่ต่างจากอาชญากรรม หรือธุรกิจมืด ที่มีธรรมชาติเป็นเหยื่อ

ความพิเศษของสารคดีเรื่องนี้คือการที่ผู้สร้างไม่ได้ทำให้มันเป็นเหมือนการให้ความรู้ หรือบอกเล่าแบบต่อ ๆ กันเหมือนเรื่องอื่น ๆ แต่สารคดีเรื่องนี้ อาลี ได้เอาตัวเองลงไปเล่นเอง เสี่ยงเอง ในการไปไล่ตามแอบถ่ายการทำประมงที่ป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม และยังดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อหาความจริงจากคนวงใน แม้ว่าท้ายที่สุดเขาจะถูกปฏิเสธแทบทุกครั้งก็ตาม ด้วยการเอาตัวเองลงไปเป็นหนึ่งในตัวละครหลัก ทำให้การดูซีรีส์เรื่องนี้เหมือนกำลังดูหนังอาชญากรรม สืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญอยู่ก็ว่าได้

ในด้านประเด็นของสารคดี Seaspiracy ก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม โดยหนังได้ค่อย ๆ ทำให้เราได้ร่วมรับรู้ถึงผลได้ผลเสียของมนุษย์ต่ออุตสาหกรรมประมงแบบเข้าใจง่าย พร้อมสร้างอารมณ์ร่วมจากการนำเสนอภาพเหตุการณ์จริง ฟุตเทจจริงสุดน่าสะเทือนใจ ทำให้เมื่อได้ดูสารคดีเรื่องนี้ คนดูได้เกิดความตระหนัก และเกรงกลัวที่จะกินเนื่อปลาไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ในส่วนหนึ่งของหนังก็ได้มีการตีแผ่ความเลวร้ายของอุตสาหกรรมประมงของประเทศไทย ที่มีการจับคนขึ้นไปบนเรือ และใช้แรงงานราวกับทาส และฆ่าทิ้งหากคน ๆ นั้นพยายามหนี หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งความอาจหาญนี้หาได้มีเฉพาะประเทศไทยเท่านั้นที่ถูกสารคดีเรื่องนี้แฉ แต่ยังมีญี่ปุ่น, ฮ่องกง ที่ถูกเปิดโปงด้วยเช่นกัน ซึ่งการทำแบบนี้ก็เหมือนกับว่าตัว อาลี และทีมผู้สร้างเองก็ได้ยอมเอาชีวิตลงไปเสี่ยงเพื่อให้ได้ความจริงมาเผยแพร่

ใครที่ชื่นชอบหนังสารคดีที่นอกจากจะให้ความรู้แล้ว ยังได้ทำให้เราได้ฉุกคิด และเปลี่ยนแปลงความคิดบางสิ่งบางอย่าง Seaspiracy คืออีกเรื่องที่อยากแนะนำอย่างยิ่ง เพราะสารคดีเรื่องนี้มีมากกว่าความบันเทิง และสาระความรู้ แต่มันยังเป็นกระบอกเสียงชั้นดีแทนเหล่าสัตว์ทะเล ที่ถูกมนุษย์ทำร้าย ซึ่งเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้อยู่ไกลตัวพวกเรา แต่หารู้ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วมันอาจส่งผลสะท้อนมาถึงพวกเราเอง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ติดตามบทความ ซีรีส์ – หนัง ได้ทุกสัปดาห์ได้ที่ news-entertainments.com

“โปรเจกต์หนัง The Flash” เผยคลิปโลโก้แรกอย่างเป็นทางการ ก่อนเตรียมเข้าฉาย พฤศจิกายน 2022

โปรเจกต์หนัง The Flash เผยคลิปโลโก้แรกอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศเปิดกล้องถ่ายทำแล้ว ก่อนเตรียมเข้าฉาย พฤศจิกายน 2022

หลังจากที่โปรเจกต์ถูกปล่อยลอยแพอยู่มานานหลายปี จนเมื่อปีที่แล้วได้มีการปล่อยข่าวดีให้ได้ลุ้น ทั้งผํกำกับ และทีมนักแสดง ในที่สุดโปรเจกต์หนังเดี่ยว The Flash ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว
เพราะเมื่อไม่นานมานี้ทางค่าย Warner Bros. ได้ทำการเผยคลิปโลโก้แรกจากหนังเรื่องนี้ พร้อมประกาศว่าหนังได้ทำการเปิดกล้องถ่ายทำเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา

โดยโปรเจกต์ The Flash จะเป็นหนังจากจักรวาล DCEU (DC Extended Universe) ซึ่งจะเป็นหนังที่จะเชื่อมโยงจักรวาล DC ของ Zack Snyder’s Justice League โดยจะได้ เอสร่า มิลเลอร์ กลับมารับบท บิลลี่ อัลเลน หรือ เดอะ แฟลช อีกครั้ง ส่วนเนื้อหายังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ

แต่ที่รู้แน่ชัดคือหนังน่าจะมีการพูดถึงจักรวาลคู่ขนานเพราะในครั้งนี้เราจะได้เห็นแบทแมนถึงสองเวอร์ชั่นด้วยกันคือ แบทแมน ที่แสดงโดย เบน เอฟเฟล็ก และแบทแทน ที่แสดงโดย ไมเคิล คีตัน ที่มาจากหนัง Batman ที่กำกับโดย ทิม เบอร์ตัน เมื่อปี 1989 และปี 1992

ตัวหนังจะได้ แอนดี้ มุชเชติ จาก It ทั้งสองภาค มารับหน้าที่กำกับ พร้อมได้ คริสติน่า ฮอดสัน มือเขียนบทจาก Birds of Prey มาร่วมเขียนบทให้
นอกจาก เบน เอฟเฟล็ก และไมเคิล คีตัน ที่จะมาร่วมแสดงแล้ว หนังยังได้ทีมนักแสดงสมทบไม่ส่าจะเป็น เคียร์ซี่ย์ เคิลมอนส์ (Dope), รอน ลิวิงตัน (The Conjuring) และ มาริเบล เวอร์ดู (Pan’s Labyrinn)

สำหรับความน่าสนใจของ The Flash คือข่าวที่เผยมาจากทีมผู้สร้างหนัง DC ก่อนหน้านี้ที่มีการประกาศว่าหนังในจักรวาล DCEU นั้นจะมีทั้งหมด 2 Earth หรือสองโลกคู่ขนาน

โดย Earth 1 จะเป็นจักรวาลของ Wonder Woman 1984 รวมถึงหนัง Justice League ของ แซค สไนเดอร์ ส่วน Earth 2 จะเป็นของ The Batman หรือแบทแมนฉบับของ โรเบิร์ท แพททินสัน ที่เตรียมเข้าฉายปี 2022

The Flash นั้นจะเป็นการเชื่อมโยงจักรวาลหนัง DC เข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก และนั่นอาจทำให้เราได้เห็นเซอร์ไพรส์อีกเพียบในหนังเรื่องนี้ หรือหนังเรื่องต่อ ๆ ไปของ DC ก็เป็นได้

สำหรับปีนี้จะยังมีอีกหนึ่งหนังฟอร์มยักษ์จาก DC มาให้ได้ชมกันคือ The Suicide Squad หนังรวมทีมวายร้าย ที่รวมนักแสดงไว้แบบคับจอ ที่กำกับโดย เจมส์ กันน์ เตรียมเข้าฉายสิงหาคมปีนี้

และในปี 2022 ก็จะมีอีกถึง 3 เรื่องได้แก่ The Batman ที่วางกำหนดฉาย 4 มีนาคม  Black Adam ที่วางกำหนดฉายเดือน กรกฎาคม และ The Flash ที่วางกำหนดฉายเดือน พฤศจิกายน

Cr. ภาพ : MDB

ติดตามบทความ ซีรีส์ – หนัง ได้ทุกสัปดาห์ที่ news-entertainments.com